วันพุธ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นางศุภจี กล่าวว่า การค้าการขายยุคปัจจุบันไม่อาจพึ่งพาเฉพาะตลาดในประเทศได้อีกต่อไป ประเทศไทยจำเป็นต้องขยายการค้าต่างประเทศโดยคำนึงถึง “บริบทโลกใหม่” ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยประเทศไทยกำลังเผชิญกระแสใหญ่ระดับโลก 4 ประการ หรือที่เรียกว่า 4D Megatrends ได้แก่1.De-globalization – การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ จากเหตุการณ์โควิดและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้หลายประเทศกลับมาทบทวนการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานโลก และหันไปพึ่งพาตนเองมากขึ้น เกิดการแบ่งขั้วอำนาจ และการปรับทิศทางการผลิตและการลงทุ 2.Decarbonization – การลดการปล่อยคาร์บอน นโยบายยุโรปและประเทศคู่ค้าหลายแห่งกำหนดให้สินค้าที่นำเข้า ต้องพิสูจน์ได้ว่ากระบวนการผลิต การปลูก และการขนส่งไม่สร้างภาวะโลกร้อน เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดรับมาตรฐานสากล เพื่อรักษาความสามารถแข่งขัน
3.Digitalization – การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและ AI เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เปิดโอกาสใหม่ให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงตลาดโลก แต่หากไม่สามารถใช้เทคโนโลยีทันเวลา ก็อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
4.Demographic Shift – ประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ อัตราการเกิดต่ำกว่าการตาย ทำให้กำลังซื้อภายในประเทศลดลง จึงจำเป็นต้องผลักดันภาคการค้าให้พึ่งพาตลาดต่างประเทศมากขึ้น
“แม้ 4 กระแสโลกจะสร้างแรงกดดันต่อระบบการค้า แต่ก็เปิดช่องโอกาสใหม่ หากไทยสามารถมองเห็นจังหวะและวางตัวให้เหมาะสม” นางศุภจี กล่าว
“โลกวันนี้ไม่ได้มีเพียงสหรัฐฯ และจีนเป็นขั้วอำนาจหลักเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มประเทศเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อาเซียน ยุโรป และตะวันออกกลาง ซึ่งล้วนต้องการขยายความร่วมมือทางการค้ากับไทย ในการประชุม ASEAN Summit ที่ผ่านมา ประเทศคู่ค้าหลายประเทศเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า ต้องการเร่งทำ FTA กับไทย นี่คือข้อได้เปรียบของประเทศไทย เพราะเราไม่เป็นพิษเป็นภัย และได้รับการยอมรับว่าวางตัวเป็นกลางเหมาะสม ทำให้หลายประเทศต้องการเป็นพันธมิตรทางการค้ากับเราชี้ว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี มีคำขอ ขอรับการส่งเสริมการลงทุน (FDI Applications) เพิ่มขึ้นกว่า 30% และมูลค่าการลงทุนเพิ่มกว่า 90% ถือเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์ สะท้อนว่าไทยสามารถใช้ประโยชน์จากการปรับทิศทางของห่วงโซ่อุปทานโลกได้อย่างดี”นางศุภจี กล่าว
“ถ้าเราวางตัวให้ถูกจังหวะ ไทยจะสามารถเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปสงค์–อุปทานใหม่ของโลกได้ การวางตัวของไทยในห่วงโซ่การค้าโลกจากคู่ค้า เป็นพันธมิตร อาศัยหลักการ เป็นมิตร เปิดกว้าง และสร้างประโยชน์ร่วม”
นางศุภจี กล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย โดยสหรัฐฯ ใช้นโยบาย Reciprocal Tariffs หรือภาษีตอบโต้ ซึ่งไทยอยู่ระหว่างการเจรจาในส่วนของ มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff issues) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ ผู้ประกอบการ และเกษตรกรไทย โดยหลายประเทศใช้มาตรการปกป้องทางการค้าเข้มข้นขึ้น ไทยเองก็จำเป็นต้องคุ้มครองผู้ประกอบการไทยเช่นกัน พร้อมทั้งต้องรักษาสมดุล ไม่ปล่อยให้ตลาดถูกกระทบจากสินค้านำเข้าอย่างไม่เป็นธรรม
ทั้งนี้ในยุคที่หลายประเทศใช้ Friend-shoring ไทยต้องทำตัวให้เป็นประเทศที่ “น่าไว้วางใจ” เพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานสินค้าเทคโนโลยี สินค้าดิจิทัล AI ยานยนต์สมัยใหม่ เซมิคอนดักเตอร์ พลังงานสะอาด และไบโอเทคโนโลยี ไทยยังมีศักยภาพที่จะก้าวสู่การเป็น Food Security Provider และ Food Security Hub ของโลก จากความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรทางอาหาร พร้อมต่อยอดด้วยนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์เข้าสู่ Value-based Economy
กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดยุทธศาสตร์ภายใต้ระเบียบโลกใหม่ดังนี้
1) Balance – สร้างสมดุลท่ามกลางการแข่งขันของหลายขั้วอำนาจ
2) Inclusive – เปิดโอกาสให้ SMEs สตาร์ทอัพ และเกษตรกร เข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลก
3) Diversify – ขยายตลาดใหม่ ลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง และส่งเสริมอุตสาหกรรมอนาคต
นางศุภจี กล่าวว่า Quick Big Wins ของกระทรวงพาณิชย์กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพื่อเสริมความเชื่อมั่น สร้างโอกาสให้ภาคเอกชน และทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ กระทรวงพาณิชย์ดำเนินงานครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ นโยบายเชิงรุก นโยบายเชิงรับ การดูแลฐานราก และการสร้างเสถียรภาพทางการค้าและราคาสินค้า โดยเน้นการขยายตลาดส่งออก เปิดตลาดใหม่ และเพิ่มโอกาสการค้ากับประเทศคู่ค้า เช่น ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งกำลังเดินทางไปเจรจา
ที่ผ่านมาตนได้หารือกับผู้บริหารจากหลายประเทศ และจะเดินหน้าพูดคุยต่อกับรัสเซีย อินเดีย สวีเดน รวมถึงเร่งเจรจา FTA ใหม่กับเกาหลีใต้และอินเดีย โดยทุกครั้งต้องทำการบ้านอย่างรอบด้าน ทั้งการศึกษาตลาด ความต้องการสินค้า มาตรฐาน และศักยภาพผู้บริโภค เช่น อินเดียที่มีประชากรรายได้สูงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถเสนอสินค้าที่ตรงความต้องการและปิดการเจรจาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ขอให้เชื่อมั่นว่า หากเราวางตัวให้ถูกเวลาและรู้จังหวะ โลกยุคมัลติโพลาร์นี้ จะไม่ใช่วิกฤตของไทย แต่จะกลายเป็นโอกาสที่ทำให้ประเทศไทยก้าวสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนได้”
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี