จับกระแสพลังงาน : 16 ธันวาคม 2568

จับกระแสพลังงาน : 16 ธันวาคม 2568

วันอังคาร ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 02.00 น.

** บมจ.ไทยออยล์...คาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบรอบสัปดาห์นี้ (15 – 19 ธ.ค. 68)...โดยระบุว่าราคาน้ำมันดิบยังคงผันผวน เนื่องจาก FED มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% อยู่ที่ระดับ 3.50-3.75% ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่โรงกลั่นน้ำมันสำเร็จรูปในอินเดีย และจีนมีแนวโน้มที่จะซื้อน้ำมันดิบจากบริษัทรัสเซียที่ไม่โดนคว่ำบาตรจากสหภาพยุโรป เนื่องจากมีราคาที่ดี

อย่างไรก็ตาม คาดว่าอุปทานน้ำมันดิบในตะวันออกกลางจะปรับเพิ่มขึ้นจากข้อตกลงความร่วมมือของบริษัท SPC ที่จะฟื้นฟูแหล่งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติซีเรีย ส่งผลให้อุปทานน้ำมันคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น และกดดันตลาดน้ำมันดิบ…ไทยออยล์...คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 56-66 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล…ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 58-68 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล…


** บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2 ประจำปี 2568 เพื่อพิจารณาโครงการบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Asset Monetization) ซึ่งเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนของบริษัท อาทิ ถังเก็บน้ำมันดิบ ทุ่นผูกเรือกลางทะเล (Single Buoy Mooring: SBM) สถานีจ่ายน้ำมันทางรถ และที่ดิน ณ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี…โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างไทยออยล์และบริษัท แทงค์ อินฟรา จำกัด (Tank Infra: บริษัทย่อยของ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด) ในการร่วมจัดตั้ง บริษัท ท็อป อินฟรา จำกัด (TOP Infra) โดยไทยออยล์ถือหุ้นในสัดส่วน 51% และ Tank Infra ถือหุ้น 49% โครงการประกอบด้วยธุรกรรมหลัก 2 ส่วน ได้แก่ 1.ไทยออยล์ทำสัญญาให้เช่าทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานแก่ TOP Infra ระยะยาว 21 ปี และ 2.ไทยออยล์เช่าช่วงทรัพย์สินกลับมาใช้ในการดำเนินธุรกิจโรงกลั่นอย่างต่อเนื่อง...

ทั้งนี้ โครงสร้างธุรกรรมทั้งหมดเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของรายการที่เกี่ยวโยงกันและรายการได้มาและจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนอย่างครบถ้วน การดำเนินโครงการจะช่วยเพิ่มสภาพคล่อง เสริมความยืดหยุ่นทางการเงิน และสนับสนุนการบริหารโครงสร้างเงินทุนของบริษัทให้มีเสถียรภาพและความสามารถในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น…

** ฐานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 7 ธ.ค. 2568 ติดลบรวม -11,479 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบรวม -40,194 ล้านบาท และมาจากบัญชีน้ำมันที่มีเงินไหลเข้ารวม 28,715 ล้านบาท  โดยยอดเงินติดลบ -11,479 ล้านบาทนี้ นับว่าติดลบน้อยที่สุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2566  …โดยวันที่ 1 ม.ค. 2566 ติดลบรวม -121,491 ล้านบาท , วันที่ 7 ม.ค. 2567 ติดลบรวม -80,101 ล้านบาท และ 5 ม.ค. 2568 ติดลบรวม -75,945 ล้านบาท ปัจจุบัน 8 ธ.ค. 2568 ติดลบรวม -11,479 ล้านบาท…

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2568 คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้มีมติเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลเพื่อส่งเข้ากองทุนฯ เพิ่มขึ้นอีก 40 สตางค์ต่อลิตร โดยผู้ใช้ดีเซล และดีเซล B20 ส่งเข้า 0.90 บาทต่อลิตร และผู้ใช้ดีเซลเกรดพรีเมียม ส่งเข้า 2.40 บาทต่อลิตร ส่วนผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ส่งเงินเข้ากองทุนฯ  2 บาทต่อลิตร , น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ส่งเข้า 0.90 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ส่งเข้า 2.20 บาทต่อลิตร และเบนซินธรรมดา ออกเทน 95 ส่งเข้า 8.80 บาทต่อลิตร...สำหรับในส่วนของภาระหนี้สำคัญที่ได้กู้ยืมเงินมาจากสถาบันการเงินฯ ไว้รวม 105,333 ล้านบาท ระหว่างปี 2565-2566 ปัจจุบันเหลือหนี้อยู่ 33,054 ล้านบาท ซึ่งจะต้องทยอยจ่ายเงินต้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกรอบเวลาที่กู้มาแต่ละครั้ง โดยในเดือน ต.ค. 2568 นี้ จะต้องจ่ายหนี้เงินต้นสูงสุดประมาณ 3,000 ล้านบาท หลังจากนั้นจะค่อยๆทยอยลดลง และในแต่ละเดือนจะต้องจ่ายดอกเบี้ย 250 ล้านบาทต่อเดือนด้วย โดยคาดว่าจะชำระหนี้หมดตามกำหนดในปี 2572…

** ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ ว่าพบการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังประเทศกัมพูชา นั้น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัทในกลุ่ม ได้ชี้แจงว่า ขอยืนยันว่ากลุ่ม ปตท. ไม่มีการส่งออกน้ำมันไปที่ประเทศกัมพูชา โดยมีนโยบายงดส่งออกตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 และถือปฏิบัติมาตั้งแต่เกิดสถานการณ์ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงพลังงาน ในการตระหนักถึงความมั่นคงของประเทศและพี่น้องประชาชนคนไทยเป็นสำคัญ…จับกระแสพลังงาน...คิดว่าผู้ค้าน้ำมัน ตามมาตรา 7 ของไทย มีอยู่ไม่ถึง 10 ราย...น่าจะหาตัวได้ไม่ยากนะว่า รายไหนขายน้ำมันให้กัมพูชา...** บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.)...รับรางวัลองค์กรที่มีการบริหารจัดการที่เป็นเลิศ Thailand Corporate Excellence Awards 2025 ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวม 6 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในสาขาความเป็นเลิศด้านการพัฒนาการบริหารจัดการขององค์กร (Corporate Improvement Excellence Award) และ SMEs Excellence Awards 2025 ประเภทธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง (ในนามผู้เสนอชื่อบริษัท เมซัน รอแยล จำกัด )…

นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัลระดับ Distinguished ใน 4 สาขา ได้แก่ สาขาความเป็นเลิศด้านการบริหารทางการเงิน (Financial Management Excellence Award) สาขาความเป็นเลิศด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล (Human Resource Management Excellence Award) สาขาความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ (Innovation Excellence Award) และสาขาความเป็นเลิศด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Excellence Award)…**

** กระบองเพชร**

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top