ดีที่ช่วงนี้มีข่าวการคว้าแชมป์โลกหญิงเดี่ยวแบดมินตันของ “น้องเมย์” รัชนก อินทนนท์ มาสร้างความสุขให้กับคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งหากไม่มีข่าวสร้างความสุขกรณี “น้องเมย์” มาช่วยกลบคนทั้งประเทศก็คงอึดอัดเคร่งเครียดกับข่าวสถานการณ์บ้านเมืองที่ล้วนแต่เป็นไปในด้านลบ และที่สำคัญรัฐบาลหุ่นเชิดชุดนี้นับวันจะยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงธาตุแท้พฤติกรรมความเป็นเผด็จการในคราบประชาธิปไตยที่ลุแก่อำนาจหนักข้อมากขึ้นทุกขณะ

องค์กรตำรวจซึ่งแทนที่จะเป็นผู้รับใช้ประชาชนถูกตั้งข้อสังเกตว่ากลายเป็นรัฐตำรวจที่เป็นเครื่องมือทางการเมืองรับใช้ระบอบทักษิณและพรรคเพื่อแม้วอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งผลงานที่กำลังถูกประชาชนด่าขรมทั่วเมืองขณะนี้ก็คือการที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) มีแผนตรวจสอบการสื่อสารของประชาชนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊ค ยูทูบ วอทส์แอพพ์ และไลน์ ด้วยข้ออ้างเรื่องความมั่นคง ซึ่งถือเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน และละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

อีกทั้งเป็นการส่งสัญณาณข่มขู่คุกคามปิดปากการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของประชาชนโดยเฉพาะผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารประเทศของรัฐบาล

ก่อนหน้านี้รัฐบาลถึงกับมีแนวคิดจัดซื้ออุปกรณ์ดักฟังข้อมูลการสื่อสารของประชาชน ซึ่งพฤติกรรมของรัฐบาลส่อให้เห็นถึงความเป็นเผด็จการในคราบประชาธิปไตย

นอกจากนี้ รัฐบาลยังอาศัยการสถาปนารัฐตำรวจเป็นเครื่องมือปฏิบัติแบบสองมาตรฐานด้วยการไม่ดำเนินคดีตามกฎหมายกับการออกมาเคลื่อนไหวแบบถ่อย ดิบ เถื่อน ของกลุ่มคนเสื้อแดง อาทิ การปล่อยให้คนเสื้อแดงออกมารุมทำร้ายประชาชนที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล หรือปล่อยให้คนเสื้อแดงขัดขวางการปราศรัยของฝ่ายค้าน รวมทั้งการที่รัฐบาลให้ท้ายกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งเป็นพวกเดียวกันข่มขู่คุกคามองค์กรอิสระต่างๆ อย่างศาลรัฐธรรมนูญ หรือล่าสุดคือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

หรือกรณีที่ก่อนหน้านี้รัฐตำรวจปล่อยให้แกนนำคนเสื้อแดงอย่าง นายขวัญชัย ไพรพนา แต่งชุดตำรวจหน่วยปราบจลาจลปฏิบัติตัวราวกับเป็นเจ้าหน้าที่โดยทำงานร่วมกับกำลังตำรวจที่รักษาการอยู่ภายในรัฐสภาเพื่อเตรียมดับเครื่องชนพลังประชาชนที่ออกมาชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมหากสถานการณ์ลุกลามถึงจุดแตกหัก ขณะที่มีข่าวว่ามีการระดมคนเสื้อแดงจำนวนมากปะปนอยู่กับกำลังของตำรวจเพื่อทำสงครามขั้นแตกหักกับพลังประชาชน

นอกจากนี้รัฐตำรวจยังส่อพฤติกรรมบิดเบือนคดีอุ้มฆ่านายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจและนักเคลื่อนไหวต่อต้านระบอบทักษิณ โดยพยายามสรุปสำนวนว่าเป็นคดีฆ่าชิงทรัพย์ ทั้งๆ ที่ผลการตรวจสอบศพ นายเอกยุทธ รวมทั้งหลักฐานต่างๆ อย่างละเอียดโดย แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตลอดจนผลการชันสูตรของแพทย์ด้านนิติเวชชี้ชัดว่า นายเอกยุทธ เสียชีวิตจากทีมสังหารมืออาชีพซึ่งได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะไม่ใช่ฝีมือของ นายสันติภาพ เพ็งด้วง และพวกที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้

ล่าสุด นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของนายเอกยุทธ เปิดเผยว่า นายสันติภาพ ได้กลับคำให้การโดยระบุว่า เขาไม่ใช่คนลงมือสังหาร นายเอกยุทธ แต่เป็นฝีมือของทีมคนมีสีที่ถูกว่าจ้างจากจอมบงการด้วยเงินถึง 3 ล้านบาท

เพราะฉะนั้นคดีอุ้มฆ่า นายเอกยุทธ เชื่อว่ามีสาเหตุมาจากแรงจูงใจทางการเมือง โดยบุคคลที่แค้น นายเอกยุทธ ชนิดเข้ากระดูกดำ และการที่รัฐตำรวจพยายามเบี่ยงเบนรูปคดีให้เป็นคดีฆ่าชิงทรัพย์สะท้อนพิรุธเพื่ออำพรางตัดตอนไม่ให้มีการสาวไปถึงตัวผู้บงการซึ่งจะต้องเป็นผู้มีอำนาจอิทธิพลทางการเมืองสูงมาก

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนบรรยากาศบ้านเมืองเหมือนอยู่ในยุคมืดไม่ต่างอะไรจากยุครัฐบาลพรรคนาซีภายใต้การนำของอดีตจอมเผด็จการทรราชของโลกอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในอดีต ที่ใช้อำนาจเผด็จการทำอะไรตามใจชอบทั้งการออกกฎหมายเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง รวมไปถึงการมีหน่วยตำรวจลับ “เกสตาโป” ตามสังหารใครก็ตามที่ต่อต้านขัดขวางระบอบฮิตเลอร์

ทีมข่าวการเมือง