บอร์ดอีวีไฟเขียวปรับมาตรการ EV3-3.5 ดันไทยฐานผลิตภูมิภาค

บอร์ดอีวีไฟเขียวปรับมาตรการ EV3-3.5 ดันไทยฐานผลิตภูมิภาค

วันอังคาร ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 15.25 น.

 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ที่ประชุมบอร์ดอีวีชุดใหม่ ซึ่งมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้ง EV3 และ EV3.5 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดของโลกและของประเทศไทย โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) ปรับปรุงมาตรการเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และ 2) ปรับปรุงมาตรการเพื่อลดหรือป้องกันปัญหาการผลิตล้นตลาดในประเทศ (Oversupply)


สำหรับการปรับปรุงมาตรการเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการส่งเสริมอุตสาหกรรม EV ประกอบด้วย

1. ขยายเวลาการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ ภายใต้มาตรการ EV3 และ EV3.5
จากเดิมที่จะต้องจดทะเบียนให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2568 และ 2570 ตามลำดับ ขยายเวลาเป็นภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป เพื่อช่วยให้ยานยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่ายในช่วงปลายปี สามารถจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกให้ทันภายในกำหนด

2. กำหนดเงื่อนไขในการจ่ายเงินอุดหนุนเพิ่มเติม โดยหากผู้ประกอบการผลิตได้ล่าช้ากว่าแผนกรมสรรพสามิตจะชะลอการจ่ายเงินอุดหนุนจนกว่าจะดำเนินการได้ตามแผน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการที่ผู้ประกอบการไม่สามารถผลิตชดเชยได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด

3. ปรับปรุงเงื่อนไขการขยายเวลาผลิตชดเชยภายใต้มาตรการ EV3 ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของภาคธุรกิจ โดยอนุญาตให้ผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 สามารถเพิ่มรายชื่อโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นคู่สัญญาในมาตรการ EV3.5 เข้ามาในสัญญา EV3 ได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการผลิตชดเชยตามกรอบเวลาที่กำหนด 

4. ขยายเวลาการผ่อนผันการนับมูลค่าวัตถุดิบที่ได้ถิ่นกำเนิดในประเทศไทยสำหรับเซลล์แบตเตอรี่จากต่างประเทศ จากเดิมสิ้นสุดปี 2568 ออกไปอีก 6 เดือน จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2569 โดยในช่วงที่ขยายเวลา ให้ปรับลดสัดส่วนมูลค่าของเซลล์แบตเตอรี่จากต่างประเทศเป็นวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 10 จากเดิมที่ให้นับได้ไม่เกินร้อยละ 15 ของราคายานยนต์ไฟฟ้าหน้าโรงงาน เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ของเขตปลอดอากร (Free Zone) หรือเขตประกอบการเสรี โดยผู้ขอรับการผ่อนผันต้องเสนอแผนการจัดหาชิ้นส่วนในประเทศที่ชัดเจน และจะถูกระงับการจ่ายเงินอุดหนุนตามมาตรการ EV3 และ EV3.5 ในระหว่างที่ได้รับการผ่อนผัน

5. กำหนดวิธีปฏิบัติและแนวทางดำเนินการสำหรับมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ HEV 3 ด้านได้แก่ 1) ด้านการปล่อย CO₂ ผู้ผลิตต้องผ่านการทดสอบและรับรองค่าการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตามเกณฑ์ที่กำหนด พร้อมแสดงข้อมูลผ่านระบบ ECO Sticker 2) ด้านการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ ต้องมีการใช้ชิ้นส่วน HEV ที่มีมูลค่าสูงหรือปานกลางที่ผลิตในประเทศ ตามเงื่อนไขที่กำหนด และมีการใช้แบตเตอรี่ที่มีการผลิตอย่างน้อยในระดับ Pack Assembly ในประเทศ มีโรงงานที่มีสาระสำคัญของการผลิตและรักษากำลังผลิตของเครื่องจักร มีโรงงานประกอบเครื่องยนต์ที่ผลิตหรือใช้ชิ้นส่วนสำคัญในประเทศ 4 ใน 5 ชิ้น หรือมีสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศร้อยละ 40 ตามวิธีคำนวณและเงื่อนไขของกระทรวงอุตสาหกรรม มีการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา หรือมีการจ้างแรงงานไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของคนทำงานในสำนักงาน และ 3) ด้านความปลอดภัยและระบบ ADAS ผู้ผลิตต้องนำรถเข้าทดสอบการทำงานของระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ (ADAS) ที่ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ครอบคลุมการทดสอบทั้ง 4 กลุ่ม ได้แก่ Car-to-Car Rear Stationary, Lane Keeping, ระบบเตือนการออกนอกช่องจราจร (LDW) และระบบตรวจจับจุดบอด (BSD)

ในส่วนของการปรับปรุงมาตรการเพื่อลดหรือป้องกันปัญหาการผลิตล้นตลาดในประเทศ (Oversupply) มีดังนี้

1. ปรับปรุงเงื่อนไขการนับจำนวนการผลิตชดเชย โดยในส่วนของการผลิตชดเชยเพื่อส่งออก ให้นับการส่งออก 1 คัน เป็นการผลิตชดเชย 1.5 คัน เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการส่งออกเพิ่มเติม และป้องกันปัญหาการผลิตล้นตลาดในประเทศ (Oversupply) ซึ่งจะกระทบต่อตลาดรถยนต์โดยรวม รวมถึงขยายเวลาให้ส่งออกและส่งหลักฐานการส่งออกได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายนปีถัดไป

2. เพิ่มทางเลือกในการออกจากมาตรการ EV3 และ EV3.5 สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาจำหน่ายแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงินอุดหนุน ให้สามารถจ่ายส่วนต่างภาษีสรรพสามิตที่ได้รับการลดหย่อนคืน พร้อมเบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม เพื่อลดยอดที่ต้องนำไปคำนวณการผลิตชดเชย

นอกจากนี้ บอร์ดอีวี ได้รับทราบรายงานผลการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยในช่วง 9 เดือน ปี 2568 (มกราคม – กันยายน) มียอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะ BEV ที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมากถึงร้อยละ 59 จำนวน 87,112 คัน และมียอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าตามที่ได้รับสิทธิตามมาตรการ EV3 และ EV3.5 สะสมรวม 238,183 คัน โดยมีผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการ EV3 รวม 32 บริษัท และมาตรการ EV3.5 รวม 11 บริษัท

ณ เดือนตุลาคม 2568 บีโอไอส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรม
ที่เกี่ยวข้องไปทั้งสิ้น 1.4 แสนล้านบาท ครอบคลุมทั้งการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่และชิ้นส่วนสำคัญ สถานีชาร์จไฟฟ้า และสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ อาทิ กิจการผลิตรถยนต์ BEV 21 โครงการ เงินลงทุนรวม 40,449 ล้านบาท กิจการผลิตแบตเตอรี่ 54 โครงการ เงินลงทุนรวม 79,473 ล้านบาท กิจการผลิตชิ้นส่วนสำคัญอื่น ๆ เช่น Traction Motor, BMS DCU, Inverter, On-board Charger 45 โครงการ เงินลงทุนรวม 10,002 ล้านบาท กิจการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าและสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ (Battery swapping) 32 โครงการ เงินลงทุนรวม 6,066 ล้านบาท

“วันนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ถือเป็น New Growth Engine ของเศรษฐกิจไทย จากยอดการใช้ EV ของโลกที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่ม HEV, PHEV และ BEV เป็นเครื่องยืนยันว่ามาตรการของบอร์ดอีวีที่มุ่งสร้างประเทศไทยให้เป็นฐานสำคัญของการผลิตและส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคและของโลกเดินมาถูกทาง และกำลังสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ทั้งในแง่การลงทุน เทคโนโลยี และการผลิตจริงในประเทศ สำหรับการประชุมในวันนี้ บอร์ดอีวีได้ปรับปรุงเงื่อนไขของมาตรการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกและรักษาเสถียรภาพของตลาดภายในประเทศ นอกจากนี้ การเติบโตของ EV กำลังสร้างดีมานด์ใหม่ให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย และเพิ่มบทบาทของประเทศไทยในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์โลก”นายนฤตม์กล่าว

-031

 

 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top