จาก “เอกประพันธ์”, “คริชณะ”, “พีระ” และล่าสุด กวินพนธ์ พาณิชย์พงส์ แต่ชื่อ “กำปั้น บาซู” ถือเป็นชื่อที่นักร้องหนุ่มกลุ่มแดนซ์ในตำนาน รู้สึกภาคภูมิใจมากที่สุด ที่ทำให้เขาได้เติบโตและโลดแล่นในวงการบันเทิงจนถึงทุกวันนี้ แม้ระหว่างทางเดิน เขาจะต้องพบเจออุปสรรคมากมาย แต่สุดท้ายแล้วก็สามารถฟันฝ่ามาได้!!

ก่อนที่จะมาเป็น ‘บาซู’

ผมเป็นนักร้องตามผับมาก่อน พอจบ ม.3 ก็เริ่มทำงานแล้ว ไปร้องเพลงตามผับกับพี่ชายที่เขาเล่นดนตรี แล้วก็ร้องมาเรื่อยๆ จนยึดเป็นอาชีพ ในวัยเด็กฝันอยากจะเป็นนักร้อง เป็นอาชีพเดียวเลยครับที่ฝัน สไตล์เพลงที่ร้องจะแบบ “พี่เจ-เจตริน” ซึ่งตอนนั้นพี่เจกำลังดังอยู่เลย ผมประกวดร้องเพลงมาเรื่อยๆ เคยประกวดที่สยามกลการรุ่นเดียวกับ “ทาทา ยัง” แต่ก็ตกรอบ 60 คน แล้วหลังจากนั้นก็ยังคงร้องเพลงตามผับมาเรื่อยๆ จน “เฮียฮ้อ” (สุรชัย เชษฐ์โชติศักดิ์) ไปเห็นเราที่ “ฮอลลีวู้ด รัชดา” ก็เลยเรียกเข้าไปแคส ตอนนั้นผมพอจะเต้นได้บ้าง แต่ว่าไม่ได้มาสายแดนซ์ คือจะเต้นสเต็ปธรรมดา

ก้าวเข้าสู่ ‘อาร์เอส’

ตอนนั้นเขากำลังจะทำ “บาซู” และเขามี “พี่โจอี้” กับ “เด็บบี้” อยู่แล้ว แต่เฮียอยากจะหานักร้องผู้ชายเพิ่มอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นอะไรที่ด่วนมาก ดังนั้นเขาเลยไปหานักร้องที่สามารถร้องเพลงและเต้นได้เพื่อเอามาฝึกอีกนิดหน่อย ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนก็ออกอัลบั้มเลย ผมจำได้ว่าเข้ามาอาร์เอส เดือนกันยายน ปี 2541 วันที่ 23 ตุลาปี’41 อัลบั้มบาซู ก็วาง ในอัลบั้มแรกก็เลยจะมีผมร้องแค่ 2 เพลง พี่โจอี้ เด็บบี้เขาร้องกันไว้แล้ว ตอนนั้นหลายๆ คนอาจจะงง ว่าเอ๊ะ!เสื้อฟ้ามันมาทำอะไร (หัวเราะ) เป็นแดนเซอร์หรือเปล่า พอถึงเพลงที่เราร้อง เขาก็แซวกันว่ากำปั้นร้องแล้วจุดพลุหน่อย ยอมรับว่าตอนแรกยังแอบงงๆ กับชีวิตอยู่ เพราะว่ามันเร็วมาก พอมาทำอัลบั้ม 2 เราก็เลยมีส่วนร่วม ออกความคิดเห็นได้มีเพลงของตัวเอง

ความลงตัวของ ‘บาซู’

3 คนจะเป็น 3 เจนเนอเรชั่นเลยครับ พี่โจอี้ 30ผม 20 เด็บบี้ 15 คาแร็กเตอร์ของแต่ละคนก็ชัดเจน เรามีความบ้าพลังเต้นกันมาก เพราะว่าอยากทำงาน ง่ายๆ สบายๆ ก็เลยไปด้วยกันได้ เรามีอัลบั้มเพลงเต็ม 5 ชุด แล้วก็มีอีกหนึ่งชุดที่ไปออกที่ไต้หวัน มี 3 ซิงเกิ้ลเป็นภาษาจีนกลาง แล้วก็อัลบั้มพิเศษบาซู มีอัลบั้มแดนซ์อาร์มี่ 2 อัลบั้ม ในชีวิตนี้ออกมา 12 อัลบั้มแล้ว กับอีก 1 ซิงเกิ้ลเดี่ยว รวมเวลาเป็นบาซู 6 ปี กับเอกลักษณ์ของบาซูก็คือเป็นวงที่มีผู้หญิงผู้ชายอยู่ในวงเดียวกัน เสื้อผ้าการแต่งตัวที่เป็นสีสัน และมีท่าเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีคนจำได้อยู่ คือท่าเกี่ยวขา จากเพลงโธ่เอ๊ย เมื่อก่อนตอนที่เต้นเราจะอายมาก เต้นแล้วมันตลก แต่ทุกวันนี้ใครเจอเราก็จะนึกถึงท่าเกี่ยวขา พอเรามองย้อนกลับไปก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า เราควรจะภูมิใจกับท่าเต้นนี้นะไม่น่าอายเลย

สิ่งที่ได้รับจากการเป็น ‘บาซู’

เยอะมาก ชีวิต ฐานะ การเงิน ทุกอย่าง ประสบการณ์ต่างประเทศ ประสบการณ์ต่างๆ ในวงการบันเทิง ซึ่งความฝันของเรามันเป็นจริงแล้ว เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักร้องแนวแดนซ์ ซึ่งมันก็ไม่ได้ดูขัดกับตัวเราเลย เพราะว่าผมก็ชอบเต้นอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะเต้นสไตล์ “โดม” “แร็พเตอร์”แต่เขาก็จัดให้เราว่าต้องเป็นแดนซ์กรุ๊ปที่ต้องเก่งที่สุด แรกๆ ยอมรับว่ากดดันและมีร้องไห้เหมือนกัน แต่นานเข้ามันก็ซึมซับไปเอง ซ้อมเต้นทุกวันวันละ 4-5 ชั่วโมง มันก็เต้นได้ เรียกว่าจากที่รู้สึกเฉยๆ กับการเต้น จนตอนนี้มันกลายเป็นรัก และขาดไม่ได้ ทุกวันนี้ถ้ามีใครถามว่ายังเต้นอยู่ไหม ยังอยากจะออกอัลบั้มไหม ก็ยังตอบว่าอยาก

ผลงานที่ประทับใจ

ประทับใจในหลายๆ อัลบั้มเลยครับ แต่ว่าอัลบั้มที่ไปออกที่ไต้หวัน เราเป็นเบอร์แรกของอาร์เอสที่ได้ไป และเป็นเบอร์ 2 ของเมืองไทยรองจาก “เต๊ะ-ศตวรรษ” เราก็ไปบุกตลาดแล้วมันก็เวิร์ก แต่ตอนนั้นเรามีอัลบั้มที่เมืองไทย ก็เลยไม่มีเวลาที่จะไปโปรโมทที่นู่น เฮียก็เลยให้เลือกว่าทำที่เมืองไทยเลยพับที่ไต้หวันไป ไม่ได้สานต่อ แต่ก็เป็นอะไรที่ประทับใจมาก เพราะว่าผู้คนต้อนรับดี เขายังไม่รู้จักภาษาเรา ตอนนั้นยังไม่มี F4 เลย เราก็เลยได้ประสบการณ์ในการทำงานของไต้หวัน และมีเพลงภาษาจีนเป็นของตัวเองด้วยครับ

ศิลปินในยุค 90

รู้สึกดีใจที่ได้เกิดมาเป็นนักร้องในยุค 90 เพราะว่านักร้องสมัยนี้อาจจะไม่ได้สัมผัส ล้านตลับเป็นยังไง มีคอนเสิร์ตใหญ่ด้วย เราล้านตลับถึง 3 อัลบั้มครับ คุยหน่อยๆ ที่สำคัญเราได้อยู่ในโมเมนต์คอนเสิร์ตที่ใหญ่ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก แฟนคลับเป็นหมื่นๆ คนตามกรี๊ด บางคนก็ขับมอเตอร์ไซค์ตามรถตู้เรา ซึ่งมันเป็นอารมณ์ที่มันหาไม่ได้แล้วกับนักร้องไทย เพราะสมัยนี้คนจะหันไปกรี๊ดนักร้องเกาหลีมากกว่า นักร้องไทยเดินผ่านนี่ไม่มีความหมาย มันก็
สะท้อนให้เห็นว่าเป็นจุดแย่ๆ ของวงการเพลงไทย

เมื่อถึงจุดอิ่มตัว

ตอนนั้นเด็บบี้ต้องไปเรียนต่อ ผมก็ได้ทำแดนซ์อาร์มี่ต่ออีก 2 อัลบั้ม ซึ่งจริงๆ ก็เป็นงานของบาซูเก่าที่เราหยุดทำ เพลงก็ค้างอยู่ เฮียก็เลยเอาน้องๆ 5 คนมาทำรวมกับผม อัลบั้มแรกก็โอเค แต่พออัลบั้มที่ 2 ก็เริ่มไม่ไหวแล้ว เพราะว่าเจอกระแสเทปผีซีดีเถื่อน เหนื่อยด้วย แล้วตัวเราก็มีข่าวไม่ดี ผมก็เลยตามเด็บบี้ไปอยู่เมืองนอก ไปร้องเพลงตามร้านอาหาร จนรู้สึกสนุกและได้เที่ยวด้วย ได้เจอคนไทย แล้วเพลงบาซูจะกึ่งๆ แดนซ์ลูกทุ่งอยู่แล้ว คนก็เลยเข้าถึงเราง่ายเดินสายร้องเพลงต่างประเทศอยู่ประมาณ 2-3 ปีก็จะกลับมาในวงการอีกครั้ง โดยการมาทำซิงเกิ้ลเดี่ยวแต่ว่าช่วงนั้นไปขายงานก็ไม่ผ่าน สัญญากับทางอาร์เอสก็หมดไปแล้ว และเราหยุดไปนาน 3 ปี กระแสเลยไม่ค่อยดี บวกกับการที่เราไปถ่ายแบบแนวเซ็กซี่ด้วย แต่คนเขาก็มองว่าเราถ่ายนู้ด และอาจจะเป็นด้วยดวง ด้วยอะไรหลายอย่าง เลยมีข่าวซ้ำเข้ามาอีก พอออกซิงเกิ้ลเดี่ยวก็เลยไม่ประสบความสำเร็จ ค่ายเพลงก็มีปัญหา เราก็เลยต้องหยุดพับไป หลังจากนั้นก็เงียบไป แล้วก็โดนยิง จากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี’53 เราก็โดนลูกหลง เพื่อนก็เสียชีวิต

แต่ก็ยังสู้ต่อไป

ผมเงียบหายไปประมาณเกือบปี กลับไปเล่นเวท ฟิตร่างกาย จนเริ่มมีงานถ่ายแบบ และมีงานละครเข้ามา เรื่อง “แค้นเสน่หา” ที่ได้มาเล่นเรื่องนี้ คือผมรู้จักกับ “พี่พจน์” ซึ่งเป็นเพื่อน “พี่ไก่-วรายุฑ” เขาก็ได้ช่วยคุยกับทางพี่ไก่ให้ จนเราได้มาเล่นซึ่งเป็นบทที่ดีและสำคัญด้วย แล้วยากมาก เพราะว่าต้องเล่นเป็นคนใบ้ที่หลอกว่าใบ้อีก ต้องไปฝึกพายเรือ ว่ายน้ำ เพราะว่าเป็นละครพีเรียด ประสบการณ์ทางการแสดงเรานี่คือเหมือนเด็กใหม่เลย แต่ต้องมาเล่นประกบ “พี่แหม่ม-จินตหรา”, “พี่แดง-ธัญญา” ก็เลยถือเป็นการแจ้งเกิดในการแสดงจากเรื่อง “แค้นเสน่หา” ซึ่งเราไม่ได้คิดว่ามันจะประสบความสำเร็จขนาดนี้ครับ(หลังจากนั้นก็มีงานละครเข้ามาอีก?) มีไปเล่นรับเชิญในเรื่อง “ดาวเคียงเดือน”, “บางระจัน”, “บุษบาหน้าตลาด” และล่าสุดที่เพิ่งจบไปก็คือซีรี่ส์เลือดมังกร เรื่อง “เสือ” แล้วก็ยังมีภาพยนตร์ด้วย ก่อนหน้านั้นบาซูก็ได้ไปเป็นแขกรับเชิญในคอนเสิร์ตลิฟท์ออย และมีคอนเสิร์ตใหญ่ RS Meeting Concert Return 2013 กับศิลปินในค่าย

วางแผนชีวิตในวงการบันเทิงไว้อย่างไร

คิดว่าจะทำงานในวงการบันเทิงอีกสัก 3 ปี เพราะว่าเมื่อก่อนเราเคยมีแฟนแล้วก็เกิดมีปัญหาทำให้ต้องเลิกรากันไป ถ้าเราอยากจะมีลูก เราก็คงจะต้องมีเวลามากกว่านี้ การที่เรายังอยากทำงานในวงการบันเทิง เราก็จะต้องเล่นฟิตเนสดูแลตัวเอง คือเราต้องมีเวลาให้กับตัวเองเยอะหน่อย ซึ่งการที่จะมีคนรัก มีครอบครัว จะต้องแชร์เวลาตรงนี้ เลยคิดว่าขอเวลาอีก 3 ปี ก็จะไปเป็นคุณพ่อแล้วครับ ไปทำงานอยู่เบื้องหลัง ลุยงานตรงนี้ให้เราหายอยากเต็มที่ จะมีงานเพลงที่คุยกับบาซูไว้ ว่าเราอยากจะจบแบบสวยงาม ซิงเกิ้ลสัก 2 ซิงเกิ้ล ผมคิดว่าวงการบันเทิงก็มีอายุของมัน และคงจะเต็มอิ่มสำหรับเราแล้ว แต่ถ้ามีงานก็คงจะยังทำบ้างประปราย ไม่เสียดายโอกาส เพราะว่าเราก็อยู่วงการบันเทิงมาสิบกว่าปี อีก 3 ปีผมก็ 40 แล้วนะ คิดว่าควรจะพอแล้ว เวลาที่ผมคบกับแฟนจะมีปัญหาเรื่องนี้ เราให้เวลากับตัวเอง 3 ปี พอแล้วจะได้อิ่มแล้วกลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป มีเวลาให้กับครอบครัว แต่ว่าตอนนี้ยังโสดนะครับ และใน 3 ปี ก่อนที่เราจะเกษียณตัวเองใครที่อยู่กับเราตอนนั้นก็จะจับเข้าเรือนหอเลย (หัวเราะ) อาจจะมีลูกก่อนแต่งงานด้วย ผมอยากมีลูกนะแล้วเรื่องแต่งงานค่อยว่ากัน

หนุ่ม “กำปั้น” ยังเปรยอีกว่ากำลังซุ่มทำงานเพลงกับทางอาร์เอส พวกเขาอยากให้แฟนๆ ได้ฟังได้สนุกสนานกับบาซูก่อนที่จะปิดตัวอย่างถาวร

กุหลาบสีเงิน