star Retro : ‘หนึ่ง’ วรเชษฐ์ นิ่มสุวรรณ คิดทิ้งวงการไปเป็น ‘อาจารย์’
แต่ชะตาไม่ปล่อยผ่านให้ล้มเลิก!?
เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางการแสดงทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง จนในที่สุด หนึ่ง-วรเชษฐ์ นิ่มสุวรรณ ได้ขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับการแสดง แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เส้นทางชีวิตของเขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคอะไรมาบ้าง วันนี้ “สตาร์เรโทร” มีคำตอบจากปาก...ผู้กำกับป้ายแดง
ความกวนเป็นเหตุ
บอกเลยว่าผมเข้าวงการมาด้วยความบังเอิญ ตอบได้เต็มปากเต็มคำ ครั้งแรกคือเริ่มจากไปเดินเล่นกับเพื่อนชื่อสมควรที่เซ็นทรัลลาดพร้าว สมัยเรียนเซนต์จอห์น ตอนนั้นอายุ 17 มีคนเดินมามองหน้า ในใจเราก็คิดว่าเขาหาเรื่องแน่ๆ สักพักเขาก็เดินมาที่ผมเลย แล้วบอกว่าน้องหน้าเหมือนอำพลนะ ซึ่งตอนนั้นพี่หนุ่ย (อำพล ลำพูน) กำลังดังมาก เพื่อนก็ทักเราประจำ เพื่อนบางคนเรียกหนุ่ย บางคนเรียกพุ ตามหนังเรื่องน้ำพุ และเขาก็ถามเราว่าอยากเป็นดาราไหม เราก็ไม่อยากจะเชื่อ เพราะว่าเราตัวเท่าลูกหมาเนี่ยนะ อย่ามาตลก แต่ว่าเพื่อนผมน่ะ อยากเป็น นำเสนอตัวเองมาก ซึ่งเขาก็หน้าตาดีและสูงกว่าผมด้วย เขาก็เลยให้นามบัตรมา และให้ไปแคสงานโฆษณาในวันรุ่งขึ้น ผมเองก็ไม่สนใจ แต่พอไปถึงโรงเรียนเพื่อนคนเดิมก็ชวนให้ไปแคส เราด้วยความรำคาญ ก็เลยยอมไปเป็นเพื่อนมัน แล้วก็ไปเจอพี่สายัณห์ ที่บริษัทซีดีโมเดลลิ่ง พอไปถึงพี่สายัณห์บอกให้เพื่อนเรารอ ให้เราเข้าไปแคส
ก่อน ผมก็งง รู้สึกเริ่มไม่พอใจ เขาถามอะไรมา ผมก็ตอบกวนประสาทไป ยืนนิ่งๆ หน้าไม่รับแขก เขาถามคำ เราก็ตอบคำ แล้วเขาก็บอกเราว่าให้พูดใหม่หมดเลยนะ แล้วมองกล้อง พอเขานับห้าสี่สามสองเราก็ “พูดใหม่หมดเลยๆ” (หัวเราะ) คือ
กวนมาก น่าจะโดนเขาเตะตั้งแต่แรก ตั้งใจกวนโอ้ย...เขาเลย และทุกช็อตเขาก็บันทึกไว้โดยที่เราไม่รู้เรื่องด้วย แล้วเขาก็ให้เราทำท่ากินลูกอมให้เขาดู เราก็แกะเปลือกออกแล้วเอามือดีดลูกอมขึ้นไปอ้าปากรับ ทำไปโดยไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าเรียนให้จบแม่กับตาก็พูดเสมอว่าเรียนจบออกมาหางานทำช่วยแม่ส่งน้องเรียน หลังจากนั้นอีก 4-5 วัน พี่สายัณห์ โทร.มาบอกว่าเราได้โฆษณา
ลงสนามจริงแบบงงๆ แต่เป๊ะทุกซีน
วันที่ไปถ่ายทำจริงๆ ตื่นเต้นมาก จำได้เลยวันที่ 25 ธันวาคม ปี 2538 ผมก็ยังกวนเขาอยู่นะ กวนกระทั่งผู้กำกับ แต่ก็บอกเขาว่าอยากให้ผมเล่นอะไรก็บอก เดี๋ยวผมเล่นให้ แล้วนางแบบสูงมาก เราต้องยืนบนบล็อกของช่างไฟ ตัวถึงจะสูงเท่าเขาได้ เป็นงานโฆษณาชิ้นแรก ชื่อลูกอมซานโตส ทุกช็อตก็คือเทคเดียวผ่าน ทั้งที่เราตื่นเต้นนะ แต่ว่าไม่แสดงให้เขาเห็น ได้ค่าตัวครั้งแรก 3,500 บาท ภูมิใจมาก ถือว่าเยอะมากครับในสมัยนั้น จากนั้นผมก็กลับไปเรียนต่อปกติ เพื่อนก็แซวว่าเราเป็นนายแบบ และเราก็มีงานเข้ามาอีก ทั้งถ่ายสารคดีปลอดภัยไว้ก่อน ตอนนั้นหนังเรื่อง “ปลื้ม” กำลังดัง มีพี่เอ็ม (สุรศักดิ์ วงษ์ไทย) บิลลี่ (บิลลี่ โอแกน) พี่หนุ่ย (อำพล ลำพูน) ก็มาด้วย และพี่มาโนช พุฒตาล เป็นผู้กำกับ คนทำฝ่ายศิลป์คือพี่ขวด (วรานันท์ ยูสานนท์) ซึ่งดังจากเพลง “รักยืนยง” ของพี่ปั่น (ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว) ก็โอ้โห! เจอคนที่เราปลื้มหมดเลย เราก็เล่นเป็นเด็กปั๊ม คนก็แซวอีกว่าหน้าเหมือนพี่หนุ่ย เพื่อนคนเดิมก็ตามไปด้วยอีก ซึ่งเขาก็เสียใจนะ ที่เขาไม่ได้งานเหมือนเรา แต่ตอนนี้ก็ยังคุยกันอยู่ เป็นเพื่อนสนิทกัน และหลังจากนั้นก็ยังมีงานโฆษณามาเรื่อยๆ อีกสัก2-3 ชิ้น
เข้าสู่แวดวงแฟชั่น
พี่พจน์ อานนท์ ชวนให้ไปถ่ายแบบหนังสือเธอกับฉัน พี่พจน์เป็นสไตลิสต์ ถ่ายแบบเสื้อผ้า แต่ว่าผมตัวแข็งทื่อมาก แต่ก็ได้ลงปก
เลยนะ พี่พจน์ก็ช่วยบอกตลอด ให้โพสท่าอย่างนั้นอย่างนี้ จัดท่าให้ โดยมีคุณอ๋อย (ลาวัลย์ แสงชาติ) ที่ไปด้วย เขาก็ดิวทางพี่พจน์มา และสมัยนั้น บก. คือ พี่สยุมพร บุตรนา นี่คือบุคคลที่ได้ชักชวนผมเข้ามา หลังจากนั้นพี่พจน์จะเรียกให้ไปถ่ายแบบตลอด จนคนรู้จักว่านี่คือ วรเชษฐ์ นิ่มสุวรรณ ซึ่งต้องบอกว่าคุณพจน์ อานนท์ เป็นคนสร้างเราให้คนได้รู้จัก จากนั้นก็มีหนังสือเรียกไปถ่ายเรื่อยๆ ทุกฉบับเลยที่ไปถ่าย แต่ที่บ่อยที่สุดคือเธอกับฉัน ครับ เราเหมือนเป็นนายแบบ แต่ว่าเป็นนายแบบต่อกล่อง (ยิ้ม) ตัวเล็กสุด หลังจากนั้นก็ได้ถ่ายโฆษณาฮอนด้าดรีมกับคุณรวิวรรณ จินดา เป็นเอ็กตร้าเมนขี่ประกบไปกับเขา จนพ่อตู่
(นพพล โกมารชุน) ผมจะเรียกพ่อตู่นะครับ เห็นผมระหว่างถ่ายโฆษณา เลยชวนให้ไปเล่นละครโดยฝากไปทางพี่นะ (ชนะ คราประยูร) ในภาพยนตร์เรื่องแรกคือ “เหยื่อ” ผมเล่นเป็นเด็กรถสองแถว พี่เอ็ม-สุรศักดิ์ เป็นพี่ชาย ซึ่งพี่นะ ก็จะสอนในเรื่องของระเบียบวินัย บทต้องท่องต้องจำ เล่นให้ได้ ได้มาเจอพี่เอ็มอีกครั้งก็คุยกันสนุก พี่เอ็มช่วยเยอะ เพราะผมก็ไม่ถึงกับเก่ง หลังจากนั้นก็มีหนังเล่นอีกเรื่อยๆ ไม่เคยได้เล่นเป็นพระเอก แต่ว่าก็เป็นตัวเอกของเรื่องเหมือนกัน
สู่จอแก้ว
มาเล่นละครทางช่อง 3 ครับเรื่อง “สุดแต่ใจจะไขว่คว้า” เรื่องแรก พี่หนุ่มเสกเป็นพระเอก การแสดงในตอนนั้นยังเป็นไม้กระดาน
อยู่ครับ (หัวเราะ) แต่ละครได้รับการตอบรับที่ดีมาก และเราก็ยังเรียนการแสดงเรื่อยๆ พ่อตู่
จะสอนให้ในวันที่ไม่ตรงกับคิวละคร บอกตรงๆ ว่าได้ความรู้ได้วิชาการแสดงจากพ่อตู่เยอะมาก
เราเลยได้มีโอกาสไปช่วยงานเบื้องหลังกับทางเป่าจินจงบ้าง ไปเรียนรู้งาน ด้วยความที่เราชอบเบื้องหลัง
มีงานประจำที่ทำควบคู่กับงานแสดง
ระหว่างนั้นเราก็ทำงานรับราชการอยู่ที่ผังเมืองครับ ทำอยู่ 5 ปี สลับกับถ่ายละคร ซึ่งหัวหน้าผมใจดีครับ เวลาไปถ่ายละครก็ปล่อยให้เราไป แต่เวลามีงานที่ต้องทำต้องส่งก็ต้องเสร็จนะ แต่พองานแสดงเยอะๆ เข้า งานประจำก็เริ่มเสีย เราเลยต้องลาออกมาเล่นละครเต็มตัว และแอบหนีไปต่างประเทศก่อน 3 เดือน ไปหาแรงบันดาลใจพักหนึ่ง แล้วก็กลับมาลุยงานแสดง กลับมาเจอพี่น้อย ที่อยู่ไทยรัฐ พี่เขาก็บอกว่าหม่อมน้อย (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล) ตามหาอยู่นะ เราก็เลยโทร.ไปหาท่าน ซึ่งหม่อมน้อยก็ให้มาเล่นเป็น “น้ำพุ” คือท่านทำหนังเรื่อง “ความรักไม่มีชื่อ” ผมก็ไปเล่นเป็นตัวน้ำพุ ซึ่งเป็นแฟนกับตัวละครตัวหนึ่งในเรื่อง ได้วิชาจากหม่อมเยอะมากครับ
ประชันฝีมือกับ 2 ไอดอล
พี่ยุ (ยุวดี ไทยหิรัญ) ทำหนังเรื่อง “ต้องปล้น” ก็ให้เราเข้าไปคุยบทกับพี่เมาท์ (ชูชัย องอาจชัย) ซึ่งพี่เมาท์ก็มอบบท “ไอ้จ้อน” ให้ผมไปอ่าน อ่านแล้วเราก็รู้สึกว่ามันสนุก ตัวมีสีสัน น่าเล่น อ่านจนรู้สึกว่าบทของเราเข้าหัวแล้ว บทของพี่อ๊อฟ พี่หนุ่ยก็เข้าหัวหมดเลย แต่ตอนแรกเรายังไม่รู้นะว่า 2 คนนี้จะมาเล่น เพราะพี่เมาท์ไม่บอก จนวันเปิดกล้องเห็นพี่หนุ่ย พี่อ๊อฟเล่นก็ดีใจมาก เพราะว่าไอดอลเราทั้งคู่เลย ซึ่งภาพที่ผมจำได้ตอนนั้นคือพี่อ๊อฟเดินเข้ามาหาเรา ทั้งที่ก็ยังไม่สนิทกันนะ แล้วบอกว่า “เฮ้ย!ไม่มีใครช่วยมึงนะ นอกจากตัวมึงเอง เล่นให้ได้แล้วกัน” แล้วแกก็เดินไปเลย นั่งกินข้าวอยู่ ผมกินไม่ลงเลย ข้าวยังไม่ทันหมดจาน พี่หนุ่ยเดินมาอีก มาคุยด้วยซึ่งคำพูดนั้นยังก้องอยู่ในหูผมจนทุกวันนี้ “เฮ้ย!ตัวใครตัวมันนะ ต้องช่วยเหลือตัวเองนะน้อง พี่คงช่วยอะไรมากไม่ได้” เจอดอกนี้อีก ใจคอไม่ดีเลยสิครับ แต่ก็เอ้า! เป็นไงเป็นกัน! ถึงเวลาถ่ายคือบทไม่ถือด้วยนะ เพราะว่าผมอ่านจนจำได้หมดแล้ว เป็นไงเป็นกัน ในบทผมกับพี่อ๊อฟต้องไม่ถูกกันด้วย ซึ่งเขาก็บอกเลยว่าเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจ เราจะเกรงใจคนเดียว คือพี่หนุ่ย เพราะนับถือเป็นพี่คนเดียวในเรื่อง ยิ่งพี่อ๊อฟพูดว่ามา ผมก็ใส่กลับไม่สนเลย คงคาแร็กเตอร์นี้ไว้จนจบเรื่อง แต่ทุกวันที่ไปกองถ่าย ผมจะไปบ้านพี่อ๊อฟตอนเช้า พี่แดงก็ทำกับข้าวให้ทาน แล้วเราก็ไปนั่งรถกับพี่อ๊อฟ เพื่อที่ไปถ่ายหนังด้วยกัน เพราะว่าเราเข้าฉากด้วยกันบ่อย ได้บารมีพี่อ๊อฟพี่แดงที่คอยช่วยเหลือ พี่แดงก็ให้ความรักความเมตตา และที่พี่อ๊อฟพี่หนุ่ยพูดขู่เรานั้นเขาต้องการให้เรามีแรงผลักเท่านั้นเอง และเขาก็ช่วยดันเราตลอดอยู่แล้ว พี่ธงชัย ประสงค์สันติ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่สอนนะ แต่ต้องตั้งใจเล่น เคยได้ยินแกพูดกับเด็ก นี่คือสิ่งที่ดีสำหรับนักแสดงรุ่นพี่ แต่ถ้าเราไม่ได้อะไร เขาจะมีข้อแนะนำชี้แนะให้ แล้วคุณก็ไปปฏิบัติต่อให้มันดีขึ้น “ต้องปล้น” ถือเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมาก คนรู้จักผม แจ้งเกิดอย่างมาก คนที่วัยน้อยกว่าผมนิดหนึ่งหรือมากกว่า เขาจะบอกว่าชอบตอนที่เล่นเป็น “ไอ้จ้อน” ใน “ต้องปล้น” คือยังจำชื่อตัวละครได้ ซึ่งผู้จัดฯละครของผมตอนนี้ คุณตุ๊ก(จันจิรา จูแจ้ง) ก็เล่นเป็นนางเอกด้วย
สู่งานเบื้องหลัง
จริงๆ ผมชอบงานเบื้องหลังตั้งแต่เล่น “ต้องปล้น” แล้วครับ เห็นวิธีการทำงานของทีมงานก็พยายามไปศึกษาเรียนรู้ จนวันหนึ่งก็ไปถ่ายหนังกับคุณบิลลี่ โอแกน เรื่อง “ยุ่งดะมะด๊อง” เรื่องนี้ผมได้รางวัลตุ๊กตาทองสมทบชายยอดเยี่ยม คุณบิลลี่ได้นักแสดงนำ เราก็ยังสนใจเบื้องหลังอยู่ ศึกษาไปเรื่อยๆ จนได้เจอพี่ต้อ (ชาติชาย แก้วสว่าง) ที่ทำธุรกิจกองเรื่องนี้ และได้มาดูแลคิวงานให้เรา แต่เขาไม่เอาเปอร์เซ็นต์อะไร และแกก็มีโอกาสได้ทำหนัง ผมเลยได้ไปช่วย แต่ก่อนหน้านั้นก็มีคุณปลา-พีรพล ผู้กำกับโพลีพลัส ทำหนังเรื่องหนึ่ง ผมเลยขอไปทำด้วย เพราะว่าอยากรู้เบื้องหลัง เลยลองไปศึกษา พี่หมี (โชติรัตน์ รักเริ่มวงศ์) ก็เป็นหนึ่งในอาจารย์ของผม เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนพร้อมลุยงานกำกับภาพยนตร์เต็มตัวครั้งแรก
ปีพ.ศ.2548 มั้งครับ ผมกำกับเรื่อง “มนต์รักร้อยล้าน” แต่ไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไร เราไม่ท้อ ทุกอย่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อมันยังไม่สุดทาง ก็ต้องมีอุปสรรค แต่เราจะหลบเลี่ยงแก้ไขยังไง ผมคิดแบบนี้ ทุกอย่างที่ผิดพลาด เป็นประสบการณ์ เป็นครูสอนเราว่า เราต้องแข็งแกร่งยังไง กำกับหนังวีซีดี หนังแผ่น ก็ทำมาแล้วครับ คือมันมีช่วงหนึ่งที่หนังแผ่นดังมาก เลยได้โอกาสไปทำ และผมก็เรียนปริญญาโทจบพอดี งานละครก็ยังรับอยู่ เล่นเรื่อง “เมื่อดอกรักบาน” ละครของพี่อ๊อฟ แล้วก็คิดว่าจะผันตัวเองไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือ เพราะว่าไม่มีใครติดต่อมา ก็ไปพบท่านอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม ท่านอาจารย์โสภิต ไปขอให้ท่านช่วยเพราะอยากจะไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยนอร์ทที่เชียงใหม่ ท่านก็โทร.ติดต่อให้เลยเดี๋ยวนั้น ทางนู้นก็น่ารักมาก รับเลย คุยกันเสร็จเรียบร้อย เดินลงจากตึก พี่อ๊อฟโทร.มาบอกว่าขาดผู้ช่วย ให้มาช่วยได้ไหม กำลังจะทำเรื่อง “หัวใจสองภาค” (งานเข้าเลย ?) ตอนนั้นรู้สึกเหมือนอะไรมาปะทะ ตัดสินใจไม่ได้ ก็เลยโทร.ไปหาแม่ แม่บอกว่ารักอันไหนทำอันนั้น ถนัดอะไรก็ทำอันนั้น พอแม่พูดแบบนี้ เลยคิดได้ ก็ตอบตกลงพี่อ๊อฟไป และไปขอโทษอาจารย์ อธิบายให้ท่านฟัง ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร พร้อมเมื่อไหร่ค่อยมาหา ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ไปเลยครับ 8 ปีมาแล้ว เลยไม่ได้เป็นอาจารย์ ช่วยพี่อ๊อฟ 3 เรื่อง “หัวใจสองภาค”, “สี่หัวใจแห่งขุนเขา ตอนวายุภัคมนตรา” แล้วก็ “รอยไหม” อิ่มและมีความสุขมากกับเรื่องนี้ คือละครก็ดี ภาพก็สวย นักแสดงก็สวยหล่อ
สิ่งที่ได้จากไอดอลที่ชื่อ อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์
พี่อ๊อฟเหมือนเป็นครูคนหนึ่งเลยครับให้วิชาเราหลายๆ อย่าง โดยที่เขาไม่ได้สอนเราตรงๆ ได้วิชาจากพี่อ๊อฟทั้ง 3 เรื่อง และการตอบโจทย์เพื่อจะให้คนดูรู้สึกว่าละครเรื่องนี้มีอะไรที่เป็นความโดดเด่น น่าจะเล่าความเป็นเรื่องราว ผู้กำกับหลายๆ ท่านก็มีครับ เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ไปร่วมงานกันมาก อย่างพ่อตู่ก็จะมีวิธีการเล่าเรื่องของแต่ละส่วน เวลาที่เราพักและได้ไปนั่งคุยกับท่าน
ลุยงานเบื้องหลังอย่างเต็มตัว
ได้มีโอกาสร่วมงานกับผู้จัดผู้กำกับหลายๆ ท่านครับ อย่างคุณก้อง-ปิยะ ซึ่งผมไปช่วยพี่ชุ-ชุดาภา ในเรื่อง “กากับหงส์” และทางแม่หนู-ชลลัมพี ก็ได้ติดต่อมาให้ไปช่วยเรื่อง “เดอะซิกเซ็นส์” แต่ก็ต้องกราบขอโทษท่านผ่านสื่อตรงนี้ด้วย คือด้วยเจตนาของผม
“กากับหงส์” ยังไม่ปิด ก็ห่วงว่าเรายังทำงานนี้ไม่เสร็จ แล้วจะทิ้งไปรับงานอื่นมันก็ไม่ดี เลยไม่ได้รับ หลังจากนั้นคุณตุ๊ก-จันจิรา ก็ติดต่อเข้ามา ให้ไปช่วยทำเรื่อง “เรือนริษยา” ซึ่งเรื่องนี้เจ็บตัวหน่อย เพราะว่าคุณตุ๊กเจอปัญหาเยอะ เราก็อยู่ช่วยตามหน้าที่จนจบเรื่อง และแอบแว๊บไปเล่นหนังเรื่อง “ยังบาว” นิดหน่อย ไปเป็นผู้ช่วยเรื่อง “ฟาร์มเอ๋ยฟาร์มรัก” ในช่วงท้ายๆ ซึ่งพี่ผิน เกรียงไกรสกุล เป็นผู้กำกับ และได้ไปช่วยพี่ผินอีก 2 เรื่อง คือ “4 หล่อขอสืบ” กับ “Fly To Fin” แต่ผมก็ได้บอกกับทางพี่ผินไปแล้วว่ายังไงผมก็จะต้องมาทำให้กับพี่ตุ๊กนะ พอของพี่ตุ๊กเปิดกล้อง ทางนั้นยังไม่ปิดแต่เราก็ต้องมาทำ ซึ่งก็คือเรื่อง “เฮฮา (เมีย) นาวี” ในฐานะเป็นผู้กำกับเต็มตัวของช่อง 3 ครั้งแรก (ยิ้ม)
ขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับการแสดงอย่างเต็มตัว
ไม่รู้สึกอะไรเลยครับ ไม่ตื่นเต้นด้วย คืออาจจะเป็นเพราะว่าเราชินกับการทำงานอยู่กับวงการมาเยอะ ชินกับการเป็นเบื้องหลังมา
หลายเรื่อง เจออะไรมาเยอะ เลยทำให้เรารู้สึกว่าจะทำยังไงให้งานมันเดินไปดีกว่า ได้บทมาก็อ่าน ไม่ดีก็แก้ คุยกับพี่ตุ๊ก เซตทีมกันมา จะเกร็งกับนักแสดงมากกว่า ว่าเขาจะมีคิวให้เราไหม เพราะว่านักแสดงเยอะมาก หลายท่านคิวมหาเทพมาก และเป็นละครคอเมดี้ พี่ตุ๊กก็เคยคุยกับผมไว้แล้วว่าถ้าเกิดจะได้ทำละครเย็น พี่หนึ่งซีเรียสไหม ผมก็บอกว่าไม่ซีเรียสเลย ละครตอนไหนก็ได้ ผมคิดว่าการทำงานจะไปเลือกไม่ได้ ผู้ใหญ่หยิบยื่นโอกาสให้ เราก็ทำ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ใส่ใจนะ เราต้องรักและใส่ใจในทุกงาน ผมอยากทำเรื่องนี้เพราะว่าผมชอบบทประพันธ์ของพี่ป๊อก (นันทนา วีรชน) ผมได้อ่าน “เฮฮา (เมีย) นาวี” ตั้งแต่นานมาแล้ว และได้ดูภาพยนตร์สมัยที่ลิขิต เอกมงคล เล่น รู้สึกว่ามันขำดี และไม่เคยมีใครหยิบเรื่องนี้มาทำเป็นละคร เราก็เลยบอกพี่ตุ๊กไป แต่ว่าเราจะมีปรับบ้าง ก็เลยจะไม่เหมือนในหนังซะทีเดียว คือตัวนางเอกเราปรับให้เขาเรียนจบปริญญาโทแล้วกลับมา และสองให้พวกเดอะแก๊ง พี่เกมส์ พี่ยิ่งยง พี่บ๊วย เที่ยวคาราโอเกะเกี้ยวสาวเมียมาตามไล่ โดยเสนอความกะล่อนของผู้ชายว่าจะหนีเมียยังไงไปเที่ยว นางเอกก็มาสร้างความแข็งแรงในกลุ่มแม่บ้าน ให้เลิกการพนันมีอาชีพเสริมทำสินค้าโอท็อปขาย เราอยากให้สนุก ขำ และมีสาระให้คนดูด้วย
ดูมีความสุขที่จะทำละครเรื่องนี้
ใช่ครับ ผมชอบเพราะว่าเป็นนวนิยายในดวงใจ และด้วยความที่เป็นกลิ่นอายของทหารเรือ ซึ่งผมชอบทหารอยู่แล้ว พอเราได้ทำก็อยากเห็นความน่ารัก ทหารเขามีความน่ารักอยู่นะ ไม่ได้จริงจังซีเรียสตลอด โดยเฉพาะทหารเรือจะมีแก๊กเยอะหน่อย
ถ้ามีผู้จัดเจ้าอื่นสนใจอยากให้ไปกำกับ
ผมไม่ปฏิเสธนะครับ แต่ต้องขอให้เกียรติพี่ตุ๊ก-จันจิรา กับพี่ม่อน (มณีรัตน์ กาญจนชัยภูมิ) ก่อน เพราะว่าทั้ง 2 ท่านได้ให้โอกาสผม ซึ่งถ้าพี่ตุ๊กกับพี่ม่อนยังไม่ให้ผมเป็นผู้กำกับ หลายๆ ท่านอาจจะยังไม่เรียกผมไปทำ ก็ต้องกราบเรียนก่อนเลยว่าถ้าคุณตุ๊กทำเรื่องอื่นต่อ ผมก็ต้องทำกับท่านก่อน ผมถือว่าเป็นบุญคุณนะ ผมต้องขอบคุณคุณตุ๊กคุณม่อนมากๆ ที่ให้โอกาสผม
จากที่ปฏิเสธมาตั้งแต่แรกว่าไม่ชอบ ไม่เอา ไม่อยากเป็นดารา
กลายเป็นสิ่งที่รักที่สุดในสายอาชีพครับ เพราะว่าอาชีพนี้ทำให้ผมส่งน้องเรียนจนจบ ทำให้ผมมีบ้าน ทำให้ครอบครัวมีความสุข ทำให้ผมมีสังคมที่กว้างใหญ่มาก คือไปเจอคนข้างนอกหรือว่าประชาชนที่ทุกคนเข้ามาทักทายแล้วทำให้ผมมีความสุข นั่นคือสิ่งที่ผมได้สังคมรอบนอกที่ประชาชนให้การตอบรับกับผลงานของเรา แม้ว่าเราจะเล่นหรือไม่ได้เล่นก็ตาม เวลาที่ผมไปทำกิจกรรมให้กับสังคม มันทำให้เรามีความสุข เราได้คืนกลับให้เขา อย่างเวลาไปเตะบอลกับพี่น้องนักแสดง มันไม่ใช่แค่เราได้กับสังคมที่อยู่อาชีพเดียวกันเท่านั้น แต่เราได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ครอบครัวผมภูมิใจมีความสุข คุณแม่ขอผมไม่เยอะเลย ตั้งแต่เป็นวรเชษฐ์ที่เดินดิน แม่ขอ 4 อย่าง สิ่งแรกเรียนให้จบ สิ่งที่สองรับใช้ชาติเกณฑ์ทหาร แต่ไม่ได้เป็น สิ่งที่สามบวชเรียน และสิ่งที่สี่เป็นคนดีของสังคมช่วยเหลือสังคมตามกำลังที่เราจะช่วยได้
เซอร์ไพรส์! แอบไปมีครอบครัวตั้งแต่เมื่อไหร่
(หัวเราะร่วน) นานแล้วครับ ถ้าถามว่าแต่งงานจริงๆ จังๆ คือเมื่อปีที่แล้ว 11 สิงหาฯ แต่ไม่ได้บอกใครครับ ไปแต่งที่เชียงใหม่ บ้านของภรรยา จัดพิธีแบบเรียบง่าย บ้านๆ มีแขกผู้ใหญ่มีญาติพี่น้องที่นับถือ คือเราก็อยู่เป็นสามีภรรยากันมานานแล้วครับ จนลูกโตแล้ว ก็ยังไม่ได้จัดพิธีให้เขาเลย ผู้หญิงชีวิตหนึ่งเขาก็อยากจะมีภาพทรงจำดีๆ เลยจัดให้เขา ตอนแรกว่าจะแต่งตอนปี’56 พอดีคุณแม่แฟนเสีย เลยเลื่อนมาเป็นปี’57 เรามีลูกสาวหนึ่งคน เรียนปี 2 มหาวิทยาลัยพายัพ ผมไม่ปิดนะ ใครเจอผมก็บอกว่านี่ลูกสาวนี่ภรรยา (จะให้ลูกเจริญรอยตามคุณพ่อไหม?) เขาชอบนะ ผมก็ไม่ได้ชักนำอะไร ปล่อยเขา สิ่งไหนที่เขารัก เขาชอบ แล้วเดินไปในทางที่ถูก ผมก็สนับสนุน ไม่สอนการแสดงให้เล่นเอง สิ่งไหนไม่ถูกเราก็ค่อยบอกกล่าว เรื่องนี้เขาก็เล่นด้วย คือเราเป็นผู้กำกับ นักแสดงท่านอื่นเราพูดได้ดุได้ แต่ถ้าลูกสาวมาเล่นแล้วดุไม่ได้ไม่ยอมนะ วันนั้นเข้าฉากร้องไห้ ทำไม่ได้ ผมก็ดุเลย เขาก็ร้องเลยครับ เขาอยากเล่นเอง ขออาตุ๊กเองเลย งั้นก็ต้องเล่นให้ได้นะ แต่เขาเคยเล่นมาแล้วเรื่องหนึ่ง เป็นหนังดังวันหยุด เรื่องที่ 2 เล่น “รอยไหม” ของพี่อ๊อฟ โดยที่พี่แดงก็ไม่รู้ว่าเป็นลูกสาวผม คือไปแคสเองเลย ผมก็บอกเขาว่าผมไม่ใช้เส้นให้นะ อยากเล่นต้องไปแคสเหมือนคนอื่นเขา พอดีว่าพี่อ๊อฟไปถ่ายที่เชียงใหม่ เขาเลยไปแคส พี่อ๊อฟก็เลือก จนวันถ่ายทำลูกสาวก็มานั่งตักเรา พี่แดงก็ถามว่าเด็กที่ไหน เอ๊ะ...หน้าเหมือนที่เล่นเป็นบัวซอน เราก็บอกพี่แดงว่าลูกสาวผมเองพี่แดงตกใจใหญ่ ส่วนพี่อ๊อฟชอบผลงานเขาครับ
“ในอาชีพการงานคงไม่มีสิ่งไหนที่ผมอยากจะทำแล้วครับ ผมอยากเป็นผู้กำกับที่ทำละครดีๆ เหมือนผู้กำกับทุกๆ ท่านที่ทำ ละครดีๆ ออกไปให้ประชาชนชม แล้วเขารักละครและรักตัวละครเรื่องนั้น รวมทั้งผู้ใหญ่ทางช่อง 3 ก็รักและชอบละครเรื่องนี้ด้วย แค่นี้ก็เป็นความสุขที่สุดสำหรับผมแล้วครับ” จากใจผู้กำกับหน้าใหม่ แต่เก๋าด้วยประสบการณ์แบบคับแก้ว “หนึ่ง-วรเชษฐ์ นิ่มสุวรรณ”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี