บริษัททริสเรทติ้งคาดว่าอัตราการเติบโตของการบริการทางการแพทย์ในไทยจะเติบโตในระดับปานกลางในช่วงปี 2568-2569 โดยถูกจำกัดจากแรงต้านทางเศรษฐกิจที่ยังคงอยู่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มระยะยาวยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดี ปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนผู้สูงอายุ การตระหนักรู้ด้านการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันที่สูงขึ้น และการทำประกันสุขภาพที่สูงขึ้น

รายได้ของโรงพยาบาลเอกชนคาดว่าจะดีขึ้น โดยมีแรงหนุนจากหลายปัจจัย รายได้จากผู้ป่วยประกันสังคมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สนับสนุนโดยความครอบคลุมทางการแพทย์ที่อยู่ภายใต้ระบบประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น และการปรับคืนอัตราค่าชดเชยสำหรับการรักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง  ขณะเดียวกัน สัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยที่มีประกันจะยังคงขยายตัว เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านของผู้ป่วยชำระเงินเองไปสู่ความคุ้มครองจากประกันสุขภาพ ผู้บริโภคหันมาซื้อประกันสุขภาพมากขึ้นเพื่อบริหารจัดการค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นและการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ดีขึ้น

รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2568-2569 โดยการเติบโตจะได้รับแรงสนับสนุนจากฐานผู้ป่วยที่หลากหลายและรายได้ที่สูงจากการรักษาโรคที่ซับซ้อน แม้จะมีประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ล่าสุดที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณผู้ป่วยจากกัมพูชา

ขณะที่การแข่งขันระหว่างโรงพยาบาลเอกชนในไทยยังคงรุนแรง เนื่องจากกลุ่มโรงพยาบาลจำนวนมากยังคงขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง จำนวนโรงพยาบาลทั้งหมดเพิ่มขึ้นจาก 1,401 แห่งในปี 2566 เป็น 1,404 แห่งในปี 2567 ครอบคลุมทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ ขณะที่จำนวนเตียงเพิ่มขึ้นเป็น 174,336 เตียงในปี 2567 จาก 171,359 เตียงในปี 2566

การแข่งขันระดับภูมิภาคยิ่งเพิ่มแรงกดดันมากขึ้น โดยโรงพยาบาลในสิงคโปร์และมาเลเซียต่างดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีการรักษาที่ล้ำสมัยและการขยายศูนย์สุขภาพ โรงพยาบาลเอกชนในไทยตอบสนองด้วยกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่ การพัฒนาศักยภาพเฉพาะทางสำหรับการรักษาโรคซับซ้อน การขยายฐานผู้ป่วยต่างชาติ และการพัฒนาบริการที่มุ่งเน้นกลุ่มผู้สูงอายุและตลาดสุขภาพเชิงป้องกัน การแข่งขันในภูมิภาคนี้มีแนวโน้มสร้างอุปสงค์ต่อบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตามทริสเรทติ้งเชื่อว่ากลุ่มโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำมีความพร้อมที่จะรับมือกับสภาพการแข่งขันนี้ โดยยังคงมีแผนการลงทุนที่แข็งแกร่งเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันให้ทัดเทียมกับคู่แข่งในภูมิภาค

สำหรับโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้ง คาดว่ารายได้จะยังคงเติบโตสอดคล้องกับแนวโน้มระยะยาวของอุตสาหกรรม ผู้ออกตราสารที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตยังคงลงทุนในการขยายเครือข่ายโรงพยาบาล ยกระดับความสามารถในการรักษา และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ การลงทุนเหล่านี้จะใช้เงินจากกระแสเงินสดภายในเป็นหลัก ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ทางการเงินที่มีวินัย นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าผู้ออกตราสารที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจะรักษาระดับหนี้สินให้อยู่ในระดับต่ำ