โกลเบล็ก จับตาแรงกดดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ–เฟด

โกลเบล็ก จับตาแรงกดดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ–เฟด

วันจันทร์ ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 11.18 น.

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ในสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway Down โดยปัจจัยสำคัญที่ยังสร้างความไม่ชัดเจน ได้แก่ ข้อมูลแรงงานล่าสุดของสหรัฐอเมริกา ซึ่งสะท้อนภาวะตลาดแรงงานที่ยังไม่แน่นอน รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในการประชุมเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้  โดยคาดว่าดัชนี SET จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,220 – 1,280 จุด 

สำหรับปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้ โดยแบ่งเป็นปัจจัยบวกและปัจจัยลบ ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและทิศทางเศรษฐกิจไทย สำหรับปัจจัยบวก ยังคงเป็นการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกันยายน ของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 119,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 53,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เดือนสิงหาคมการจ้างงานลดลง 4,000 ตำแหน่ง สะท้อนถึงการฟื้นตัวของตลาดแรงงานสหรัฐที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์และข้อมูลจาก FedWatch Tool ของ CME Group ที่ได้ระบุว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 73.3% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 3.50–3.75% ในการประชุมเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ให้น้ำหนักเพียง 39.1% ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อทิศทางการเงินโลก


ส่วนปัจจัยบวกในประเทศไทย ยังคงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล หลังจากนายเอกนิติ    นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดฉากทัศน์ Thailand 2026 “ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ” โดยประเมินว่าแนวทาง Quick Big Win จะมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2568 ช่วยลดความเสี่ยงจากการชะลอตัว และสร้างความเชื่อมั่นต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป

ขณะเดียวกันปัจจัยลบ ที่น่าจับตา ตัวเลขอัตราการว่างงานเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.4% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวที่ 4.3% แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นเกินคาด และการลดความสำคัญต่อความร่วมมือพหุภาคีหลังทำเนียบขาวประกาศว่าสหรัฐฯ จะไม่เข้าร่วมการหารืออย่างเป็นทางการใด ๆ ในการประชุมสุดยอด กลุ่ม G20 ที่จะจัดขึ้นในแอฟริกาใต้

นอกจากนี้ IMF ประเมินว่า GDP โลกปี 2568 จะขยายตัวที่ 3.2% และปี 2569 จะชะลอตัวลงเหลือเพียง 3.1% ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 3.7% สะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ช้ากว่าที่คาดการณ์

ทั้งนี้ ยังคงต้องเฝ้าระวังปัจจัยในประเทศที่อาจจะส่งผลต่อการลงทุนได้เช่นกัน อาทิ สัปดาห์ที่ 4 กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ, สศอ. แถลงดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม, สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค, ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค, วันที่ 28 พ.ย. ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย, วันที่ 17 ธ.ค. กำหนดประชุมกนง. ครั้งที่ 6/2568 ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่ยังเฝ้าติดตาม อาทิ วันที่ 24 พ.ย. สหรัฐฯ รายงานดัชนีการผลิตเดือนพ.ย.จากเฟดสาขาดัลลัส ดัชนีกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนก.ย.และต.ค.จากเฟดสาขาชิคาโก, วันที่ 25 พ.ย. สหรัฐฯ ADP รายงานตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนรายสัปดาห์ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จาก Conference Board, วันที่ 9-10 ธ.ค. ประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ครั้งที่ 8/6819 พ.ย. สหรัฐฯ รายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์

นายวัชเรนทร์ จงยรรยง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้น  MSCI Rebalance  ปรับน้ำหนักการลงทุน เพื่อสะท้อนโครงสร้างตลาดและสภาพคล่องของหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 หุ้นเข้าได้แก่  M แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ส่วนหุ้นออก ได้แก่  AAV, CKP, JTS, QH, TPIPP แนะนำ “ระวังแรงขาย” หุ้นที่ถูกปรับออก

- 030 

 

 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top