วันเสาร์ ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ดร.เกียรติศักดิ์ คำสี นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC )คาดว่าอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในปี 2026 มีแนวโน้มกลับมาหดตัว จากราคาน้ำมันปาล์มดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง แม้ผลผลิตและความต้องการบริโภคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบในปี 2026 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.54 ล้านตัน จากผลผลิตปาล์มน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19.9 ล้านตัน ตามเนื้อที่ให้ผลและผลผลิตต่อไร่ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการขยายพื้นที่เพาะปลูกและปริมาณฝนที่เพียงพอ ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบไทยโดยเฉลี่ยในปี 2026 จะปรับตัวลดลง 6.8%YOY มาอยู่ที่ 33.9 บาท/กิโลกรัม ตามราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากสต็อกน้ำมันปาล์มดิบโลกจะเพิ่มขึ้น จากผลผลิตโลกที่มีแนวโน้มเติบโตดี ตามสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันถั่วเหลือง (สินค้าทดแทนน้ำมันปาล์ม) ที่มีแนวโน้มลดลงในปี 2026 ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะกดดันราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก ทั้งนี้แม้ไทยจะไม่ได้มีการส่งออกน้ำมันปาล์มไปสหรัฐฯ แต่จะได้รับผลกระทบทางอ้อม จากนโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์ ผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันปาล์มโลก สำหรับอุปสงค์น้ำมันปาล์มดิบของไทยในปี 2026 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.42 ล้านตัน โดยเป็นผลมาจากปริมาณการส่งออกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากผลผลิตส่วนเกิน ประกอบกับความต้องการใช้เพื่อผลิตไบโอดีเซลและเพื่อบริโภคในประเทศจะเพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย
อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ำมันถั่วเหลืองซึ่งเป็นสินค้าทดแทน การเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงานทางเลือกของไทยและอินโดนีเซีย และสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนรุนแรง ซึ่งจะกระทบต่อความต้องการบริโภค ผลผลิตและราคาน้ำมันปาล์มดิบ
อนึ่ง อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มกำลังเผชิญปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน โดยในปัจจุบันอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มมีกำลังการผลิตเพื่อแปรรูปปาล์มน้ำมันสูงกว่าผลผลิตปาล์มน้ำมันราว 1 เท่า ทำให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันกันจัดหาผลปาล์มน้ำมันมาป้อนโรงงานให้ได้มากที่สุด เพื่อลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลง
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันปาล์มที่ผันผวนสูงและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการแข่งขันกันพัฒนาความสามารถในการจัดการความเสี่ยงด้านราคาและมุ่งสู่ความยั่งยืน โดยบริษัทที่สามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกร สามารถจัดการความเสี่ยงด้านราคาได้ดี มีต้นทุนการผลิตต่ำ และมีการดำเนินธุรกิจที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล จะประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมนี้และเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ในปี 2024 บริษัทน้ำมันปาล์ม 10 อันดับแรกมีส่วนแบ่งรายได้รวม 41.2% ของรายได้ทั้งหมดในหมวดธุรกิจการผลิตน้ำมันปาล์ม จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม มีส่วนแบ่งรายได้มากเป็นอันดับ 1 ที่ 7.5% ตามมาด้วย พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ (5.6%), ล่ำสูง (4.8%), ไทยทาโลว์แอนด์ออยล์ (3.9%), สุขสมบูรณ์น้ำมันปาล์ม (3.6%), กลุ่มสมอทอง (3.6%), เอส.พี.โอ.อะโกรอินดัสตรี้ส์ (3.3%), ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม (3.1%), กลุ่มปาล์มธรรมชาติ (3.0%) และธนาปาล์มโปรดักส์ (2.8%) โดยในระยะต่อไป คาดว่าส่วนแบ่งรายได้จะกระจุกตัวอยู่ที่บริษัทขนาดใหญ่มากขึ้น เนื่องจากมีการขยายกำลังการผลิตของผู้เล่นรายใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตของผู้ผลิตรายใหญ่ปรับตัวลดลง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กแข่งขันได้ยากและทยอยออกจากตลาด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี