Star Retro : ใหญ่-ยิ่งใหญ่ อายะนันท์ ไม่สนคนบ่นด่า เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
หันหลังให้วงการบันเทิง ลุยงานการเมือง
หายหน้าหายตาจากจอทีวี.ไปพักใหญ่สำหรับ ใหญ่-ยิ่งใหญ่ อายะนันท์ นักแสดงฝีมือดีของวงการบันเทิงไทย ล่าสุดใหญ่ผันตัวไปทำงานสายการเมืองกับตำแหน่งนายกเทศมนตรี ตำบทท่าสัก ที่เรียกว่ากำลังไปได้สวยและสร้างความสนุกตื่นเต้นให้ใหญ่อยู่ไม่น้อย ทำให้วันนี้ไม่ได้เห็นใหญ่เล่นละคร รับงานแสดง เหมือนอย่างเก่า แต่มุ่งมั่นและตั้งใจเพื่องานใหม่ที่ยิ่งใหญ่สมชื่อ ฉะนั้นงานเก่าที่น่าคิดถึง กับงานใหม่ที่กำลังสนุก เขามีสุขทุกข์อย่างไร ฉบับนี้เรานัดค้นใจอดีตพระเอกคนดังกันค่ะ
ชีวิตก่อนเข้าสู่วงการบันเทิง
ผมเป็นเด็กจังหวัดอุตรดิตถ์ อำเภอพิชัย มีพี่น้อง 3 คน ผมเป็นคนสุดท้อง ผมมีฝาแฝด แต่คู่แฝดเสียไปตอนประมาณ6 เดือนด้วยอาการปอดบวม เพราะวงการแพทย์สมัยก่อนยังไม่เก่ง คุณพ่อ คุณแม่ คุณตาเป็นกำนัน คุณแม่ก็เป็นเจ้าของโรงเรียนชื่อโรงเรียนอรุณีศึกษา แล้วคุณแม่ก็เล่นการเมืองท้องถิ่น เป็น สจ. อยู่ 3 สมัย ชีวิตผมเริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนคุณแม่ จนถึง ป. 6 พอขึ้น ม.1 ก็เข้ามาเรียนในตัวจังหวัด เป็นโรงเรียนชายล้วนจนจบ มศ. 3 สมัยเรียนผมค่อนข้างเกเร เฮ้วมาก สอบตกด้วย และสมัยก่อนไม่มีการซ่อมเหมือนสมัยนี้ เลยซ้ำชั้นอยู่ปีหนึ่งตอนนั้นม.3 โอ้โห..โดนคุณพ่อเล่นงานซะเละ พ่อตี ฟาดซะเจ็บเลย แต่ซ้ำชั้นก็ดีอย่างนะ มีเพื่อนหลายรุ่น (หัวเราะ) เพื่อนเยอะ พอเรียนจบเสร็จเรียบร้อยผมก็เข้ากรุงเทพฯ
ตัดสินใจเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ
ตอนนั้นใจอยากจะไปเรียนพาณิชย์พระนคร แต่เรียนไม่เก่งสอบไม่ได้ เลยไปเรียนดุสิตพณิชยการ จนจบ เรียนอย่างเดียว อยู่กับน้าซึ่งทำงานอยู่ในสวนจิตรลดา ขับรถหลวง พอจบก็ไปทำงานเป็นเซลส์ขายรถยนต์อยู่ 1 ปี ที่จังหวัดแพร่ อาศัยอยู่กับเพื่อน แล้วรู้สึกว่าอยากเรียนปริญญาตรีต่อ ก็ตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ อีก มาเรียน ม.รามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ รหัส 17 เรียนตามเพื่อนอีกนั่นแหละ พอเรียนรามคำแหงเข้าปีที่สอง ที่มหาวิทยาลัยเขามีชมรมศิลปการแสดง ผมก็เข้าชมรมนี้ ที่ชมรมมีการแสดงละครและทำละครเรื่อง “เจ้าหญิงแสนหวี” เล่นที่โรงละครแห่งชาติ คุณจตุพล ภูอภิรมย์ เป็นพระเอก แล้วผมเป็นตัวน้องพระเอก คุณวิฑูรย์ กรุณา ก็เป็นตัวน้อง ตอนแรก ว่าจะเล่น 10 รอบ แต่ละครสนุกติดลม สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ก็เสด็จฯทอดพระเนตร คราวนี้เล่นกันเป็น 100 รอบเลย และเกิดเป็นข่าวขึ้นมา ผู้กำกับหนังก็ไปดู ไฟว์สตาร์ก็ไปดู แล้วก็จองตัวคุณตุ๊-จตุพล, คุณแอ๊ด-วิฑูรย์ ไปร่วมงานกับ คุณพิศาล อัครเศรณี พอละครจบก็เริ่มแยกย้ายกันเข้าสู่วงการบันเทิง
ผลงานชิ้นแรกในชีวิตการแสดง
ผมเริ่มจากที่รัชฟิล์มทีวี. ของคุณไพบูรณ์พึ่งศิลป์ ได้เล่นละครทีวีอยู่พักหนึ่งเรียกว่าหลายๆ ปีเลยล่ะ ที่ดังๆ ก็จะเป็น “รักในสายหมอก”, “จุดเจ็บในดวงใจ” แล้วก็พวกละครหุ่นไล่กา แปลงร่างนู่นนี่นั่นเป็นตอนๆ แล้วพอดีคุณพันคำจะสร้างเรื่อง “สวัสดีคุณครู” ก็ประกาศรับนักแสดงรุ่นใหม่ แล้วคุณอดุลย์ ดุลยรัตน์ เป็นผู้กำกับอยู่ที่รัชฟิล์มเขาก็เลยบอกว่า “เฮ้ย! ใหญ่น่าจะไปสมัคร ไปหาอาน้อยไหม ไปลองดู บุคลิกเอ็งได้เลยนะ” ผมก็ลองไปสมัครดู เขานัดให้ไปแคส ถ่ายรูป แล้วก็ได้เจอกับคุณจารุณีสุขสวัสดิ์ ไปนั่งรออยู่ด้วยกัน เพราะเขาก็มาสมัครเหมือนกัน ตอนนั้นยังไม่มีใครดัง โนเนมทั้งคู่ ใส่รองเท้าแตะ จำได้ว่าตอนนั้นผมอายุ 21 ปี เปิ้ล-จารุณี ก็น่าจะ 17 ปี นั่งรอตั้งแต่เช้ายัน 4 โมงเย็น พอ 5 โมงเย็นเขาบอกว่าไปที่โรงถ่ายศรีสยามตรงห้วยขวาง ผมก็ถามเขาว่า “ไปทำไมครับ” เขาก็บอกว่า “ไปถ่ายรูป” แล้วผมกับเปิ้ลก็นั่งแท็กซี่ไปกัน พอถึงก็ถ่ายรูป สัมภาษณ์ ไปกันสองคนไม่รู้จักใครเลย หลังจากนั้นสองอาทิตย์เขาก็เรียกตัวกลับไป และเปิดตัวอย่างเป็นทางการว่าผมกับเปิ้ลได้เล่นเรื่อง “สวัสดีคุณครู” ผมถือว่าโชคดี ที่เรื่องแรกประสบความสำเร็จทั้งคู่ และมีหนังเรื่องอื่นตามมาเรื่อยๆ กลายเป็นคู่ขวัญกับเปิ้ล แต่ช่วงหลังเปิ้ลเขาเป็นซูเปอร์สตาร์ ผมก็เริ่มเล่นเป็นตัวสอง ตัวเพื่อน ตัวรอง ตัวโกงบ้าง กะเทยบ้าง ก็รับงานแสดงเล่นไปเรื่อยๆ เล่นนอกค่ายบ้าง ไฟว์สตาร์บ้าง เพราะทางบริษัทไม่ฟิคว่าจะไปเล่นที่ไหน ชีวิตแฮปปี้มากช่วงนั้น
ผลงานสร้างชื่อเสียงในวงการละคร
ผมใช้ชีวิตโสดสนุกกับงานอยู่พักใหญ่ประมาณ 30 กว่าปี แล้วก็วกเข้ามาวงการทีวี.อีก เริ่มเรื่องแรกของพี่จิ๋ม-มยุรฉัตร ดึงมาเล่นเรื่อง “อีพริ้งคนเริงเมือง” ยุคของวิยะดา อุมารินทร์ เป็นนางเอกของช่อง 3 เล่นเป็นนักศึกษา ผมเล่นเป็นสามีคนที่ 4 ของอีพริ้ง ก็ติดลมอยู่ยาวกับช่อง 3 มาเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็เล่นทุกบทบาท พระเอกบ้าง พระรองบ้าง เปลี่ยนไปเรื่อยๆ พอทำไปทำมาก็ทำงานอยู่กับพี่จิ๋มเลย เป็นในส่วนของเบื้องหลัง ทำงานอยู่ในกองถ่ายเป็นธุรกิจกองถ่าย หาสถานที่ ไปติตต่อสปอนเซอร์ คอสตูม หาเสื้อผ้าให้ดารา เบิกเงินจากช่องมาให้กองจ่ายค่าตัว คือทำงานกับพี่จิ๋มก็เหมือนทำกับครอบครัว พี่จิ๋มสอนงานทุกอย่าง เราเลยสนุก ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเยอะ เรื่องเงินนี่ไม่มีปัญหา เพราะทางบ้านผมก็พร้อมอยู่แล้ว เลยอยู่วงการด้วยความสุข ไม่ดิ้นรน ไม่เดือดร้อน และไม่ได้วางแผนที่จะอยู่เบื้องหลังหรืออะไร เพราะเราก็รู้อยู่แล้ววงการบ้านเรา พอเริ่มมีคลื่นลูกใหม่มา เราก็เริ่มถอยหายไป
ชิมลางงานผู้จัดละคร
ผมขอพี่จิ๋ม บอกว่าอยากลองสักเรื่องหนึ่ง เลยได้ทำเรื่อง “นักเรียนตรง” เป็นหนังเกี่ยวกับนักเรียน เด็กเกเร สร้างเรื่องมาเอง
แต่งเรื่องขึ้นมาเอง เป็นพี่หน่อยผู้กำกับเก่าอ่ะมือขวาของท่านมุ้ย มาช่วยกำกับให้ แล้วก็เขียนบทให้ด้วย ตัวแสดงก็จะมี สามารถ พยัคฆ์อรุณ, กบ-ปภัสรา เตชะไพบูลย์ แล้วก็เด็กไฟว์สตาร์รุ่น สายฟ้า เศรษฐบุตร ได้ทำเรื่องเดียวแหละครับ เพราะไม่เวิร์ก แต่แค่เรื่องเดียวก็ได้รางวัลนะ รางวัลเมขลา ละครสนับสนุนเยาวชนดีเด่น
ช่วงหลังเริ่มห่างหายจากหน้าจอ
พอช่วงหลังงานพี่จิ๋มเยอะขึ้น ละครบูมทุกเรื่อง คลื่นลูกใหม่เบื้องหลังก็เข้ามาเยอะเหมือนกัน ไม่ใช่เฉพาะเบื้องหน้า พอเสร็จปุ๊บเป็นช่วงจังหวะที่พ่อผมป่วย ก็เทียวขึ้นเทียวลงไปดูพ่อ แล้วพอคุณพ่อเสีย แม่อยู่คนเดียว พี่สาวก็มีครอบครัว ผมเลยต้องไปๆ มาๆ ทำให้เริ่มห่างจากวงการบันเทิงไป งานไม่ต่อเนื่อง พอไปอยู่ที่บ้านก็จะอยู่นานหน่อย งานในวงการก็ไม่ปะติดปะต่อ แล้วก็เริ่มเข้าวงการการเมือง เพราะว่าพอดีที่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านเขาหมดวาระ ชาวบ้านแถวนั้นก็สนับสนุนให้ผมลงสมัคร ผมก็คิดว่าเอ๊ะ!จะได้เหรอ ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ หรือเล่นการเมืองอะไร พอลงสมัครไปปุ๊บ ตอนนั้นอายุ 28 ปี ก็ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน พอเข้ารับตำแหน่งแรกๆ ก็โดนแอนตี้นะ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เป็นดารา มาทำงานแบบนี้ไม่ได้หรอก จะมาลงพื้นที่เป็นเหรอ ตอนนั้นผมเรียนจบเรียบร้อยที่ม.รามฯ และเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครด้วย ก็ได้ปริญญามาสองใบ เสร็จปุ๊บพอได้ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ผมทำอยู่ 4 ปี พอหมดวาระ ก็ไปลงสมัคร สจ. ปรากฏว่าสอบตก โอเคไม่เป็นไร ไปลงสมัครนายกเทศมนตรีเทศบาล สมัยแรกสอบตกอีก ก็เก็บคะแนนไปเรื่อยๆ อยู่บ้านว่างๆ ก็ทำไร่อ้อย 80 ไร่ ทำนา 14 ไร่ ทำเองด้วย จ้างเขาทำด้วย เพราะเราเป็นนายจ้างก็ต้องดูว่าเขาทำอะไรยังไง พอสมัยที่ 2 ก็ลงนายกเทศมนตรีอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ได้ ก็เป็นมาจนถึงทุกวันนี้ครับ 2 สมัย 8 ปีแล้ว
8 ปีกับการเป็นนายกเทศมนตรี
แฮปปี้นะ แต่ทุกคนจะบอกว่านักการเมืองยังไงก็ต้องโดนด่าอยู่แล้ว ผมก็โอเค ผมไม่สนใจ ผมแฮปปี้กับตรงนี้ เพราะเราเข้ามาเราต้องการบริการประชาชน อยากด่า ด่าไป ผมก็จะทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด คนด่าก็คือคู่ต่อสู้ฝ่ายตรงข้ามแค่นั้นเอง
แล้วคิดถึงงานในวงการไหม
มีบ้างนะครับ ทุกวันนี้ยังแอบมาเล่นนะช่องทรูโฟร์ยู เรื่อง “รับแซ่บ MY BOSS” แล้วก็หนัง หม่ำ จ๊กมก “ทาสรักอสูร” ผมก็มาเล่น ถ้าใครติดต่อมา แล้วได้จังหวะลงตัว ผมก็รับเล่นนะ รับเชิญนิดๆ หน่อยๆ
เพื่อนๆ ในวงการยังติดต่อกันเหนียวแน่น
เพราะผมเป็นคนจ๊ะจ๋ามั้ง แล้วน้องๆ รักกัน อย่างเมื่อคืนเราก็รวมตัวกันนะ ที่ร้านของ ต้อม เรนโบว์ นัดทุกคนทานข้าวกันลูกนัท, ทองขาว, นก-ฉัตรชัย 30 กว่าคน ตั้งกรุ๊ปไลน์กันว่า “ชมรมเพื่อนเก่าแต่ไม่แก่” ทำให้ทุกคนได้กลับมาจอยกันอีกครั้งหนึ่ง และที่ติดต่อกันบ่อยที่สุดก็จะเป็น ตุ๊ก-ดวงตา,ตู่-นันทิดา ที่คุยกันเกือบทุกวัน ฝั่งผู้ชายก็จะมีพี่ตุ่ม-ชลิต, ตู่-นพพล, ไก่-วรายุฑ แล้วก็ พี่จิ๋ม-มยุรฉัตร และอีกอย่างเพราะผมเป็นคนจริงใจกับทุกคนมั้ง เฮฮาสนุกสนาน เป็นหัวโจกในกลุ่ม ขึ้นเวทีเลยก็มี แต่พักหลังด้วยหน้าที่การงานก็เลิกไปหมดละครับ
ชีวิตส่วนตัว
ตอนนี้ลูกๆ ผม ทำงานกันหมดแล้วครับ ผมไม่เคยมีงานแต่ง (หัวเราะ) คือตอนหลังไปด้วยกันกับภรรยาไม่รอด ผมก็เลยเลี้ยงลูกคนเดียว แต่ก็ได้น้องสาวช่วยเลี้ยง มีอะไรก็โทร.ถาม ช่วงมีลูกคนแรกก็เป็นอะไรที่ตื่นเต้นดีนะ ตอนนั้นยังอยู่ในวงการบันเทิง พอลูกคลอดออกมาไม่เท่าไหร่ก็เลิกกับแฟน ลูกยังแบเบาะอยู่เลย เอาลูกไปกองถ่ายใส่ตะกร้าเหมือนลูกหมาเลย(หัวเราะ) พี่จิ๋มก็เอาไปช่วยเลี้ยง ส่วนแม่เขาก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย ลูกคนที่สองนี่เกิดกับแม่อีกคน ผมก็เลี้ยงเองหมดทั้งคู่ ตอนนี้ลูกสาวอายุ 30 กว่า ทำงานอยู่ราชบุรี ส่วนลูกชายยังเรียนอยู่ครับ
มีแววเข้าวงการเจริญรอยตามคุณพ่อไหม
“ไม่แน่ๆ ลูกชายผมเรียนช่างกลปทุมวัน นานๆ เจอกันที ส่วนคนโตก็ทำงานไปแล้ว แต่เขาจะสูงๆ หุ่นนางแบบ คุณแม่เขาเป็นนางแบบ สองคนเขาจะเรียกผมว่า “ลุง” นะเขาเรียกพี่สาวกับพี่เขยผมว่าพ่อกับแม่ เพราะว่าเขาอยู่คลุกคลีกันตลอด ผมไม่รู้สึกเสียใจหรืออะไรนะ ดีซะอีก เหมือนเพื่อนกัน คุยกันได้ทุกเรื่อง
สิ่งที่หวังและวางแพลนชีวิตไว้
ผมอยากทำในส่วนของการเมืองที่ทำอยู่ตอนนี้ให้ดีที่สุดก่อน แต่ใจจริงๆ อยากเปิดร้านอาหารที่ต่างจังหวัดนะ ชอบเอ็นเตอร์เทนเพื่อนๆ เอาแนวผู้ใหญ่ๆ ฟังเพลงเก่าๆ แขกขึ้นไปร้องเพลงได้ ใจคิดนะแต่ไม่รู้จะเมื่อไหร่ ส่วนเรื่องการเมืองอันนี้ยอมรับว่าคิดไกลเลยครับ แต่ยังไม่อยากบอก ต้องรอดูครับ
บั้นปลายชีวิต
ผมคงเป็นคนแก่อารมณ์ดีอยู่กับบ้านอยู่กับสวน ดูความสำเร็จของลูกๆ ซึ่งจริงๆ ตอนนี้ก็แฮปปี้นะ ทั้งงาน เพื่อนๆ ครอบครัว
ปัญหาสุขภาพนี่ไม่มีเลย ป่วยมากสุดคือปวดหัวตัวร้อน มีครั้งเดียวผ่าตัดไส้เลื่อนโรคประจำตัวไม่มี ปีนี้ก็ 63 แล้ว ออกกำลังกายขี่จักรยาน ไม่มีควบคุมอาหารอะไร แค่ไม่ดื่มกาแฟ เช้าก็กล้วยน้ำว้าสองลูก เที่ยงจัดหนักอยู่ถึงเย็น มีดื่มบ้างนิดหน่อยครับ
วันพักผ่อน
ผมทำนา ทำไร่ เข้ากรุงเทพฯ บ้างก็ตอนมาประชุม ถ้ามาส่วนตัวไม่ได้มาเลย ตอนนี้ผมกลายเป็นโรคห่วงไร่นาที่เราทำไว้ หรือถ้าว่างๆ ก็จะเข้าไร่อ้อย เพราะทำส่งโรงงานน้ำตาล นาก็ทำไว้กิน มีบ่อปลาอีกสองไร่บ้านไหนมีงานก็มาเอาไปทำกินกัน ไม่ได้ขาย ส่วนเรื่องครอบครัวชีวิตคู่ไม่คิดละครับ
มุมมองต่อเด็กรุ่นใหม่ในวงการ
ผมว่าเขาเก่งนะ แล้วก็รวยกันเร็วเนอะไม่เหมือนรุ่นเราทำแทบตาย ตอนนั้นก็ประมาณสองหมื่นเองต่อหนึ่งเรื่อง ละครตอนละพัน เดี๋ยวนี้เขาได้เป็นแสน เล่นไปซื้อรถซื้อบ้าน ก็เรียกว่าเด็กสมัยนี้มีโอกาสเยอะหน้าตาดี สัมมาคารวะดี แต่ถ้าเล่นตัว หยิ่งก็จะอยู่ได้ไม่นาน ผมว่าส่วนใหญ่อยู่ที่ผู้จัดการส่วนตัวของแต่ละคนครับ
ชีวิตของ ใหญ่-ยิ่งใหญ่ อายะนันท์ ในวันนี้ มีแต่ “สุข” อย่างน่าอิจฉา เพราะเขาบอกว่าพอเพียงแล้วกับทุกสิ่งที่มี !!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี