วันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจอ้อยและน้ำตาล กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจรสู่ BCG อย่างยั่งยืน เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 12-15 ธันวาคม 2568 นี้ โรงงานน้ำตาล 3 แห่งในกลุ่ม KTIS จะเริ่มเปิดรับอ้อยเข้าหีบประจำฤดูการผลิตปี 2568/2569 ซึ่งคาดว่าฤดูการผลิตนี้จะมีปริมาณอ้อยมากกว่าปีก่อนไม่น้อยกว่า 15% เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่ดี นอกจากนี้ อากาศที่เย็นก็มีผลให้คุณภาพอ้อยหรือค่าความหวานดีขึ้นด้วย เมื่อผลผลิตน้ำตาลทรายต่อตันอ้อยสูงขึ้นก็จะส่งผลต่อปริมาณผลผลิตน้ำตาลทรายโดยรวมเพิ่มขึ้นมากกว่า 15% ด้วยเช่นกัน
“ในฤดูการผลิตปี 2567/2568 กลุ่ม KTIS มีอ้อยเข้าหีบ 6.4 ล้านตัน คาดว่าปี 2568/2569 จะมีอ้อยเข้าหีบ 7.4-7.5 ล้านตัน ซึ่งถือว่าเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของกลุ่ม KTIS เพราะจะทำให้มีวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากขึ้นด้วย ทั้งโรงงานผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อย โรงไฟฟ้าชีวมวล รวมถึงโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ 100%” นายสมชายกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในด้านของผลการดำเนินงานนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิตหรือปริมาณการขายเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับราคาขายด้วย โดยในปี 2568 ที่ผ่านมา ราคาน้ำตาลทรายตลาดโลกลดต่ำลงกว่าที่คาดมาก ทำให้ราคาขายน้ำตาลเฉลี่ยของกลุ่ม KTIS ในปีที่ผ่านมาลดลงกว่า 22% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล นอกจากจะได้รับผลกระทบจากราคาขายเฉลี่ยที่ต่ำกว่าปีก่อนกว่า 33% แล้ว ยังได้รับผลกระทบจากปริมาณการขายที่ลดต่ำลงมาก เนื่องจากความไม่ต่อเนื่องในนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนการใช้แก๊สโซฮอล์ ทำให้ความต้องการเอทานอลลดลงไปอย่างมาก
“ความต้องการใช้และราคาเอทานอลที่ลดลง ส่งผลกระทบไปถึงกิจการร่วมค้า (ร่วมลงทุน) ระหว่างกลุ่ม KTIS กับกลุ่ม ปตท. อย่างมากด้วย เพราะรายได้หลักของกิจการร่วมค้ามาจากการผลิตและจำหน่ายเอทานอล” นายสมชายกล่าว และย้ำว่า ผลกระทบที่หนักที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว และจะเริ่มดีขึ้นจากการร่วมกันแก้ไขปัญหาของกลุ่ม KTIS และกลุ่ม ปตท.
สำหรับธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล ที่มีรายได้เติบโต 24% ในปี 2568 ถือว่าโดดเด่นที่สุดในทุกสายธุรกิจ ก็ยังจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2569 จากปริมาณชานอ้อยที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น และการบริหารจัดการวัตถุดิบที่ดีขึ้นจากนโยบายลดการนำชานอ้อยไปผลิตไอน้ำ และนำมาใช้ผลิตไฟฟ้ามากขึ้น
ส่วนสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษจากชานอ้อย ก็ได้รับผลดีจากการที่มีโรงงานผลิตภาชนะและบรรจุภัณฑ์เยื่อกระดาษย้ายฐานการผลิตมาจากประเทศจีน ทำให้ความต้องการใช้เยื่อกระดาษชานอ้อยในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น แม้ในอีกด้านหนึ่งจะทำให้คู่แข่งของโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อยของกลุ่ม KTIS เพิ่มขึ้นด้วย แต่โรงงานที่สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% ด้วยต้นทุนการผลิตที่ควบคุมได้ เพราะใช้วัตถุดิบจากบริษัทในกลุ่ม KTIS ด้วยกัน มีเพียงบริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์พัลพ์ แอนด์ แพคเกจจิ้ง จำกัด (EPAC) ในกลุ่ม KTIS เท่านั้น ดังนั้น EPAC จึงมีความสามารถในการแข่งขันที่สูง
“กล่าวโดยสรุปก็คือ ผลการดำเนินงานในปี 2568 ที่ผ่านมา ไม่ได้กระทบต่อทิศทางการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนของกลุ่ม KTIS แต่อย่างใด และกลุ่ม KTIS ก็ยังคงมีความตั้งใจในการพัฒนาธุรกิจน้ำตาลและธุรกิจต่อเนื่อง ที่มีผลต่อการสร้างงาน สร้างอาชีพ และมีผลต่อการขายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว” นายสมชายกล่าว
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี