เป็นนักแสดงที่ไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวต่อสาธารณชนสักเท่าไหร่ สำหรับหนุ่ม “แบงค์” กฤษฎี พวงประยงค์ เพราะนอกจากจะเป็นคนขี้อายแล้ว เขายังชอบที่จะใช้ชีวิตอยู่แบบเรียบง่าย ขอใช้ความสามารถกับงานแสดงเป็นหลัก ฉะนั้นเราจึงมักจะเห็นเขาผ่านบทบาทในละครเป็นส่วนใหญ่ วันนี้สตาร์เรทโทรจึงขอโอกาสสัมผัสตัวตนหนุ่มแบงค์กันใกล้ๆ กับบทสนทนาที่ครบเครื่องทุกเรื่องราวทั้งในและนอกวงการของ แบงค์-กฤษฎี
l บ้านเกิดในวงการบันเทิง
เป็นเด็กในบ้านเป่าจินจงครับ เกิดจากที่นี่ และโดนแซวว่าเป็นเด็กปั้นในตำนาน เพราะว่าเป็นเด็กที่เจอบนรถเมล์ ตอนนั้นผมอายุ 19 ปี คือหลายคนเขาอาจจะมาจากโมเดลลิ่งและหลายๆ ทาง แต่ผมเจอบนรถเมล์ ตอนนั้นมีผู้ช่วยผู้กำกับคนหนึ่งชื่อพี่ต่าย ผู้ช่วยอาตู่ (นพพลโกมารชุน) เขานั่งรถเมล์กลับบ้าน ผมก็นั่งรถเมล์กลับบ้านคันเดียวกัน เขายื่นโน้ตให้ผมแล้วบอกโทร.กลับไปตามเบอร์นี้นะ ยื่นให้เสร็จก็เดินลงรถไป ผมหยิบโน้ตมาก็งงๆ นะในโน้ตเขียนว่า “ชื่อต่ายนะ ทำงานที่เป่าจินจงของอาตู่-นพพล สนใจร่วมงานแสดงก็ติดต่อกลับมาที่เบอร์นี้นะ” แรกๆ ก็กลัวครับ เอ๊ะ..จะโดนหลอกหรือเปล่า ผมเดินสยามเป็นประจำไม่เคยมีใครมาทำแบบนี้ แต่พอนั่งรถเมล์กลับบ้าน ก็มีแบบนี้ด้วย ตัดสินใจโทร.กลับไปตามเบอร์ เขาให้เข้ามาถ่ายรูป กรอกประวัติ เก็บไว้ สักพักเขาก็เรียกให้มาแคสติ้งและได้เล่น “แม่อายสะอื้น” เป็นเรื่องแรกของชีวิตการแสดงครับ
l เปิดซิงงานแสดง
ตื่นเต้นมากครับ เป็นความรู้สึกของเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องว่าการทำงานเป็นยังไง แค่คิดว่าจะมาหารายได้พิเศษในวัยเรียน พอมาทำจริงๆ ก็เกร็งและอาจจะออกมาไม่ได้ดีที่สุด แต่เรื่องนี้ผมได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณยายจุ๊ (จุรี โอศิริ) คุณยายก็เหมือนเป็นคนที่สอนแอ๊กติ้งให้กับผม แล้วก็ได้พี่ๆ คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น พี่วี (วีรภาพ สุภาพไพบูลย์) พี่ต้อม(พลวัฒน์ มนูประเสริฐ) ช่วยกันเทรนด์เด็กใหม่อย่างผม แต่ยอมรับเลยผมเกร็งมาก เพราะตัวผมจริงๆ เป็นคนขี้อายมากนะ ไม่ใช่คนที่กล้าแสดงออก ถ้าต้องออกไปแสดงอะไรหน้าห้อง ต้องไม่ใช่ผมแน่ๆ แล้วพอมาทำจริงๆก็ถูกสอนว่าเวลาแสดงให้ตัดโลกภายนอกออกเพื่อเป็นตัวละครนั้น โอเคความขี้อายก็ตัดไป นอกนั้นก็เหลือแต่ความเกร็ง ฉากแรกที่เล่นจำได้เลยว่า สั่นมาก เกร็งเหงื่อแตก หลังจากนั้นก็มีผลงานต่อมาเรื่อยๆ เช่น เพลงผ้าฟ้าล้อมดาวก็เล่นของอาตู่อีก แล้วอาตู่ก็คงคิดว่าผมน่าจะถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว ก็เซ็นสัญญากับช่อง 7 ตอนนั้นเล่นละครกับช่อง 7 เรื่อยมา และส่วนใหญ่ที่เล่นละครก็จะได้เล่นละครกับค่ายอาตู่ แล้วก็มีค่ายอื่นๆ บ้างประปรายครับ
l เริ่มหลงรักงานแสดง
เริ่มรักตั้งแต่เล่นเรื่องที่สองแล้วครับ รู้สึกว่าเออ..เรามีความสุขนะ ก็ไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ แต่เรารู้สึกว่าเราก็แอบมีพรสวรรค์ทางนี้นะ ถึงแม้จะมีความขี้อาย แต่พอหลุดได้ก็โอเค ดูที่การทำงานเราจริงๆ ว่าเราก็มีพรสวรรค์ เราชอบที่จะอ่านบทตีโจทย์จากบท ทำให้เราซึมซับและรักในอาชีพนี้ไปเลย จริงๆ แล้วผมเรียนจบมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ ตอนแรกเป็นเด็กวิทยาศาสตร์ เพราะเรียนสายวิทย์มาเก่งทางคณิตศาสตร์ ก็เลยเลือกไปทางนั้นแต่พอเริ่มเข้ามาทำงานวงการบันเทิงก็เปลี่ยนสายครับ
l ตัวละครในความประทับใจ
ต้องบอกว่าอาตู่มอบโอกาสดีๆ ให้ผมเยอะแยะมากมายครับ เล่นละครมา 20 กว่าเรื่อง ของเป่าจินจงเกือบ 10 กว่าเรื่องแล้วครับ อย่างเรื่องแรกก็เป็นพระรองเลย เรื่องที่สอง “เพลงผ้าฟ้าล้อมดาว” ก็ได้รับบทที่เป็นคนงานที่มาจากทางกัมพูชา ที่ต้องพูดเขมรในขณะเดียวกันตอนที่ 1 พูดอย่างหนึ่ง และพอตอน 10 ก็ต้องพูดในแบบที่ชัดขึ้น เพราะว่าเราอยู่นานขึ้น โลเกชั่นถ่ายก็สวยมาก เป็นเรื่องที่ประทับใจ แล้วก็เคยเล่นเป็นพระเอกเรื่องหนึ่งเป็นละครตอนกลางวันเรื่อง “ถนนคนเดิน” ของอาตู่เหมือนกัน และอีกเรื่องที่ประทับใจคือ “เหนือทรายใต้ฟ้า” ผมเล่นเป็นนักวอลเลย์บอลต่างจังหวัดเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อที่จะติดทีมชาติ แล้วก็พลิกผันโดนหลอกไปเสพยาติดยา ขาขาด ดราม่ามากๆ
นอกจากนี้ก็มีช่วงหนึ่งไปเป็นเจ้าพ่อเล่นเอ็มวี อย่างเพลงที่ดังและหลายคนน่าจะรู้จักก็เป็นเพลงของ เอิร์น เดอะสตาร์ เพลง “คำว่าจบพูดเบาๆ ก็เจ็บ” แล้วก็มีเพลงของ แมน มณีวรรณ คนต่างจังหวัดชอบและเป็นที่รู้จักจากการเล่นเอ็มวีเพลงนี้แหละครับ
l ผลงานอย่างอื่นนอกจากงานแสดง
มีครับ ช่วงที่หมดสัญญา ดร็อปๆ ไป ผมก็ไปเป็นพิธีกรช่องเคเบิล และมีช่วงไปออกอัลบั้มเพลงด้วย คือเป็นคนที่ไม่ได้ร้องเพลงเก่งนะครับ แต่มีพี่คนหนึ่งที่มีพระคุณเขาหางานโชว์ตัวให้เราประจำ แล้วเขาจะเปิดค่ายเพลง ในขณะที่เราก็ว่าง ก็เลยเข้าไปและได้ทำเป็นอัลบั้มรวม ผมเป็นหนึ่งในอัลบั้มนั้น ร้องเพลงชื่อเพลงแลกเบอร์แลกใจ ออกไปนานแล้วครับ เป็นเพลงหนึ่งในชีวิต อ้อ…แล้วก็มีอีกเพลงหนึ่งนะในชีวิตแต่ตอนนี้หาฟังไม่ได้แล้ว ร้องเพลงประกอบละครที่เป็นพระเอกเรื่อง “ถนนคนเดิน”ชื่อเพลง นายกะเพรา (หัวเราะ)
l ปฏิเสธโอกาสทองเพราะความติสท์
เมื่อก่อนผมยอมรับว่าตอนที่อาตู่ปั้นมา ก็มีโอกาสที่จะดังได้จากละครดังๆ หลายๆ เรื่อง แต่ผมตอนนั้นเป็นวัยรุ่นที่ไม่คิดอะไรมาก ติสท์นิดหนึ่ง มีผู้จัดการมาทาบทาม ผมไม่เอาใครเลย เพราะผมไม่ชอบโชว์ตัว ไม่ชอบร้องเพลง ไม่เอาอะไรสักอย่าง เล่นละครอย่างเดียว เราเข้าฉากในละครได้นะคนดูเป็นร้อยเราก็โอเค แต่ถ้าให้ไปออกรายการ ผมจะเกร็งและอายมาก มือสั่นเลยตัดสินใจไม่รับผู้จัดการ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดมากๆ เลย คือด้วยตอนนั้น เราก็ไม่รู้ว่าหน้าที่ของผู้จัดการจะมาคอยช่วยเรามากน้อยแค่ไหน แต่พอวันนี้ถ้าเกิดเลือกได้ และถ้าจะให้ไปอยู่จุดนั้นก็คงไม่ได้แล้วล่ะ ก็เอาเป็นว่าตอนนี้ก็อยากที่จะเล่นละครให้อยู่ในระดับพอมีพอกินและพอใช้ครับ (จะบอกว่าตัวเองพลาดไปไหม?)ถ้าถามว่า ณ วินาทีนั้นคือมีความสุขของณ วินาทีนั้น แต่ถ้ามามองในวันนี้ ก็เหมือนกับว่าเราตัดสินใจพลาดไป อย่างน้อยถ้าเรามีวันนั้น เราอาจจะมีชื่อเสียง มีเงินเก็บ มีความมั่นคงที่มากกว่านี้ เพราะว่านอกจากละครแล้วถ้ามีผู้จัดการเข้ามาก็จะมีงานอีเว้นท์มีรายได้ที่มากกว่านี้ (แล้วตอนนี้มีผู้จัดการหรือยัง?) ไม่มีครับ คงไม่น่าจะมีแล้ว
l แพลนอนาคต
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะมีงานแสดงไปตลอดชีวิตเลยครับ รักครับ ในขณะเดียวกันเราก็ต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในมุมของผู้ช่วย
ผู้กำกับด้วย อนาคตไม่แน่อาจจะผันตัวไปทำเบื้องหลัง ถามว่าอยากลองทำไหม ก็อยากนะ แต่ผมเป็นคนไม่มั่นใจและไม่ได้เรียนมาทางนี้เลย อาจจะค่อยๆ เรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ก่อน ถ้ารู้สึกว่าใช่ ก็จะก้าวพัฒนาไป แต่ตอนนี้ยังความสามารถไม่พอที่จะก้าวไปตรงนั้น ขอเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปก่อนครับ
l ชีวิตมีขึ้นมีลง
ช่วงหมดสัญญากับช่อง 7 แล้ว ไม่มีงานเคยคิดว่าจะไปสมัครงานประจำ เพราะไม่มีงานเลย ทุกครั้งที่ออกไปร้องเพลง ก็ไม่มีความสุข ไม่แฮปปี้เลย คิดว่าจะหยุด พอแล้วล่ะงานในวงการบันเทิง คือจริงๆ ผมเป็นคนประหยัดมาก อยู่อย่างพอเพียง ถึงแม้จะไม่มีงานปีสองปีก็มีเงินเก็บใช้ แต่พอมาถึงจุดหนึ่งแล้วแบบเฮ้ย..นั่งๆ นอนๆ ใช้เงินเก็บทุกวันไม่ได้แล้วนะ ต้องหางานทำ จนกระทั่งอาตู่ให้โอกาสกลับมาร่วมงานเรื่องแรกของช่อง 3 เรื่อง “เพลิงฉิมพลี” เรื่องนี้แหละครับที่เป็นเรื่องที่ทำให้หลายๆ คนเริ่มกลับมาเห็นเรา แต่งานก็ยังคงเป็นดวงอยู่แหละ พอจบเรื่องนี้ไปก็ว่าง 8-9 เดือนเลยนะ แต่ตอนนี้ก็กลับมามี 4-5 เรื่อง มี “สะใภ้รสแซ่บ”, “ล่าดับตะวัน” ช่อง 8 “ที่หนี้มีรัก”, “บุญหล่นทับ” ช่อง 3 แล้วก็เพิ่งเปิดกล้องไป “นางฟ้าเปื้อนฝุ่น” ช่อง 7
l กำลังใจเวลาเผชิญปัญหา
สิ่งแรกเลยคือ มีครอบครัวที่ให้กำลังใจอย่างช่วงงานน้อยๆ ผมไม่ได้เป็นคนที่ออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้กับครอบครัว เพราะมีครอบครัวที่คอยซับพอร์ตอยู่แล้ว เอาง่ายๆ ถ้าไม่มีตังค์ ก็ขอตังค์ที่บ้านได้ (หัวเราะ) แล้วก็จะมีคนรัก คนรอบข้าง ที่คอยให้กำลังใจ คือเราก็มีพื้นฐานครอบครัวที่ดี และมั่นใจในหลายๆ อย่างว่าถึงแม้จะไม่มีงานหรือมีงานน้อยเราก็ยังรู้ว่าเรามีครอบครัว มีคนรัก มีการศึกษาที่ดี มีทักษะวาทศิลป์ที่ยังคิดว่าเราก็มีโอกาสนะ ไม่ใช่เอาความท้อมาจมและเครียดไปกับมัน
l หัวใจไม่ว่างแล้ว
แฟนผมเป็นคนนอกวงการครับ คบกันมาเกือบ 5 ปีแล้ว เรื่องแต่งงานก็คงเป็นเรื่องของอนาคต แต่ถือว่าถึงจุดที่ลงตัวแล้วล่ะ อาจจะอีกสักปีหรือสองปีก็คงจะได้วางแผนแต่งงาน (ตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้ตรงไหน) เขาเป็น MC พอดีไปเจอเขาในงานอีเว้นท์ก็เลยจีบเขาครับ (หัวเราะ) ผมเป็นคนชอบผู้หญิงที่เป็นแม่บ้าน คือชอบผู้หญิงที่แบบ จริงๆ ก็หายากนะ ถ้าจะแบบไม่เที่ยว ไม่อะไรเลยผมจะเป็นคนที่ชอบผู้หญิงเรียบร้อย ไม่หรูหราฟู่ฟ่า เรียบง่าย กินที่ไหนก็ได้ ไม่หวือหวา แล้วแฟนผมก็เป็นคนที่ค่อนข้างประหยัดเหมือนกัน เรียบง่ายเหมือนกันอีก ช่วยๆ กันประหยัด เดินไปในทางเดียวกัน ความคิดเห็นก็ไปแนวเดียวกัน
l สวีทหวานกันแค่ไหน
มีขึ้นมีลงครับ ความรักก็มีทะเลาะกันบ้าง แต่เผอิญเราสองคนเวลาทะเลาะกันหรือมีปัญหากันจะไม่ใช่คนที่โพสต์เฟซบุ๊ค เราไม่ใช่คนที่จะมาระบายผ่านเฟซบุ๊ค แต่ว่าเวลาไปกินข้าวด้วยกันก็จะโพสต์ เพราะฉะนั้นคนก็จะมองว่าคู่นี้หวานมาก ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ใช่ ก็มีทั้งมุมหวานและมุมไม่หวาน มีปัญหากันทุกคนแหละครับ
l ในวันนี้ที่ชีวิตแฮปปี้และลงตัว
ถือว่าเป็นชีวิตที่มีความสุขมากๆ ครับ ที่ได้ตื่นเช้ามาทำงาน รู้ว่าอีกเดือน สองเดือนข้างหน้ามีงานให้เราทำ คือเมื่อก่อนผมจะมีช่วงที่เรียกว่า ว่างจนเหนื่อย (หัวเราะ) คือตื่นมาว่างอีกแล้วนะ ไม่รู้จะทำอะไร อย่างที่บอกเป็นคนประหยัดก็จะไม่ค่อยออกไปไหน อยู่แต่บ้านทำงานบ้าน ปลูกต้นไม้ จากที่ไม่เคยทำอะไรก็ลุกขึ้นมาทำเพราะว่างมากจริงๆ
l มีหลักในการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง
ผมเป็นคนอยู่อย่างพอเพียงเรียบง่าย ความอยากมี ความอยากได้ ก็น้อยลง ความสุขก็มีมากขึ้น เราก็พยายามมองโลกในแง่บวก แต่เราก็ไม่ได้ลืมในแง่ร้าย คือเรามองไปแล้วสองมุมถ้าบวกกับลบ ก็มีเตรียมแผนสำรองไว้ด้วย แต่ถ้าโดยพื้นฐานแวบแรกที่มองก็จะมองบวกก่อน
l ผลงานน่าติดตามอีกไม่นานเกินรอ
ตอนนี้ผมเป็นนักแสดงอิสระครับ ติดตามผลงานละครได้ในหลายๆ ช่องใครว่าจ้างไปไหนก็ไปครับ แล้วก็ฝากด้วยกับบทของ ลิขิต ในละครเรื่อง ที่หนี้มีรัก ทางช่อง 3 เล่นเป็นนักเลงนิดหน่อย เป็นเด็กเดินโพย และเป็นคนที่แอบชอบน้องพลอยดาว(ลีน่า ลลินา) จะคอยไปป่วนคู่ระหว่างน้องลีน่ากับเกี๊ยก (วัทธิกร เพิ่มทรัพย์หิรัญ) เขาจะรักกันเราก็แบบเฮ้ยได้ไง เรามาก่อนนะเราชอบก่อนไม่ได้นะแบบนี้ ในบทจะเป็นนักเลงประมาณว่าเหมือนจะนักเลงแต่ไม่ขาโจ๋ขนาดนั้นถ้าเจอของจริงก็หงอไม่ได้เก๋าเต็มร้อย แต่ถ้าเป็นอุปสรรคในเรื่องจริงๆ ก็จะเป็นในเรื่องของการขับมอเตอร์ไซค์ เพราะผมขับมอเตอร์ไซค์มีเกียร์ไม่เป็น แต่รับบทเด็กแว้นนะ (หัวเราะ) แต่ขับไม่เป็นก็เลยเปลี่ยนเป็นแค่ซ้อนให้ลูกน้องขับแทนแล้วกันครับ
เอาเป็นว่าละครเรื่องไหนจะสนุกถูกใจแฟนๆ เลือกดูกันตามใจชอบเลยเจ้าค่า เพราะทุกเรื่องทุกคาแร็กเตอร์หนุ่มแบงค์เขาตั้งใจและทุ่มเทแสดงเต็มที่ เพื่อมอบความสุขให้คนดูได้ติดตามเพราะนี่คือ หน้าที่ ของเขาในฐานะ นักแสดงคนหนึ่งในวงการบันเทิง
กระแตน้อย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี