Star Retro : ‘เอ็กซ์-จตุรงค์ โกลิมาศ’ จากแดนเซอร์ สู่บอยแบนด์
กับความจริงในโลกปัจจุบัน ที่ไม่ใช่ฝันอีกต่อไป
บอยแบนด์ขาแดนซ์เท้าไฟ ใช่แล้วค่ะเรากำลังพูดถึง วงไฮแจ็ค วงที่ทุกคนจะต้องนึกถึงท่าเต้นมันส์ๆ สไตล์ความเหมือนที่แตกต่างไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง การเต้น จาก 4 หนุ่ม อย่างเอ็กซ์ ผี เจมส์ และ ต๋อย ซึ่งมีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร กลายเป็นความทรงจำที่ประทับใจของแฟนๆ มาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับแฟนคลับตัวจริงห้ามพลาด เพราะสัปดาห์นี้เราอยู่กับหนุ่มหล่ออย่าง เอ็กซ์-จตุรงค์โกลิมาศ หนึ่งในสมาชิกของวง ที่แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็ไม่ทำให้ความหล่อเหลาของเขาลดลง รวมไปถึงฝีมือการทำงานและจังหวะการเต้นที่มีอยู่ในสายเลือดของเอ็กซ์ แค่ปลุกนิด สะกิดหน่อย เป็นได้เห็นลีลาเท้าไฟก็เป็นได้ เอาเป็นว่านาทีนี้ไปย้อนวัยกับหนุ่มเอ็กซ์กันดีกว่าค่ะ
l ก่อนที่จะมาเป็น “เอ็กซ์ ไฮแจ็ค”
เป็นแดนเซอร์ให้กับศิลปินทุกค่ายตั้งแต่สมัยโลกดนตรี, 7 สีคอนเสิร์ต เรียกว่าวิ่งทุกคอนเสิร์ตทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มมาจากการเป็นแดนเซอร์ (เคยฝันเป็นนักร้องไหม?) ก็เคยมีความคิดอยู่เหมือนกัน เพราะเราเต้นอยู่ข้างหลังเขา ไม่ว่าจะเป็น ทัช, เจ,พี่เบิร์ด, พี่กี้-อริสมันต์ เราเต้นด้วย เราก็ร้องเพลงเขาไปด้วยได้ เอ๊ะ...แล้วทำไมเราไม่ลองดู เราน่าจะมีโอกาสที่จะร้องด้วยเต้นด้วย แค่ความคิดนะ แต่พอดีมาประจวบเหมาะจังหวะดีได้ร่วมงานกับ ทัช ณ ตระกั่วทุ่ง อัลบั้ม เท้าไฟ ซึ่งอัลบั้มนี้เขาจะเต้นเยอะก็เต้นแรง เต้นด้วยกัน เลยกลายเป็นทีมเดียวกันก๊วนเดียวกันซึ่งทางต้นสังกัดอย่าง RS เห็นว่าทีมนี้มันแข็งแรงดี ตอนนั้นในเพลงเท้าไฟ จะมี เอ็กซ์ ผีเจมส์ ต๋อย ชัย แล้วก็พี่กิ๊ก คือมากกว่าไฮแจ็ค เพิ่มมาอีก 2 คน พอเต้นๆ ไปปุ๊บทางต้นสังกัด พี่ปรัชญาปิ่นแก้ว เก็ตไอเดียว่าจะทำหนัง ภาพยนตร์เรื่องแรกของประเทศที่เกี่ยวกับการเต้น เรื่องรองต๊ะแล่บแปล๊บก็เลยเอาพวกนี้ไปทำงาน ซึ่งทัชเป็นนักเต้น แล้วเขาก็วางตัวทัชเป็นนักเต้นที่เก่งที่สุดในฝ่ายของพระเอก แล้วใครล่ะจะเป็นตัวร้าย ซึ่ง 6 คน เขาก็ยังดูๆ อยู่ว่าใคร ไปแคสก็กลายเป็นตัวผม ซึ่งด้วยเหตุผลอะไรผมไม่รู้เหมือนกัน เลยได้เล่นเป็นตัวร้าย
l พอเริ่มเล่นภาพยนตร์ความยากเริ่มท้าทาย
ไม่รู้เพราะตอนนั้นเขาให้เดินรวมกัน ก็เดินเหมือนชีวิตจริงของเรา ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะไม่เคยถ่ายหนัง ได้แต่เพิ่มความกวน ความเป็นตัวร้ายเข้าไป เราก็เดินลงมาตามสไตล์ของเรา แล้วมุมกล้องอะไร เราก็ไม่รู้ ให้เดิน เราก็เดิน ไม่รู้จักนี่คือการถ่ายแล้วเหรอ เขาบอกเสร็จ เราก็อ้าว!เสร็จแล้วเหรอ ง่ายเว้ย ให้เต้นแล้ว ก็ซ้อมเต้นปกติ เพราะเราก็เป็นนักเต้นอยู่ก่อนแล้ว ก็เต้นไป เขาก็ถ่ายไป จะดอลลี่วิ้งเซอราวน์อะไรก็แล้วแต่เรื่องของคุณ ผ่านไปได้ด้วยดี หนังประสบความสำเร็จมาก ทำให้คนรู้จักกลุ่มแดนเซอร์อย่างพวกเรา เหมือนกลุ่มแดนเซอร์เราก็ได้แจ้งเกิดจากหนังเรื่องนี้ หลังจากนั้นก็รับงาน เล่นดนตรีปกติ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้สังกัด RS เหมือนเป็นฟรีแลนซ์
l แอบขโมยซีนนักร้อง
มีคอนเสิร์ตหนึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อแล้วกันครับแดนเซอร์เขาจะมีมาร์คซ้ายทีขวาทีก็เป็นตามแพทเทิร์นที่เราซ้อมกันมา บังเอิญศิลปินเขาหลุดมาร์ค แล้วแทนที่คนจะมาหาศิลปิน กลับมากรี๊ดพวกเรากลุ่มแดนเซอร์ เราก็เริ่มรู้สึกล่ะว่าวงการเต้นเราสั่นคลอนล่ะแล้วใครจะจ้างเราไปเล่น(หัวเราะ) เขาก็คงกลัวไปแย่งซีนศิลปิน ตอนนั้นเราเริ่มมีฐานแฟนคลับมาจากหนังเรื่องแรกด้วย แต่เราก็ทำตัวปกติครับ
l กำเนิดวง ไฮแจ็ค
ด้วยเวลาไทม์มิ่ง ประจวบเหมาะพอดี ทางพี่ปิง ฟรุตตี้ เขาเสนอกับ RS ว่าน่าจะมีบอยแบนด์ สัก 4 คน เอามาปั้น เป็นนักร้อง และเต้นได้ด้วยแค่นั้นก็โอเค ได้มาเป็นไฮแจ็ค 4 คน มาแคส 6 คน เพื่อเทสต์เสียง สุดท้ายได้มาเป็น เอ็กซ์, ผี, ต๋อย และ เจมส์ ก็ไปเรียนร้องเพลงกัน เก็บตัวประมาณสองปี หลังจากนั้นเริ่มมันส์ละ เริ่มคิด จะดีไหมเนี่ย เพราะเราต้องหยุดเต้น ต้องมาซ้อมร้องเพื่อเป็นนักร้องเต็มตัวมีแอบหวั่นๆ อยู่ว่ากระแสจะออกมาแบบไหน จะได้รับการตอบรับที่ดีหรือเปล่า แต่ช่วงนั้นก็มีความมั่นใจอยู่ระดับหนึ่งนะ ว่าผลตอบรับจะเป็นอย่างไร แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต จะให้กลับไปเต้นอีกครั้งหนึ่งเหรอ จะได้ไหม ก็น่าจะได้นะ แต่ก็คงงงอยู่เหมือนกัน แต่ในเมื่อวันนั้นเราเบนสายเดินทางไปในเส้นทางของนักร้องตามสัญญาแล้ว การเป็นแดนเซอร์ก็จบแล้วไงเรามาทางด้านการร้องเพลงให้มันเต็มที่ โอเคอันนี้เราก็มาเต็มที่ ทุ่มเท ร้องเพลง เต้น ซึ่งศิลปะการร้องกับการเต้นไปด้วยกันได้ แต่ต้องอาศัยความตั้งใจค่อนข้างมากกว่าปกติ เพราะเราต้องเต้นด้วยควบคุมเสียงร้องให้นิ่งไม่ให้เหนื่อยด้วย
l ความที่เป็นเพื่อนสายเต้นกันมาก่อนพอเป็นบอยแบนด์แล้ว ความกลมเกลียวเหมือนเดิมไหม
แน่นอนครับ เพราะว่าจากการเป็นแดนเซอร์ยังไม่แน่นเท่านะ พอเล่นเสร็จก็แยกกันไปซ้อมงานของตัวเอง แต่พอมารวมตัวกันเป็น ไฮแจ็ค เราคือครอบครัวเดียวกัน อยู่ด้วยกันไปไหน กิน นอน เดินทางด้วยกัน จะรู้ว่าคนนี้เป็นอะไรไม่สบายแน่ๆ อาการแบบนี้สุขภาพไม่ดีเหรอ ก็จะคอยช่วยเหลือกัน รู้ใจกัน รู้ว่าเราควรจะแก้ไขอะไรยังไงกันในทีม ก็ออกอัลบั้มกันมาได้ 2 อัลบั้ม แล้วก็มีชุดรวมอัลบั้มอีก 1 ชุด (ถือว่าไฮแจ็คประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน?)ผมว่ามากๆ เลยนะ อย่างน้อยๆ ต้องมีคนรู้จักแหละ
l นิยาม หรือเอกลักษณ์ของความเป็น ไฮแจ็ค
ตัวตนจริงๆ ของไฮแจ็คเป็นอะไรที่เหมือนเป็นพลังมากกว่า ไม่ใช่แค่เฉพาะเรานะ คนอื่นก็สามารถทำเหมือนเราได้ ถ้าคุณคือตัวตนที่แท้จริงของมันอย่างเช่นเราเป็นแดนเซอร์ เราเป็นนักเต้น แล้วคุณจะไม่ให้ผมเต้น ให้ผมมาออกอัลบั้มร้องเพลงอย่างเดียวมันก็ไม่ใช่ตัวตนของเรา เราจะทิ้งภาพลักษณ์การเต้นไปเลย แล้วให้เรามายืนจับไมค์ร้องเพลง 4 คน มันก็ไม่ใช่ เอาคนอื่นดีกว่า เราเป็นนักเต้น เพราะฉะนั้นก็ต้องเอาการเต้นเข้ามาด้วย เอาไปโคฟเวอร์เป็นพลังให้คนเห็นและพิสูจน์ว่าเราคือกลุ่มศิลปินเต้นที่เต้นด้วยร้องด้วยจริงๆ นะ ไม่ใช่ว่าเอานายแบบมาฝึกเต้นแล้วร้องเพลง แล้วบอกเป็นศิลปินแดนซ์กลุ่มของเราน่าจะเป็นศิลปินกลุ่มแรกและกลุ่มเดียวที่เกิดขึ้นมาจากการเป็นนักเต้น สู่การเป็นนักร้องในยุคนั้นนะครับ คงเปรียบได้กับสมัยนี้อย่าง เดอะวอยซ์ตัวจริงเสียงจริง ถึงจะอยู่ได้ แต่ ณ ตอนนั้นยังไม่มีการประกวดแบบนี้ ของเราคือผู้ใหญ่เขามองเห็นเอง เห็นศักยภาพในตัวพวกเรา ก็หยิบมา แล้วเผอิญอีกว่ามันสอดคล้องกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกันได้ แล้วสนุก และสำเร็จรูปร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ ไม่ใช่ว่าเต้นอย่างเดียวแล้วเสียงร้องมันไปไม่รอด พูดง่ายๆเคมีตรงกันผสมผสานแล้วลงตัว
l ความทรงจำเก่าๆ คราวที่อยู่ RS
มีบรรยากาศมากมายในความทรงจำนะครับ ได้ร่วมกิจกรรมกับ ต่อ ต๋อง ไปตามงานต่างๆ เวทีใหญ่มิสยูนิเวิร์ส ก็มีการเชิญไฮแจ็คไปร่วม แต่หลักจริงๆ ของไฮแจ็คคือการได้มาออกอัลบั้ม จะไปขึ้นเวทีไหนก็เป็นหน้าที่ของมาร์เก็ตติ้งทางบริษัท ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็เปรียบเสมือนสินค้าหนึ่งของบริษัทเท่านั้นเอง เราจะต้องเน้นให้มีคุณภาพในเรื่องของการเต้นและการจัดวางที่ถูกต้อง
l ภาคภูมิใจในตัวเองอย่างไรบ้าง
เหมือนถูกหวยนะครับ เซอร์ไพรส์ (ยิ้ม) นับเป็นหนึ่งในความฝันของเราด้วย กับการได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักร้อง เพราะเราก็เคยฝันนะ หยิบกีตาร์ขึ้นมาร้องเพลงพี่แอ๊ด คาราบาว ผมเป็นคนที่ชอบเสียงดนตรี ชอบอิสระ มีความสุขเวลาได้อยู่กับคน ได้สัมผัสกับบรรยากาศ แต่พอวันหนึ่งได้เป็นแดนเซอร์ เราก็ทำตามหน้าที่ไป ทำงานของเราไป เราก็มีความสุขล่ะได้โชว์ต่อหน้าคน แต่พอวันต่อมาเราได้เป็นนักร้องก็กลายเป็นแบบ เฮ้ย!มันจริงนะ เราก็ทำได้ และก็เป็นการทำได้ที่ต้องบอกตรงๆ นะว่า เราก็ไม่ได้เชิงไขว่คว้าอะไรมากมาย เป็นไปตามสเต็ปของกาลเวลา ซึ่งอาจจะถูกลิขิตมาด้วยพรหมลิขิต ถ้าคิดในแง่นั้น เพราะเราไม่ได้ขึ้นเวทีประกวด เราไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร เราก็ทำด้วยหน้าที่และการทำงาน
l ชอบเพลงไหนของตัวเองที่ร้อง
“เล่นเจ็บเจ็บ” เพราะว่า มันส์ดี แล้วก็เป็นเพลงที่ทำให้ทุกคนรู้จัก เป็นเพลงในอัลบั้มที่ 2 แต่เพลงเต้น ผมชอบทุกเพลงนะจังหวะมันตื๊ดๆ แล้วตอนนี้ก็เหมือนเพลง เล่นเจ็บเจ็บ ก็เป็นเอกลักษณ์ของไฮแจ็ค พอบอกเพลงนี้ก็จะนึกถึงพวกเราเลย รวมไปถึงเรื่องของมิวสิกวีดีโอด้วย เพราะนี่ก็อาจจะเป็นเพลงแรกที่มีการพับบลิคในประเทศไทยที่แบบว่า มียิมนาสติกเข้าไปมีสตอรี่เรื่องราวที่ไฮแจ็คเล่นเองทั้งหมด ไม่มีสแตนด์อินเลย เป็นความประทับใจมิวสิกวีดีโอ ตัวแรกด้วย โดย ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล เป็นผู้กำกับ
l เมื่อถึงวันที่ต้องยุบวง
อย่างที่บอกครับ เรามาด้วยจังหวะและโอกาส ทุกสิ่งทุกอย่างเราไม่ต้องไปแข่งขันกับใครมากมาย แค่แข่งกับตัวเอง ซึ่งเดินทางมาถึงเวลาปิดตัวก็คงถึงเวลาเหมาะ และโอกาสที่จะต้องปิดตัวลงเหมือนกัน บอกตรงๆ เลยว่าช่วงเวลานั้นผีประสบอุบัติเหตุหนัก ก็ต้องรักษาตัว อัลบั้มชุดที่ 3 ทำแล้วจะเสร็จอยู่แล้ว พรุ่งนี้เข้าห้องอัด แต่พี่ผีนอนอยู่โรงพยาบาล ก็ดูอาการรักษาตัวประมาณ 2 ปี ซึ่งทางต้นสังกัดก็มีข้อเสนอมาว่า “เอางี้ ผีพักก่อน ให้เปลี่ยนคนอื่นมาเสียบแทน” พวกเราก็ประชุมกัน พี่ผีก็บอกว่าแล้วแต่เพื่อน เพราะทุกอย่างก็รอสแตนด์บายอยู่พวกเราก็บอก “ถ้าไม่มีผี ก็ไม่มีไฮแจ็ค” งั้นไม่มีซะดีกว่า สามคนยืนยันลงมติกัน “ไม่” จะให้สามคนออกมาเต้นหน้าบานรับงานร้องเพลงในขณะที่เพื่อนอีกคนนอนอยู่โรงพยาบาลมันก็ไม่ใช่ แล้วคนใหม่ที่มาล่ะจะเป็นยังไง จะเต้นเข้ากันไหม ร้องอีกล่ะ ความเป็นทีมเวิร์กอีก เพราะด้วยความที่พวกเราไฮแจ็คเริ่มมาจากเพื่อน ฟอร์มดีอยู่แล้ว พอจะต้องมาเปลี่ยนตัวมันตอบโจทย์สังคมไม่ได้ ก็เลยเลือกที่จะหายไปเลยแบบเงียบๆ จนสัญญาหมด แต่ช่วงนั้นผมก็มีโอกาสได้ไปทำพิธีกรบ้าง
l เริ่มหันเหเข้าสู่งานแสดง
เล่นละครเรื่องแรกคือ “ตองหนึ่ง” ของดาราวีดีโอ ช่อง 7 ต่อด้วย “เกาะสวาทหาดสวรรค์” จำแม่นเลย ตอนหนึ่งเล่นกับ แอน-สิเรียม, หรั่ง- รัฐธรรมนูญ แล้วเจอพี่หลุยส์ น่ารักมากเป็นละครที่ประทับใจที่สุด เพราะไม่รู้จักคำว่าเล่นละคร ก็เหมือนตอนที่ไปเล่นหนังตอนนั้น ก็ไม่รู้อะไร พอเสร็จก็ปรบมือเฮฮากันไป การทำงานครั้งแรกกับละครเราได้เรียนรู้เกี่ยวกับการพูดการจาของเรา ได้ฝึกท่องบท เพราะผมเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ ผมทรมานมาก แต่ด้วยบรรยากาศกองถ่าย โลเกชั่น เพื่อนร่วมงานนักแสดงทุกคนก็น่ารัก อยู่กินเหมือนพี่เหมือนน้องก็ชอบและมีต่ออีกเรื่องเลยก็คือ เกาะสวาทหาดสวรรค์ เป็นละครเพลงก็ได้ร้องเพลงด้วย ได้เล่นกับศิลปินในค่าย นุ้ก, เต๋า,เอ็กซ์ ,ชาช่า เริ่มสนุก เหมือนแจ้งเกิดด้านละครที่ดาราวิดีโอ หลังจากนั้นก็มีละครมาเรื่อยๆเล่นของ RS ด้วย พี่ไก่-วรายุฑ ก็ชวนให้มาเล่นทางช่อง 3 ด้วย แล้วแต่ผู้จัดฯชวนครับ ใครชวน ไปหมด
l ปิดตายการเต้น
พอเล่นละคร เรื่องเต้นหยุดเลยครับ ไม่ได้ซ้อมเลย เหมือนไม่ได้ใช้งานเลย พอมาเล่นละครถามว่าชอบไหม โอเคผมว่าสนุกนะ แล้วก็เล่นมาจนถึงทุกวันนี้ ผมชอบเวลาได้เจอพี่น้องสื่อมวลชน ทีมงาน นักแสดง เหมือนเราได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน ได้มาเจอกลุ่มนี้ทำแบบนี้นะ เจอกลุ่มนั้นได้ทำแบบโน้นนะทุกคนเป็นมิตรภาพกันหมด แต่ถ้าให้กลับไปเต้นก็เต้นได้นะ มันอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว จังหวะอยู่ในตัวเราตลอด จะขุดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ทำได้ อย่างร้องเพลงมีเต้นมีร้องเราก็ทำได้ ไปงานต่างจังหวัดแดนเซอร์เต้นเราก็เต้นตามได้
l เรียกว่าการเต้นเป็นสิ่งที่รักมาก
รักมากไหมไม่รู้ตัวนะ แต่ชอบ คือผมเป็นคนที่ชอบอาชีพอิสระ ชอบสารที่ค่อนข้างจะมวลชนแต่จริงๆ มันจะใช่ทางเราไหม ผมก็หาตัวเองไม่เจอเหมือนกัน แต่เราสามารถทำได้
l วงการบันเทิงให้อะไรบ้าง
หลายอย่างนะ เงิน ทอง สังคม ให้ชีวิตที่ดี มิตรภาพ เพื่อนฝูง แง่คิดต่างๆ ในการใช้ในสังคม ให้ความจริงในโลกปัจจุบันและโลกอนาคตซึ่งเป็น
สิ่งที่ไม่แน่นอน
l ชีวิตครอบครัว
ดีครับ รู้สึกมีจุดยืนที่ดี มีจุดหมาย เพราะอย่างน้อยก็มีลูกสาวคนหนึ่งอายุ 14 ปี กำลังสวย (หัวเราะ) ผมชอบอย่างหนึ่งคืออารมณ์เขาค่อนข้าง
จะมีความสุขกับการเรียนของเขา ตอนนี้เรียนเต้นบัลเล่ต์เขาชอบเต้น ก็เคยคุยกันเรื่องเต้นนะ แต่ไม่เคยมาขอให้พ่อสอน จะมีแบบทำไมท่านี้ทำไม่ได้เราก็จะบอกเทคนิคไปว่าเป็นอย่างงี้นะ ก็ช่วยแนะนำเทคนิคได้ ส่วนพื้นฐานต่างๆ ก็ต้องเป็นที่โรงเรียน เพราะจะต่างจากผม ซึ่งผมตอนเป็นแดนเซอร์อาศัยครูพักลักจำแต่โรงเรียนเขาจะสอนตั้งแต่เบสิกเสริมสร้างกล้ามเนื้อซึ่งการสอนของเขาต่างจากเรา ก็เลยให้ลูกไปเรียนทางโรงเรียน แต่ถ้าอยากได้เทคนิคนอกเหนือจากที่เรียน ก็ให้มาหาพ่อ ก็ให้เขามีความสุขในการศึกษาหาความรู้
l ลูกสาวกับยุคคุณพ่อเท้าไฟ
เขาได้ดูเทปครับ แล้วก็แอบยิ้ม มีมาแซว คือเด็กเขาก็ไม่กล้าจะชมหรือชอบ 100% ก็จะคล้ายๆ แบบก็อย่างงั้นแหละ แอบประทับใจ ก็เป็นความภูมิใจของเขา (มีแววจะเจริญรอยตามคุณพ่อไหม?) เรื่องการแสดงเขาบอกไม่ชอบนะ แต่การเต้นเขาชอบ สักวันหนึ่งเขาก็คงน่าจะเป็นอาจารย์สอนเต้นได้ เขาบอกว่าเขาอยากเป็นพวกหมอกายภาพเกี่ยวกับกระดูกซี่โครง เพราะเขาเต้นด้วยไงเขาก็จะเข้าใจสรีระเราก็โอเคดีลูก ทำอะไรก็ทำให้เต็มที่
l คุณพ่อสไตล์เอ็กซ์เป็นแบบไหน
เป็นพ่อทั่วๆ ไปครับ ที่ไม่ซีเรียส ไม่กดดันลูกไม่บังคับ ให้เรียนรู้ที่ตัวเอง สมมุติเขาไม่อยากกินข้าว เราก็จะบอก ทำไมไม่กินข้าว เดี๋ยวปวดท้องขึ้นมาช่วยไม่ได้นะ ก็ต้องให้เรียนรู้เอง จะล้มใครทำล้มล้มเองไม่มีใครแกล้ง ไปตีดินตีทำไมมันผิดตรงไหนเหรออะไรแบบนี้ ใช้เหตุและผลมากกว่าครับ
l อนาคตตัวเองในวงการ
นี่แหละเหนื่อยเลยครับ อย่างที่บอก ชีวิตนักแสดงไม่แน่นอน มีขึ้น-มีลง เราก็ต้องยอมรับในสภาพชีวิตแบบนั้น แล้วนักแสดงรุ่นใหม่ก็เข้ามา และอีกอย่างในอนาคตจะให้ไปทำงานประจำก็คงไม่ทันแล้ว ก็คงไปตามน้ำและตามดวง แต่ที่วางไว้ตอนนี้ก็อยากจะทำธุรกิจส่วนตัวซึ่งต้องทิ้งงานบันเทิงไป แต่เราก็ยังทิ้งไม่ได้เพราะว่าเราก็ยังมีกิเลส (หัวเราะ) คือที่วางแพลนไว้ว่าจะทำสวนเกษตรปลอดสารพิษที่บ้านแถวตลิ่งชัน ผมชอบนะสนุกดี เพราะเราหว่านพืชไปแล้วเราหวังผลได้ไง ชอบอะไรที่เพื่อสุขภาพอยู่แล้วด้วย บวกกับเราก็อายุมากขึ้น ทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น ตอนนี้ก็รื้อบ้านทิ้ง ไถเคลียร์พื้นดิน แต่ก็ต้องลองผิดลองถูกกันไป ทุกอย่างต้องใช้เวลาครับ
l เห็นช่วงนี้หันมาเป็นนักปั่น อะไรคือจุดเปลี่ยนให้ชอบการปั่นจักรยาน
ชอบตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ตอนก่อนจะขึ้นประถมอยากได้จักรยานคันหนึ่ง ซื้อแค่เฟรมก่อนผุแล้วนะเอามาขัดสี ซื้อตะเกียบ ซื้อล้อ ซื้อแฮนด์ ประกอบจนเป็นจักรยานคันหนึ่ง พอวันหนึ่งเรามีทรัพย์พอจะซื้อมันสักคัน แล้วมีก๊วนจักรยาน ก็เลยสอยไปปั่นกับก๊วนตอนนี้ก็มีจักรยานที่บ้าน 6 คัน ราคาไม่หนักนะมีหลายประเภท กลายเป็นกิจกรรมที่ชื่นชอบ ได้สุขภาพได้สมาธิได้ไตร่ตรอง ปั่นไปมีความสุข เหงื่อซึมๆ สุขภาพดีขึ้นนะ ระบบหายใจ สมอง และได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างในตอนเช้าๆ เห็นวิถีไทยๆ เราก็จะได้มุมมองและแง่คิดอีกอย่าง ถ้าว่างก็ไปเรื่อยๆ ครับปั่นไกลที่สุดก็จากกรุงเทพฯ ไปพระบาทน้ำพุ
l คติประจำใจในการใช้ชีวิต
ผมว่าการให้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดนะ เราต้องรู้จักการให้ เพราะจริงๆ แล้วมันก็ไม่มีอะไรมาก เรารู้สึกว่าชีวิตก็เหมือนสายน้ำ ที่ต้องมีเส้นในการเดินทาง จะเส้นเล็ก เส้นใหญ่ก็แล้วแต่ และเมื่อไหร่ที่สายน้ำมันโดนกั้นด้วยเศษขยะหรือว่าเขื่อนที่ต้านเราอยู่มันไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้มันก็พัง
แน่นอนคงไม่มีแม่น้ำสายไหนที่สามารถไหลย้อนกลับไปยังต้นน้ำได้ เหมือนกับชีวิตเราที่ไม่มีเวลาให้ได้ย้อนกลับไปแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ฉะนั้นจงทำวันนี้ให้เป็นปัจจุบันที่ดีที่สุด
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี