วันพุธ ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาเดินหน้าปูพรมปราบสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในท้องตลาดอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้ง โดยส่งชุดปฏิบัติการด้านการปราบปรามฯ ของกรม ลงพื้นที่ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ(บก.ปอศ.) กรมศุลกากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ และภาคเอกชนเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ลุยตรวจจับสินค้าละเมิดฯ ในท้องตลาด ห้างสรรพสินค้า และย่านการค้ายอดนิยมทั่วประเทศ มาอย่างต่อเนื่อง
โดยแบ่งการปฏิบัติการออกเป็น 3 ชุดหลัก ได้แก่ (1) ชุดจรยุทธ์ เฝ้าระวังพื้นที่ศูนย์การค้าและย่านการค้าสำคัญในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เช่น ศูนย์การค้าเอ็มบีเคเซ็นเตอร์ แพลตินัม ประตูน้ำ สำเพ็ง สีลมพร้อมพงศ์ สุขุมวิท โดยลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน รวมทั้งกรณีได้รับแจ้งจาก บก.ปอศ.จะเข้าปฏิบัติการทันทีเมื่อมีหมายค้น (2) ชุดระดม กระจายกำลังตรวจตราพื้นที่สุ่มเสี่ยงในต่างจังหวัด ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยออกปฏิบัติการต่อเนื่องทุก 2 สัปดาห์
ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 – 14 ธันวาคม 2568 ชุดระดม และ บก.ปอศ. ร่วมลงปฏิบัติการในพื้นที่ภาคอีสาน 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา หนองคาย อุดรธานี และขอนแก่น นำหมายค้นเข้าตรวจค้นร้านค้า อาคารพาณิชย์ และบ้านเป้าหมายหลายจุด จับกุมผู้กระทำความผิด 5 ราย ตรวจยึดของกลางสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจำนวน 4,505 ชิ้น มูลค่าความเสียหายกว่า 4.6 ล้านบาท เป็นสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้า เช่น อะไหล่รถจักรยานยนต์ เสื้อผ้า เคสโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น พร้อมนำส่งของกลางและผู้ต้องหาต่อพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และ (3) ชุดตรวจสอบและประเมินผล ตรวจสกัดการจำหน่ายสินค้าละเมิดฯ ในพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษ (พื้นที่สีแดง) ตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญใน 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย) สงขลา กระบี่ และประจวบคีรีขันธ์ โดยลงพื้นที่ปฏิบัติการเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งผลการปราบปรามโดยรวมเป็นที่น่าพอใจ สามารถขยายผลนำไปสู่การจับกุมและสกัดกั้นสินค้าละเมิดฯ จำนวนมาก โดยสถิติของการลงพื้นที่ปฏิบัติการในปี 2568 (มกราคม - พฤศจิกายน) หน่วยปฏิบัติการของกรมทั้ง 3 ชุด ได้ร่วมลงพื้นที่และสามารถจับกุมสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาได้กว่า 298 คดี และยึดของกลางได้กว่า 1.5 ล้านชิ้น
จากแหล่งเก็บสินค้า โกดัง แหล่งกระจายสินค้า รวมทั้งย่านการค้าและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ โดยสินค้าละเมิดฯ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทเครื่องสำอาง อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ และสินค้าแบรนด์เนมปลอม จำพวกเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา แว่นตา และเครื่องประดับ ซึ่งล้วนเป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและอาจก่ออันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน
นางอรมน สรุปสถิตการจับกุมปราบปรามสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในช่วง11 เดือนแรก (มกราคม - พฤศจิกายน) ปี 2568 รวมทั้งสิ้น 1,132 คดี ยึดของกลาง 3,344,841 ชิ้น รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 1,140 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการบูรณาการร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 789 คดีของกลาง 1,820,574 ชิ้น กรมสอบสวนคดีพิเศษ 7 คดี ของกลาง 952,592 ชิ้น และกรมศุลกากร 336 คดี ของกลาง 571,675 ชิ้น ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบสถิติในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มีการจับกุมสินค้าละเมิดฯ 1,350 คดี ยึดของกลาง 2,756,369 ชิ้น มูลค่าความเสียหาย 700 ล้านบาท
อย่างไรก็ดีจะเห็นได้ว่าปี 2568มีการจับกุมดำเนินคดีลดลงกว่า 16.15% แต่มีจำนวนของกลางเพิ่มมากขึ้น 21.35% และมูลค่าความเสียหายเพิ่มสูงกว่า 63.89% สะท้อนถึงความเข้มข้นและประสิทธิภาพของการปราบปรามเชิงรุก โดยมุ่งเน้นการสกัดกั้นสินค้าละเมิดฯ ตั้งแต่แหล่งต้นน้ำ ซึ่งของกลางที่คดีถึงที่สุดแล้วทั้งหมดจะถูกทำลายอย่างสิ้นซาก เพื่อปิดตายวงจรสินค้าละเมิดฯ ไม่ให้หมุนเวียนกลับสู่ท้องตลาดได้อีก
พร้อมกันนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ยกระดับการปราบปรามสินค้าละเมิดฯ ในตลาดออนไลน์อย่างจริงจัง โดยนำมาตรการ Notice and Takedown มาใช้ภายใต้บันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเทอร์เน็ตระหว่างกรม เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา และแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำ ซึ่งสามารถระงับการจำหน่ายสินค้าละเมิดฯ บนแพลตฟอร์ม e-Commerce ชั้นนำ
5 ราย ได้แก่ Lazada Shopee TikTok Shop NocNoc และ Nex Gen Commerce ได้กว่า 2,867 รายการ และเตรียมขยาย MOU ความร่วมมือดังกล่าวไปยังแพลตฟอร์ม Line Shopping โดยมีกำหนดลงนาม MOU ร่วมกับบริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด ในวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ที่จะถึงนี้ เพื่อเพิ่มเสริมกลไกการป้องกันและปราบปรามการละเมิดฯ ออนไลน์อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญายืนยันหนักแน่นถึงแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองและปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์และส่งเสริมนำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด ตลอดจนผลักดันการขับเคลื่อนแผนพัฒนา
ด้านทรัพย์สินทางปัญญา พ.ศ. 2569 – 2570 ตามแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติกำหนด เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐกว่า 30 หน่วยงาน เดินหน้าป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเชิงรุกอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม โดยมีมาตรการสำคัญ อาทิ
(1) ขยายผลการจับกุมและการปราบปรามผู้กระทำความผิดจากผู้ขายสินค้าละเมิดรายย่อยไปยังผู้ผลิตหรือขายสินค้ารายใหญ่ (แหล่งต้นน้ำ) อย่างเข้มงวด รวดเร็ว (2) ใช้กฎหมายอื่นประกอบเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด เช่น กฎหมายฟอกเงิน กฎหมายคนเข้าเมือง กฎหมายภาษี (3) ขยายความร่วมมือ MOU การปราบปรามในตลาดออนไลน์ไปยังผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอื่นๆ (4) มาตรการให้เจ้าของพื้นที่ยกเลิกสัญญากับผู้เช่า กรณี
ผู้เช่าจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการประกอบธุรกิจและสินค้าที่ขาย มิเช่นนั้นจะใช้มาตรการทางแพ่งดำเนินคดีกับผู้ให้เช่าพื้นที่ขายสินค้าละเมิด โดยใช้หลักการความรับผิดชอบร่วม รวมทั้งเปลี่ยนบทบาทจากผู้เพิกเฉยเป็นผู้ร่วมแก้ปัญหา (5) การปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน และรณรงค์สร้างความตระหนักเกี่ยวกับอันตรายและความเสี่ยงจากการใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ (6) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปราบปรามการละเมิดออนไลน์ผ่านอุปกรณ์หรือแอพลิเคชันสำหรับ
การสตรีมมิ่ง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการประเมินผลและทบทวนมาตรการด้านการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งยกระดับความรู้และทักษะการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ทั้งกระบวนการสืบสวน จับกุม และสอบสวนดำเนินคดี ซึ่งจะช่วยให้การคุ้มครองและป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและเห็นผลอย่างชัดเจน
นางอรมน กล่าวทิ้งท้ายว่า ความสำเร็จในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนเจ้าของสิทธิ และภาคประชาชน ร่วมกันส่งเสริมการเคารพสิทธิในผลงานสร้างสรรค์ของผู้อื่น รณรงค์ "ไม่ซื้อ ไม่ใช้ และ
ไม่สนับสนุนสินค้าละเมิดฯ" ซึ่งแม้ลักษณะภายนอกจะใกล้เคียงกับสินค้าจริง แต่เป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค จึงฝากเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังในการชื้อสินค้าราคาถูกมาใช้ เพราะอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยความปลอดภัยต่อชีวิตและร่างกาย และควรเลือกซื้อสินค้าจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เลือกดูบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ไม่มีตำหนิ ราคาเหมาะสม ไม่ถูกกว่าท้องตลาดจนเกินไป ทั้งนี้ บทลงโทษของการจำหน่ายสินค้าปลอมเครื่องหมายการค้า มีโทษจำคุกสูงสุด 4 ปี ปรับสูงสุด 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนการจำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ มีโทษจำคุกสูงสุด 4 ปี หรือปรับสูงสุด 800,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นการกระทำที่เข้าข่ายละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา สามารถแจ้งเบาะแสมายังกองป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา กรมทรัพย์สินทางปัญญา โทร. 02-547-4702 สายด่วน 1368 หรือเว็บไซต์ www.ipthailand.go.th
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี