ORจ่อเลิกธุรกิจในกัมพูชา เหตุยอดขายตก50-60% หลังเกิดเหตุความขัดแย้ง

ORจ่อเลิกธุรกิจในกัมพูชา เหตุยอดขายตก50-60% หลังเกิดเหตุความขัดแย้ง

วันศุกร์ ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (โออาร์) เปิดเผยว่า แผนการลงทุนธุรกิจต่างประเทศ ขณะนี้โออาร์ อยู่ระหว่างพิจารณาตัดสินใจปรับเปลี่ยนการลงทุนในกัมพูชา หลังจากยอดขายในกัมพูชาปรับลดลงถึง 50-60% จากปีก่อน แม้คิดเป็น 2-3% ของกำไร เนื่องจากเหตุการณ์ปะทะตามชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา จนเกิดกระแสต่อต้านสินค้าไทย ทำให้สถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่น ในกัมพูชาที่เคยมีอยู่ประมาณ 200 แห่ง โดยเป็นปั๊มน้ำมันที่โออาร์ เป็นเจ้าของ 10% ส่วนใหญ่เป็นของดีลเลอร์ มีการเปลี่ยนย้ายค่ายไปเป็นแบรนด์อื่นประมาณ 40-50 แห่ง ล่าสุดสถานีบริการในกัมพูชาเหลือประมาณ 150 แห่ง เช่นเดียวกับร้านกาแฟคาเฟ่ อเมซอนที่เหลืออยู่ประมาณ 150 สาขา

“หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาเกิดการปะทะกันอีก จนทำให้ยอดขายปรับลดลงมากจนไม่คุ้มค่าทางธุรกิจ ในกรณีเลวร้ายสุดที่เราทำในซินาริโอ บริษัทฯ คงต้องยุติการทำธุรกิจ โดยตอนนี้ได้คิดไว้หลายซินาริโอ เพราะต้องติดตามสถานการณ์ ยังเดาไม่ออกว่าสถานการณ์จะไปทางไหน ซึ่งแนวทางการทำธุรกิจในกัมพูชาจะมีความชัดเจนภายในเดือนธ.ค.นี้หรืออย่างช้าเดือนม.ค. 69”


ส่วนการลงทุนในเวียดนาม หลังจากโออาร์ ได้แจ้งข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยกเลิกร่วมทุนโออาร์ซีจี กับกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งดำเนินธุรกิจร้านคาเฟ่อเมซอนในเวียดนาม ตอนนี้จะเลิกกิจการทั้งหมดในเวียดนาม เนื่องจากตลาดกาแฟเวียดนามมีการแข่งขันสูงมาก มีวัฒนธรรมการบริโภคกาแฟที่เข้มแข็งของคนท้องถิ่น เราไม่สามารถเอา สูตรความสำเร็จในไทย ไปใช้กับเวียดนามได้ คู่ต่อสู้แข็งแกร่งมาก ซึ่งการทำธุรกิจในเวียดนามมีค่าใช้จ่ายแฝงอยู่พอสมควร จึงไม่สามารถขยายสาขาต่อไปได้  ขณะที่สปป.ลาวที่บริษัทลงทุนทั้งธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน และคาเฟ่ อเมซอนพบว่ายังไปได้ดี ส่วนเมียนมา น่าจะผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้ว โดยเข้าใจว่าในเดือน ธ.ค.นี้ น่าจะมีการเลือกตั้งในเมียนมาเกิดขึ้น และถ้าการเลือกตั้งออกมาในรูปแบบที่เป็นที่ยอมรับได้ในสังคมโลก เมียนมาจะเป็นประเทศหนึ่งที่ไทยมีความได้เปรียบในการเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะในด้านพลังงาน

ทั้งนี้ การเติบโตในต่างประเทศ ยังคงเป็นเสาหลักอันหนึ่งของ OR โดยเสาหลักแรกคือธุรกิจ Mobility รองลงมา คือ ธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Business) อย่างธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Business) แม้จะมีสัดส่วน 4-5% ของรายได้ แต่คิดเป็นเกือบ 30% ของกำไร ส่วนธุรกิจต่างประเทศ ตอนนี้ก็ต้องพักก่อน เงินลงทุนต่างประเทศต้องลดลง และเตรียมปรับยุทธศาสตร์การลงทุนธุรกิจในต่างประเทศใหม่ เพื่อรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top