วันเสาร์ ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2568
nn ตัวเลขการเข้ารับการส่งการลงทุนจาก...คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)...ในปี 2568 ช่วง 9 เดือนแรก... ในมิติของจำนวนโครงการ มีถึง 2,622 โครงการ เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ( YOY) มูลค่าเงินลงทุนรวม 1,374,553 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94% (YOY) ... และส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจดิจิทัล โดยเฉพาะกิจการ Data Center และกิจการพัฒนาซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล และดิจิทัลคอนเทนต์ ซึ่งมีมูลค่า 612,768 ล้านบาท (119 โครงการ)...คิดคร่าวๆ ก็ 50% ของยอดการยื่นขอรับ BOI ทั้งหมด
และการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ครั้งล่าสุดในเดือนธันวาคม 2568 ...บอร์ดบีโอไอก็ได้อนุมัติโครงการลงทุน จำนวน 15 โครงการ มูลค่ากว่า 2.4 แสนล้านบาท ประกอบด้วย 1.กิจการดาต้าเซ็นเตอร์ 11 โครงการ รวมมูลค่า 184,740 ล้านบาท 2. กิจการนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ เงินลงทุน 3,464 ล้านบาท 3. กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ขนาด 90 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 5,635 ล้านบาท 4. กิจการขนถ่ายสินค้าทางเรือ เงินลงทุน 14,122 ล้านบาท และ 5. กิจการผลิตโพแทสเซียมคลอไรด์ ลงทุน 40,468 ล้านบาท
เห็นตัวเลขเม็ดเงินลงทุนแบบนี้มันก็น่าจะดีใจอยู่นะ...แต่ทำไมในช่วงหลายปีมานี้การลงทุนภาคเอกชนกลับมีบทบาทน้อยมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สงสัยกันไหม???
ถึงตรงนี้...หนึ่งในคำตอบสำหับข้อสงสัยนี้ คือ...แม้ที่ผ่านมาความต้องการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย สะท้อนจากมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในปี 2567 และ 9 เดือนแรกของปี 2568 ที่แตะระดับ 1 ล้านล้านบาทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบหลายปีและเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19.... แต่รูปแบบความต้องการลงทุนกลับไม่ได้กระจายไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีห่วงโซ่การผลิตยาวหรืออุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตจำนวนมาก (Mass Production) ซึ่งสามารถสร้างแรงกระเพื่อมต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานในวงกว้างอย่างที่เคยเป็นมา (เช่น ปิโตรเคมี การผลิตยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน เครื่องใช้ไฟฟ้า) แต่กลับมุ่งเป้าลงทุนในอุตสาหกรรมกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูงและอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมการให้บริการด้านเทคโนโลยีที่ยังมีห่วงโซ่การผลิตในประเทศค่อนข้างสั้น อาทิ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) โครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์ (Cloud Infrastructure) และ AI ฯลฯ
ดังนั้น โจทย์ท้าทายที่สำคัญของประเทศไทยคือ การยกระดับห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมดั้งเดิมให้เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมโลกผ่านการเพิ่มกฎเกณฑ์ด้านถิ่นกำเนิด (Local Content / RVC) เพื่อสร้างแรงจูงใจการสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งระบบห่วงโซ่การผลิต (System-level Incentive) รวมถึงการเปลี่ยน “มูลค่าการขอรับการสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่” ให้กลายเป็น “มูลค่าการลงทุนจริง” ภายในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการสร้างความพร้อมด้านทักษะแรงงาน ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และความชัดเจนด้านนโยบายภาษีและกฎระเบียบในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี