เป็นหญิงเก่งและแกร่งที่ผ่านเรื่องราวชีวิตมาร้อยแปดเล่มเกวียน ทั้งสุขและทุกข์ แต่ “ปิ๋ม ซีโฟร์” ไม่เคยนึกท้อ เธอทำหน้าที่คุณแม่ที่เลี้ยงดูลูกชายถึง 2 คน และอีกหนึ่งบทบาทที่ไม่เคยรู้จักเหน็ดเหนื่อย คือการเป็นลูกที่เลี้ยงดูบุพการี “สตาร์เรโทร” สัปดาห์นี้พาไปรู้จักกับผู้ออกแบบท่าเต้น ฝีมือระดับต้นๆของประเทศ และการที่ได้รับเกียรติให้เป็น “ครูปิ๋ม” ของศิลปินนักร้องหลายๆคน
ย้อนวันวานก่อนที่จะมาเป็น “ปิ๋ม ซีโฟร์”
ชื่อเล่นชื่อ “ปิ๋ม” ค่ะ แต่ชื่อนามสกุลจริงอย่าได้ถาม เพราะว่าหลักฐานการเปลี่ยนชื่อมีเยอะมาก เอาเป็นว่ารู้จักกันในชื่อ “ปิ๋ม ซีโฟร์” ที่มาของชื่อนี้ คือตอนที่เซ็นสัญญาเป็นนักร้องในสังกัดบีอีซีเทโร เมื่อปีพ.ศ. 2542 เขาให้ทำอะไรเราก็ทำ เรามารู้ว่าเราชื่อ “ปิ๋ม ซีโฟร์” ก็วันที่อัลบั้มออก คือรู้พร้อมๆกับคนอื่น ก่อนหน้านั้นเราคือ “ปิ๋ม ติงนัง” เพราะว่าออกแบบท่าเต้นและเต้นให้กับ “รุ่ง สุริยา” เพลงเขาฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง เราก็เลยกลายเป็น “ปิ๋ม ติงนัง” และใช้ชื่อนี้หากินมาหลายปีก่อนที่จะเป็นศิลปิน จริงๆก่อนหน้านี้ออกแบบท่าเต้นให้นักร้องเยอะมากค่ะ แต่ว่าที่เปรี้ยงที่สุดคือของพี่รุ่ง และก็มีข่าวกุ๊กกิ๊กกันด้วยตอนนั้น แต่แล้วไปแล้วนะคะ จนมีข่าวว่าแดนเซอร์ของ “รุ่ง สุริยา” รถคว่ำเสียชีวิตทั้งหมด คนก็คิดว่าเป็นปิ๋ม ซึ่งจริงๆแล้วแดนเซอร์ที่ถ่ายมิวสิคกับที่เดินสายเป็นคนละคนกัน หนังสือพิมพ์ก็เลยเอาไปขึ้นหน้า 1 เพื่อยืนยันว่ายังไม่ตาย เวลารับงานเดินสาย งานทัวร์คนเดียว ตามผับตามสถานที่ต่างๆก็จะขึ้นป้ายว่า ปิ๋ม ติงนัง คือเราไปในฐานะแดนเซอร์เท่านั้นค่ะ
ศิลปินลูกทุ่งเบอร์แรกของบีอีซีเทโร
คือเขาอยากจะได้นักร้องที่ร้องได้ เต้นได้ ซึ่งเขามี “ทาทา ยัง” คนเดียว แล้วต่อมาก็คือ ปิ๋ม ตอนหลังบีอีซีเทโรเซ็นสัญญากับโซนี่มิวสิค เลยกลายเป็นโซนี่มิวสิคบีอีซีเทโร ในขณะที่กำลังเปรี้ยงมาก เพลงกำลังเกิด เพราะว่าเพลงแนวนี้ไม่มีใคร แต่แล้วเราก็มีปัญหาชีวิตและสุขภาพ คือโดนยิง งานทุกอย่างดร๊อปหมด คอนเสิร์ตทัวร์ทั่วประเทศหยุดหมด ตอนนั้นปิ๋มได้รับเลือกจากโซนี่มิวสิคที่อเมริกาให้ไปร้องเพลง อาเซเดเฮ่ เวอร์ชั่นภาษาไทย ซึ่งเพลงนั้นดังมากทั้งท่าเต้นและเนื้อร้อง เขาก็เลยอยากได้ศิลปินท้องถิ่นของแต่ละประเทศที่โซนี่มีสาขาอยู่ให้ไปร้อง ซึ่งเพลงอยู่ในอัลบั้มก็กำลังดังขึ้นมาเลย กำลังโปรโมท ขนาดอยู่โรงพยาบาลนะคะ อัลบั้มยังขายดีมาก ปิ๋มนอนอยู่โรงพยาบาลไปไหนไม่ได้เกือบปี แต่เรามีสตางค์ค่าใช้จ่าย เพราะเงินจากการขายอัลบั้มชุดนี้ แล้วก็ต้องบอกว่าเจ้านาย คุณไบรอัน มาร์คาร์ ไม่เคยทิ้งเลย ออกค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ตอนที่โดนยิง เราท้อง 3 เดือนด้วย แต่เรายังไม่เปิด ไม่มีใครรู้ ระหว่างที่ดูแลรักษาตัวเองก็คลอดลูกและเลี้ยงลูกด้วย แต่ 3 เดือนหลังคลอด คุณไบรอันก็เรียกให้ไปออกอัลบั้มอีก 2 อัลบั้ม
ชอบไหมกับชื่อ ปิ๋ม ซีโฟร์
ไม่รู้ค่ะ มึนๆอะไรก็ได้ จะเป็นคนอย่างนี้ค่ะ อะไรก็ได้หมด แต่บทจะเยอะก็เยอะมากไม่มีใครเทียบ แล้วต้องยอมรับว่าเราเป็นคนมีบุญนะ คือจะเป็นคนที่มีบุญเรื่องบริวาร เพื่อน กัลยาณมิตร มีผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนที่ดีมาก เช่น วันดีคืนดีนอนอยู่มูลนิธิปวีณา จะไม่เอ่ยถึงท่านก็ไม่ได้ เพราะท่านช่วยชีวิต ให้บ้านอยู่ ให้ที่กิน ดูแลความปลอดภัยทุกอย่าง ไปไหนมาไหนมีตำรวจดูแลตลอดเวลา แล้วต่อมา พี่ไก่ วรายุฑ ก็ให้พี่จอย ทีมงานโทร.ไปที่มูลนิธิ บอกว่าอยากให้เราไปเล่นละคร เราจะจบชีวิตนักร้องแล้ว เพราะว่างานเพลงก็คือไม่ได้เปรี้ยงแล้ว เพราะว่าเหล็กมันต้องตีตอนที่กำลังร้อน ด้วยความที่เราหยุดไปนาน ก็คงจะไปต่อไม่ได้ อยู่ๆพี่ไก่ก็ยื่นมือเข้ามาให้เล่นละครเรื่อง ราชินีหมอลำ ซึ่งเปรี้ยงเลยค่ะ กลับมาเกิดเลย กับบทงามตา เป็นตัวโกงของเรื่อง จากที่เราจะจบชีวิตนักร้องแล้ว ไม่รู้ว่ารอดไม่รอด พอพี่ไก่ยื่นมือมาปุ๊บ คือดึงขึ้นไปเลย ก่อนหน้านี้เราก็แสดง เล่นมาหลายเรื่องแล้วค่ะ เพียงแต่ว่าไม่ได้รับบทเด่น เป็นแค่รับเชิญ ถือว่าพี่ไก่ชุบชีวิตเลย และหลังจากนั้นมาพี่แหม่ม ธิติมาก็ให้บทนางร้าย เรื่องเรือนรักเรือนทาส ตอกย้ำความร้ายอีก พี่ไก่ก็ให้เล่นละครอีกเรื่อยๆ
อยากจะบอกว่า มีลูกบอกลูกมีหลานบอกหลาน พี่ไก่สอนคำนึงว่า...อีปิ๋มถ้ามึงเป็นคนดีมึงอยู่ไหนก็ได้ ไม่ต้องกลัว...คำนี้ใช้ได้จริงๆ ถ้าเราเป็นคนไม่ดี ใครก็ไม่เอาเราหรอก อยู่ได้ทุกวันนี้ พี่ขอข้าวกินหน่อย พี่ของานหน่อย ถ้าเราไม่ดีจริง ใครเขาจะให้ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นเราต้องดี แม่ปิ๋มก็สอน ผู้ชายจะว่าเรายังไง ดีไม่ดีก็ไม่ต้องไปตอบโต้
อีกหนึ่งความภาคภูมิใจคือการสอนและออกแบบท่าเต้น
ดีใจที่ทำให้คนอื่น ทำให้ลูกศิษย์ดัง และก็มีส่วนที่ทำให้ลูกศิษย์ได้ไปต่อ ได้มีอนาคตตามที่เขาอยากจะเป็น และเราก็เชื่อว่าบุญกุศลนี้น่าจะทำให้เราอยู่ได้ (ช่วยเอ่ยชื่อลูกศิษย์ที่ผ่านมือครูปิ๋มสักนิด?) เอาชื่อคนที่ไม่ได้สอน ง่ายกว่านะคะ ทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่อีกล่ะ ปิ๋มไม่ได้สังกัดค่ายอาร์สยาม แต่ว่าจะสอนที่นี่ประจำ ที่ท๊อปไลน์ด้วย และค่ายอื่นๆที่เขาเรียกใช้ แต่จะมีคนที่ไปพูดต่อๆกันว่าปิ๋ม ซีโฟร์ ค่าตัวแพง จะพูดยังไงล่ะ คือจ้างแค่ส้มตำจานเดียวก็ไปแล้วนะ ถ้าถูกใจถูกคอและอยากจะทำ แต่ถ้าเรารู้จักกันใหม่ๆ ก็ต้องตามเรทไปก่อน
ท่าเต้นที่แจ้งเกิด
เต้นให้กับศิลปินของอาร์เอสมาหลายคน คือเมื่อก่อนอาร์เอสยังไม่มีลูกทุ่ง เราก็จะเต้นให้กับ โดม,ทัช,เจอาร์ วอย,แร็พเตอร์ เอางี้ดีกว่าค่ะ ปิ๋มเป็นแดนเซอร์ประจำเอ็มบีเคฮอลล์ ศิลปินทุกคนในค่ายอาร์เอส เวลาออกเทปจะต้องไปขึ้นคอนเสิร์ตที่เอ็มบีเคฮอลล์ เราก็ต้องไปกินนอนอยู่ที่นั่น เต้นให้กับศิลปินทุกคน ดิฉันเป็นเพื่อนโดมนะคะ “จะดื้อ จะดื้อ อย่ามาห้าม” แล้วก็ได้ไปเต้นให้กับทางแกรมมี่ พี่ก๊อต จักรพันธ์ ซึ่งพี่ก๊อตก็เปรี้ยงมาก ล่ำลือเรื่องแดนเซอร์ด้วย บังเอิญพี่ก๊อตก็ให้โอกาสเรากับน้องอีกคนนึงเต้นประกบ ไปต่างประเทศเลยขึ้นหน้าขึ้นตา แล้วมีโอกาสได้ออกแบบท่าเต้นให้กับนักร้องสตริงในแกรมมี่ด้วย วงไทม์ เพลง “ขอใจเธอคืน” พี่ลูกน้ำ พาเมล่า หลายคนในแกรมมี่
แล้วก็จับพลัดจับผลู ถูกดึงมาเต้นให้โดม เรียกว่าเป็นช่วงพลิกผันก็ได้ กลับมาอาร์เอสอีกครั้ง อยู่ๆ “ดาว มยุรี” ก็เข้ามา เพลง “มีเมียแล้วไม่เอา” ซึ่งเราก็คิดแล้วว่าเราจะเต้นให้ลูกทุ่งคนเดียวแค่พี่ก๊อต ถ้าคนอื่น เราคงคิดแล้วคิดอีก “ดาว มยุรี” เป็นใคร ไม่นะ ฉันไม่อยากเต้น อันนี้คือพูดต่อหน้านางเลยนะ แล้วพี่ที่ออกแบบท่าเต้นให้นาง ก็ขอร้องเรา ให้ไปถ่ายเอ็มวีให้หน่อย ขอร้องหลายวันมาก ข้ามวันข้ามคืน เราเลยไปก็ไป ออกจากกรุงเทพตีหนึ่งไปถึงพัทยาตี 3 กว่าจะได้เต้นตี 4 แต่เราก็มีข้อแม้ว่าไม่อยากเอาหน้าออกลูกทุ่งเลย ขอเอาผ้าปิดหน้า เลือกมากที่สุดแล้ว ก็ได้ผ้าขาวบางมาปิดหน้า แต่ตอนนั้นเรามีรอยสักที่แขนเป็นรูปคนเต้นระบำ แล้วคนที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับดาว เขาก็ถ่ายปิ๋มถ่ายดาวสลับกันอยู่ 2 คนเยอะมาก วินมอเตอร์ไซค์ทุกคนเวลาเดินไปไหนเขาก็จำรอยสักได้
หลังจากนั้นมา พี่วิทยา ศุภพรโอภาส ก็เลยให้โอกาสบอกว่า มีศิลปินคนนึงดังมากจากเพลง “วอนพ่อตากสิน” ซึ่งเราไม่รู้จักหรอกว่าใคร พอไปเจอกันเราก็รู้สึกปิ๊ง เพราะเรารู้สึกว่าคนนี้มีแววจะต้องดัง เลยตัดสินใจเลย (แต่กับดาวมยุรีปฏิเสธเสียงแข็ง?) ใช่แล้ว ไม่ขอโทษด้วยนะคะ ทุกวันนี้ยังไม่ยอมขอโทษ เพื่อนกันต้องรับได้ทุกเรื่อง ทั้งดีไม่ดีนะคะ แล้วพอเราไปออกแบบท่าเต้นให้กับ รุ่ง สุริยา เพลงติงนังก็ดังเปรี้ยงขึ้นมา ไม่ดังเฉพาะเพลง เราก็ติดสอยห้อยตามเขาดังไปด้วย และมีข่าวกันอีก รายการทุกรายการตอนนั้นเกมส์โชว์ ทอร์คโชว์จะต้องมีปิ๋มอยู่ในรายการ
หลังจากนั้นมา นักร้องลูกทุ่งทุกคน กล้าพูดได้ว่าทุกคนผ่านมือปิ๋มหมด มาเปรี้ยงอีกทีกับอาร์สยาม เพลงช่างมันเต๊อะ กระแต,เพลงชิมิ บลูเบอรี่,โปงลางสะออน,ใบเตย,บิว กัลยา,บ่าววี, จินตหรา พูนลาภ ปิ๋มก็เต้นให้ตั้งแต่เพลงแรกตั้งแต่อยู่มาสเตอร์เทป เพลง “รักสลายดอกฝ้ายบาน” ชัวร์ออดิโอทั้งค่ายนะคะ แพรวา พัชรี ซึ่งจะเป็นเจ้าแม่เพลงช้า แต่ก็พลิกมาเป็นแดนซ์ เราก็พลิกโฉมให้เขา ออกแบบเสื้อผ้าหน้าผมท่าเต้นให้ ก็ต้องรอดู แล้วก็มีบัว กมลทิพย์ นักร้องใหม่ ซุปเปอร์วาเลนไทน์ (สอนเยอะคิดเยอะแบบนี้ ไม่ซ้ำกันบ้างเหรอ?) แล้วแต่ดนตรีค่ะ ไม่เหมือนกันแน่นอน ปิ๋มคิดคนเดียว สอนคนเดียวค่ะ แต่ถ้าเราจะทำงานของเราเอง จะต้องมีทีมช่วย ทำคนเดียวไม่ได้ค่ะ คิดไม่ออก เพราะจะรู้สึกเกร็ง และมีบรรทัดฐานของลูกศิษย์มาค้ำด้วย
“คุณครูปิ๋ม” ของศิลปินนักร้องหลายๆคน
คำว่าครูยิ่งใหญ่เสมอค่ะ พอมีลูกศิษย์เรียกก็จะไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่นัก และไม่ถนัดเลยเรียกว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ จะใช้คำแทนตัวเองกับลูกศิษย์ทุกคนว่าพี่เสมอค่ะ
กับบทบาทการเป็นคุณแม่
มีลูกชาย 2 คนค่ะ คนโตชื่อ “น้องมีดี” อายุ 12 ขวบแล้ว คนเล็ก “น้องมาชู” 3 ขวบครึ่ง เข้าโรงเรียนหมดแล้ว เราก็คอยไปรับไปส่งลูกที่โรงเรียน แล้วก็เลี้ยงพ่อแม่ เลี้ยงทุกคนเลย ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยมาก บอกตรงๆ แล้วปีหน้า “น้องมีดี” จะขึ้น ม.1 ก็คิดว่าตัวเองจะไหวไหมเพราะว่าเราต้องซื้อสังคมให้ลูกด้วย เรามานั่งนึกว่าลูกเราก็เรียนเก่งนะได้ที่ 1 ที่ 2 ตลอด นับจากท้ายขึ้นไปนะ คือถ้าคนที่ได้ที่โหล่ออกจากโรงเรียนนี้ไปลูกเราได้ตำแหน่งโดยปริยาย(หัวเราะ) ตั้งแต่อนุบาลยัน ป.6 เราก็เลยคิดว่า ลูกเราน่าจะต้องอยู่ที่นี่ สองน่าจะต้องไปเรียนวิชาชีพเหมือนแม่ เพื่อที่จะได้หากินเลี้ยงตัวเองได้เลย ก็เลยคิดว่าจะให้ลูกไปเรียนที่มหิดลศาลายา นาฏศิลป์ คือเราเติบโตมากับวิทยาลัยนาฏศิลป์ อยู่บ้านพักกับครู รับใช้ครู ดูแลครู ทำงานบ้านทำนู่นทำนี่เป็นเพราะว่าอยู่กับครู คิดว่าถ้าลูกได้ไปอยู่ตรงนั้น จะเจริญรอยตามเราได้
ถามเขาแล้ว เขาโอเคจะให้เขาเรียนดนตรีสากล เขาบอกว่าชอบพละ แต่ก็คงจะเป็นไปได้ยาก เพราะว่าใช้กับวิชาชีพลำบาก คือเขายังไม่ได้มีความโดดเด่นทางด้านกีฬาอะไร ปิ๋มมองว่าการที่เขาไปอยู่โรงเรียนประจำกับครูจะปลอดภัยในเรื่องของยาเสพติด ส่วนครูที่สอน เขาก็เป็นครูที่สอนและเลี้ยงเรามาด้วย เรียกท่านว่าแม่เลยค่ะ (สาเหตุที่ลูกเรียนไม่เก่ง?) เพราะแม่ค่ะ ยอมรับเลยว่าเราไม่มีเวลาให้เขา ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นเป็นแม่บ้าน คนอื่นเขาก็คงไม่ต้องห่วงเรื่องทำมาหากิน คงจะให้เวลาลูกได้เต็มที่ พาไปเรียนพิเศษติวหนังสือ แต่ว่าเราต้องทำงาน ลูกขาดเรียนบ่อยมาก คุณแม่ก็ไม่ได้สนใจ เพราะเราจะบอกเขาว่าไม่เป็นไรลูก เรียนด้วยอยู่กับแม่ด้วย เพราะแม่ไม่มีเวลาก็ต้องกระเตงลูกไปด้วย เลยทำให้เขาขาดเรียน ลูกต้องอยู่กับแม่ แล้วเราก็คุยกับคุณครูว่าปัญหามันคือแบบนี้ ครูก็จะเข้าใจ ปิ๋มเองเลือกไม่ได้ ถ้าเราจะไปตะลอนๆคนเดียวต่างจังหวัดโดยที่ไม่ได้อยู่กับลูกก็ไม่ได้ (ไม่ได้หาพี่เลี้ยง?) มีค่ะ เป็นนานาชาติตลอดเลย ซึ่งเราก็ไม่ค่อยไว้ใจ ขนาดคนไทยมีทะเบียนบ้าน เราก็ไม่กล้าที่จะฝากลูกเล็กๆเราอยู่กับใคร เราก็เลยคิดซะว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมของเรา และปิ๋มก็คิดเองว่า คนเราความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดก็มีถมไป ต่อให้ลูกเรียนเก่งขนาดไหน แล้วลูกขาดความอบอุ่น เป็นคนไม่ดี ก็ไม่มีประโยชน์ เราก็ให้ลูกเรียนเพื่อรู้ ไม่ได้เรียนเพื่อจะเอารางวัล ใครจะว่ายังไงก็ว่าไป แต่ฉันจะอยู่กับลูก
ยอมเป็น “คุณแม่” ที่ไม่ได้ดีพร้อม
เราเลือกที่จะอยู่กับลูกค่ะ ใครที่ไม่เป็นเรา ไม่รู้หรอก ปิ๋มไม่ได้รับการส่งเสียจากใครเลย สามีก็ไม่ได้ส่ง ผ่านการมีครอบครัวมาแล้ว 2 ครั้ง เราก็ว่าเราเลือกดีแล้วนะ คนแรกก็ว่าเลือกดีแล้ว คนนั้นคนนี้ยุว่าถ้าไม่เลือกคนนี้นะแย่มาก เราก็เชื่อ พอคนที่ 2 เราก็เข็ด ว่าจะไม่เอาใครแล้ว แต่พ่อแม่เขาเป็นเพื่อนพ่อแม่เรา ญาติพี่น้องทุกคนรู้จัก ไม่ต้องไปเริ่มต้นดูถึงไส้ถึงพุง ต่างคนต่างเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก น่าจะไม่พลาด เพราะว่ารู้กำพืดกัน แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม ประสบการณ์จากคนที่แล้ว พลาดมาแล้ว เราเลือกที่จะยอม แต่คราวนี้ไม่ยอมแล้วไง ได้กลิ่นว่าอะไรอย่างนี้ก็สู้ไงมาเลย ไม่กลัวแล้ว ขาดคือขาด เป็นคนที่ถ้าทำอะไรแล้ว สุดคือสุด และจะไม่กลับไปเสียใจ ร้องไห้เป็นอาชีพค่ะ
ลูกคนโตจะรู้ทุกอย่างของแม่ (ทำไมถึงเล่าให้ลูกฟัง?) นี่ไง คนจะถามว่าทำไม ส่วนตัวมีความรู้สึกว่า เราไม่ควรจะดูถูกเด็ก เขาควรที่จะรับรู้ ถ้าเกิดเราไปปกปิดเขา ว่าไม่มีอะไร แล้วถ้าเกิดวันนึงเขารู้ว่าแม่โกหกจะเป็นยังไง เราสอนเขาว่าจะไม่โกหกกัน มีอะไรเราจะคุยกัน ตอนที่มีข่าวใหม่ๆ ที่เด็กๆ ก็จะตะลอนเดินสายไปออกรายการกับเราตลอด เขาก็ซึมซับว่าแม่พูดว่าอะไรเกิดอะไรขึ้นกับเขา เขารู้เรื่องตั้งแต่ต้นเลย ว่าเขาโดนยิงตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ และเราก็จะปลูกฝังให้เขารู้ว่าการไม่มีพ่อคือเรื่องปกติ ให้เขารับได้ ตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่มารู้ตอนโต แล้วเพื่อนก็มาถามว่าแม่มีดีเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เหรอแล้วเขาก็ช็อค สู้ให้เขารู้ตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า เขาจะตอบได้ด้วยตัวเอง (ลูกก็ไม่ได้รู้สึกว่าขาดพ่อ?) ใช่ค่ะ ลูกเขาชอบตัวการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ อุลตร้าแมน แบตแมน ซึ่งเราก็บอกเขานะว่าตัวการ์ตูนเหล่านี้ ก็ไม่มีพ่อ เขาโตมาได้ แล้วเขาก็เป็นฮีโร่ โดเรมอนก็ไม่มีพ่อ เขาก็เลยรู้สึกมาตั้งแต่เด็กๆเลยว่าเขาไม่จำเป็นที่จะต้องมีพ่อ แต่เขาก็แอบอยากจะมีพ่อใหม่เหมือนกัน คือตอนนั้นเขาประมาณ 5-6 ขวบ แต่พอพ่อของลูกคนที่ 2 เข้ามาในชีวิต เราให้เขาเรียกคุณลุง ไปๆมาๆเขาไปถามคุณยายก่อนว่าเรียกคุณลุงว่าพ่อได้ไหม คือเขาไม่กล้าถามเรา ยายก็เลยแอบมากระซิบเราก็เลยขำ ตอนนั้นยายบอกเขาว่าให้ไปถามแม่ แล้วเขาก็มาขอเราจริงๆ เขาบอกว่าเขาอยากมีพ่อ เพราะว่าไปโรงเรียนแล้วมีพ่อมารับมาส่งเพื่อนๆ ก็อยากจะมีพ่อเหมือนคนอื่น เราก็บอกว่าได้ แต่จะต้องไปขอคุณลุงเอง เขาก็กล้าที่จะไปขอ ทางนั้นก็บอกว่าได้ ลูกก็ดีใจร้องเย้ๆ เลยนะ ว่าลูกมีพ่อแล้ว จะไปบอกเพื่อนว่ามีพ่อ แต่พอเขาเห็นอะไรหลายๆอย่างที่มันไม่ดีทำร้ายจิตใจแม่ แล้วแม่ต้องร้องไห้ เขาก็เลยรู้สึกเองว่าคำว่าพ่อไม่เห็นดีเลย ไม่เห็นเหมือนกับที่คิดไว้เลย หลังๆเขาเลยเรียกว่าพ่อมาชู
ลูกคือสิ่งวิเศษ
การมีลูกถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากค่ะเขาเหมือนของขวัญ บางคนบอกว่าลูกเป็นภาระ มีลูกแล้วจะไม่มีเวลา ผิด!ทำไมปิ๋มมีเวลาล่ะ ทั้งที่กว่าจะออกจากบ้านได้ต้องใช้เวลาแต่งเนื้อแต่งตัว 2 ชั่วโมงนะ แต่ทำไมมีเวลาทำกับข้าวให้ลูก ไปรับไปส่งลูก ทำนู่นทำนี่ให้ลูก เราอาจจะไม่มีเวลาพาลูกไปเรียนพิเศษ แต่ว่าเราก็มีเวลาในสิ่งที่เราต้องทำ เพื่อความอยู่รอดของลูก เหนื่อยมากเมื่อไหร่จะสบายก็ไม่รู้ ถ้าสบายแบบมีคนมาเลี้ยงก็เอานะ แต่มันไม่มีไง แล้วก็ไม่ได้เลี้ยงแบบไปเป็นเมียน้อยใครนะ ถ้าเขาไม่มีเมียแล้วเราก็แฮปปี้
ความสัมพันธ์กับ “ดาว มยุรี” ที่หลายคนจับตามอง
ไปตามไอจีนางสิคะ รักซีโฟร์เสมอ คือก็ยังเป็นพี่เป็นน้องกัน ยังมีโปรเจ็คร่วมกัน นางก็เป็นคนที่รู้ใจที่สุด รู้ว่าเราชอบอะไรยังไง แล้วตอนนี้เราก็มีแอบงอนกันบ้าง นางก็จะรู้เส้นว่าเรางอน เพราะว่าเราจะไม่คุยด้วย นางก็จะง้อโดยการโพสต์ลงไอจี
ยังคงเคลื่อนไหวในวงการเพลงตลอดๆ
ไม่ได้หายไปไหนค่ะ กับผลงานตอนนี้ก็จะมีงานจ้าง งานร้องเพลง คนก็คิดว่าปิ๋มหายไปไหน แต่จริงๆไม่ได้หายนะคะ ส่วนมากนักร้องลูกทุ่งเราก็จะมีงานเดินสายของเราอยู่แล้วเพียงแต่ว่าอาจจะไม่ได้ออกสื่อ ส่วนงานออกแบบท่าเต้นให้กับศิลปินก็ยังคงทำอยู่ปกติ ละครก็มีค่ะที่ยังไม่ได้ออนแอร์ เรื่อง สาวน้อยคาเฟ่ กับ นางโชว์ แต่ค่าตัวได้แล้วนะ ก็แฮปปี้ค่ะ แล้วที่กำลังถ่ายทำอยู่คือ มงกุฎริษยา ทางช่อง 8 ปีหน้าค่อยมาลุยเรื่องงานเพลงชุดใหม่กันค่ะ อยากจะทำเพลงเดี่ยวของตัวเองอีก ทำเป็นสไตล์ของตัวเองคือลูกทุ่งแดนซ์นี่แหละ เต้นจนกว่ากระดูกจะหักกันไปข้าง เต้นจนกว่าเขาจะเลิกจ้าง แล้วตอนนี้ก็มีหลายค่ายมาจีบ ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรคือมาสวยตอนวัย 40 กว่า (ยิ้มภูมิใจ) คือมีนายห้างมาคุย แต่ว่าก็ยังไม่ได้ตอบตกลง เพราะว่าเราก็โตแล้วไม่อยากจะไปเริ่มต้นใหม่ การที่จะต้องไปเซ็นสัญญากับใครมันก็จะต้องเริ่มต้นใหม่ ที่มีซิงเกิ้ลออกมา คือทำกันเอง แล้วเราก็ฝากงานขายให้กับทางท็อปไลน์ไดมอนด์ ซึ่งเขาก็จะหางานโชว์ให้
คิดว่าตัวเองทำงานหนักไปไหม
ไม่เยอะไม่หนักหรอกค่ะ อยากทำอีก มีอะไรให้ทำอีกไหม คือปิ๋มอยากจะทำโครงการหางเครื่อง มีโครงการตั้งนานแล้ว แต่ว่าเรายังไม่มีเงินสนับสนุน อยากจะได้เงินสนับสนุนจากผู้หลักผู้ใหญ่สักคน อยากทำหางเครื่องก้าวสู่เวทีโลก อยากให้ทั้งโลกรู้จัก เพราะว่าหางเครื่อง ไม่มีที่ไหนนอกจากเมืองไทยที่เดียว เพราะเราโตจากคำว่าหางเครื่อง ก็เลยอยากจะทำในอนาคตอันใกล้นี้ แล้วอยากจะปฏิวัติวงการหางเครื่องด้วยค่ะ
เราขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้กับความฝันที่สวยงามของหญิงแกร่งคนนี้ “ปิ๋ม ซีโฟร์”
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี