ย้อนอดีตวันวาน สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้เอาใจขาอัลเทอร์เนทีฟร็อกที่ผูกพันกับเสียงดนตรีในยุค 20 ปีก่อน วงดนตรีที่เรียกได้ว่าเป็นไอดอลของน้องๆ กับ 2 ใน 4 สมาชิกของ วงสไมล์ บัฟฟาโล่ “ดิษ” ประดิษฐ์ วรสุทธิพิศิษฎ์ (ร้องนำ, เบส) และ “หนึ่ง” พนัส อภิชาตพงศ์บุตร (คีย์บอร์ด) คู่หูที่ปัจจุบันยังจับคู่ดูโอสร้างสุขให้กับผู้คนด้วยเสียงดนตรี
พบปะกันบนเส้นทางดนตรี
ดิษ : เรารู้จักกันตามงานประกวดดนตรีก่อนครับ ช่วง ม.ปลาย อยู่กันคนละวงคนละโรงเรียน พี่หนึ่งกับพี่เชษฐ์ (วรเชษฐ์ เอมเปีย-มือกลอง) เป็นรุ่นพี่ ตอนนั้นเต็น (ธีรภัค มณีโชติ-กีตาร์) ไม่ได้อยู่สายประกวด จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยหอการค้า คราวนี้เรียนที่เดียวกันละ แต่คนละคณะ ก็มารวมวงกันชื่อว่า Five Rozz ไปประกวดเวที โค้ก มิวสิก อวอร์ด ปี 2535 ได้ที่ 2 ของประเทศ ที่ 1 เป็นของวงโมเดิร์นด็อก
ชีวิตหลังได้รางวัล
ดิษ : เหมือนเดิมครับ (หัวเราะ) ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเรียน ไปเล่นดนตรี ในวงมีเพื่อนอีกคนชื่อ เอก คนนั้นเขาสายร็อกเขาก็พยายามจะขวนขวายจะไปทางร็อก เขาไปอยู่วงสโนไวท์ ชวนผมไปเล่นด้วย แต่ผมไม่ถนัด ผมชอบร็อกนะ แต่ถ้าต้องไปใส่กางเกงหนัง ไว้ผมยาว ก็ไม่ไหว (หัวเราะ)
หนึ่ง : ผมก็ยังไปเล่นตามผับกับพี่เชษฐ์เหมือนเดิม ซึ่งทำให้ไม่ได้ค่อยได้เรียนหรอกครับ เล่นซะส่วนใหญ่ เพราะเราต้องหารายได้เลี้ยงตัวเอง ส่งตัวเองเรียน
ดิษ : ผมมีแต่เรียนกับเล่นสนุ้กเกอร์ (หัวเราะ) (หนึ่งแซวว่า : เขาเป็นมือฉกาจประจำมหาลัยเลย) จนประมาณปี 2536 พี่หนึ่ง
พี่เชษฐ์เขาไปเป็นแบ๊กอัพให้พี่จุ้ย (ศุ บุญเลี้ยง) แล้วเขาขาดมือเบส เขาก็โทร.มาชวนผม ไปเป็นแบ๊กอัพ แล้วก็คิดจะทำเทป ทำวง ตอนนั้นพี่หนึ่งกับพี่เชษฐ์ชวนเต็นเข้ามา
หนึ่ง : เต็นเขาโทร.หาพี่เชษฐ์พอดี ถามว่ามีอะไรให้ผมทำไหม ก็เลยชวนมาแจมกันตอนนั้นเริ่มจะเป็นแบรนด์ละ เพราะเราเล่นแบ๊กอัพให้พี่จุ้ยด้วย เลยทำให้เราได้ซ้อมด้วยกันเยอะ และก็ไปทัวร์ต่างจังหวัดกับพี่จุ้ย
ดิษ : เล่นกันสักระยะหนึ่งแล้วเริ่มรู้สึกโอเค แต่ก็ยังไม่ได้จะรีบออกเทปหรืออะไร แต่มีจุดเปลี่ยนคือ ตอนนั้นเราไปแบ๊กอัพให้พี่แทน เอาท์ไซเดอร์ แล้วพี่แทนเขาไฟแรงมากเขาบอก “เฮ้ย..พวกมึงต้องทำเทปกันนะ” คือพี่แทนเขาเป็นคนแบบว่ามีทุกอย่างแล้ว เงินทองเขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เขาอยากเล่นดนตรี เขาก็เลยเต็มร้อยกับเรา คือที่มาเล่นกับพวกเราแต่งเพลงให้ไม่พอ เขายังให้ตังค์ด้วย คือให้ทุกอย่างครับ ทั้งผลัก ทั้งดัน ทั้งถีบเลยก็ว่าได้ จนเล่นกับพี่แทนประมาณ 1 ปี เราก็ได้ออกเทปปลายๆ ปี 2538 คือพี่แทนให้เข้าห้องซ้อมทุกวัน ทั้งที่เราก็ไม่ได้ส่วนร่วม แต่เขาแต่งเพลง “ดีเกินไป” กับ “ฟ้ายังฟ้าอยู่” ให้ครับ
ทำไมถึงเลือกที่จะมีสมาชิก 4 คน
หนึ่ง : เล่นกันแล้วลงตัวครับ ด้วยซาวนด์ของวงที่มาผสมกัน เราคิดว่าพอดีแล้ว และดิษเขาก็สามารถร้องได้
ดิษ : แต่ก่อนที่จะเข้าห้องอัดยังไม่มีใครเป็นนักร้องสักคนเลยนะครับ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะหานักร้องไหม แต่พอตกลงกันก็สรุปว่าอย่าเลย เดี๋ยวเรื่องมากเปล่าๆ เราอยู่กันมา 3 ปีแล้ว อยู่ดีๆ เอาใครไม่รู้เข้ามาอีกคน สุดท้ายก็มาสรุปกันในห้องอัดครับให้ร้องกันทุกคน ใครอยากร้อง ร้องเลย
หนึ่ง : ผมไม่ผ่าน แรงไม่มี แต่ดิษเขาเสียงสูง ตอนอยู่วงประกวดเขาก็ร้องก็เลยสรุปยังไงก็ต้องประดิษฐ์แล้วล่ะ
ที่มาของชื่อ สไมล์ บัฟฟาโล่
หนึ่ง : มีรุ่นน้องของเต็น เรียน มศว เป็นวงแจ๊ส แล้วเขาเคยใช้ชื่อนี้ ตอนหลังวงเขาแตกไป เราก็มองว่าชื่อนี้ติดหูดี ตอนที่ได้ชื่อนี้มา คือพี่เชษฐ์บวชอยู่ แล้วน้องเขาไปที่วัด พี่เชษฐ์ก็เลยบอกขอบิณฑบาตชื่อวงให้อาตมาเถอะ (หัวเราะ) อาตมาจะไปออกอัลบั้ม เรียกว่าขอกันทางผ้าเหลืองเลย
ขายงานเพื่อหาสังกัด
ดิษ : ไปที่ไหนก็ไม่มีใครเอาครับ (หัวเราะ) จนเหลือที่สุดท้าย ที่ อีเอ็มไอ ก็โชคดีครับที่เขาเอา เราไม่มีหัวทางด้านการตลาด เราเล่นอย่างเดียว เพราะเพลง “ดีเกินไป” เขาก็เป็นคนบอกว่าต้องเอาเพลงนี้มาขาย
หนึ่ง : ทั้งๆ ที่ในวงไม่มีใครชอบเพลงนี้เลย แต่กลายเป็นว่าเพลงนี้ดังมาก และก็สร้างชื่อให้กับพวกเรา
แจ้งเกิดเป็นศิลปิน
ดิษ : คราวนี้ชีวิตเปลี่ยนเลยครับ เพราะตอนแรกผมไม่ได้บอกใครเลย ว่ามาออกเทปทำอัลบั้ม คนที่บ้านยังไม่รู้เลย ทั้งๆ ที่เทปออกวางขายแล้ว วิทยุเริ่มเปิด จนกระทั่งเพลงเริ่มดัง ถึงบอกน้อง พี่ร้องเพลงนี้เอง น้องก็ไม่เชื่อกันอีก คือตอนนั้นดังแต่ในวิทยุก่อน ขึ้นอันดับฮอตเวฟ สมัยนั้นถ้าใครขึ้นอันดับของฮอตเวฟได้ นี่คือต้องดังมากๆตอนนั้นก็เลยคิดว่าเอ๊ะ..เราดังเปล่านะจนฮอตเวฟเขาเชิญเราไปเล่นคอนเสิร์ตของเขา ถึงรู้ว่าตัวเองดัง
หนึ่ง : งานแรกสั่นเลย คนมาดูกันเต็มไปหมด มาดูเราแน่เหรอ (หัวเราะ)
ดิษ : ตอนนั้นยังไม่มีงานจ้างนะครับไปเล่นแบบฟรีคอนเสิร์ตของวิทยุก่อนหลังจากนั้นก็หาผู้จัดการให้เขาช่วยรับงานให้ ค่ายเขาก็ดีนะครับ เขาให้เรารับงานได้อิสระ โดยที่เขาไม่ยุ่งด้วย ไม่มีหักเข้าบริษัท
5 อัลบั้มในนาม วงสไมล์ บัฟฟาโล่
ดิษ : 3 อัลบั้มแรก คือพอชุดแรก ผลตอบรับดีมาก ดังมาก ชุดสองออกมาเริ่มดร๊อปลง แต่ก็ยังแรงอยู่ ยังเล่นดนตรีทุกวันครับ เพราะเราไม่รู้เรื่องหรอก กระแสเบาไม่เป็นไร เดี๋ยวชุดหน้าเอาใหม่ คิดอยู่ในใจไม่ต้องซีเรียส หลังจากนั้นพอออกชุดที่ 3 ก็ดร็อปลงไปอีก เราก็เริ่มคิดว่า สงสัยไม่โปรโมทไปแกรมมี่ดีกว่า เพราะรู้จักทางพี่เสือ-ธนพล อยู่แล้วครับ พี่แทน เอาท์ไซเดอร์ เขาแต่งเพลงให้พี่เสืออยู่ ก็คุยกับพี่เสือ เขาก็บอก..มาเลย พอเข้าไปพวกเราก็ไปเป็นแบ๊กอัพให้พี่เสือเลย ก่อนที่จะออกของ สไมล์บัฟฯ กระแสวงก็ดีขึ้นมา พอมาอยู่แกรมมี่ เขามีเอ็มวี มีอะไร เพราะก่อนหน้านั้นของเรามีเอ็มวี ก็ไม่ค่อยได้ออกช่องฟรีทีวี ชีวิตก็ดีขึ้นมา พอออกได้ 2 ชุดก็ถึงจุดอิ่มตัวมั้งครับ วงก็เลยตกลงกันว่าขอบริษัทยกเลิกสัญญา อยากจะแยกย้ายกันไป (เหตุผลคือ?) ผมก็ไม่รู้ครับทำไมผมเฉยๆ ผมไม่ได้เป็นคนอยาก (หัวเราะ)
หนึ่ง : ผมก็ยังอยากออกเทปอยู่นะ แต่ตอนนั้นเหมือนแบบอยากลองพักก่อน สุดท้ายก็แยกย้ายกันไป ต่างคนต่างไปเล่นดนตรี
ดิษ : ผมก็ยังเล่นแบ๊กอัพให้พี่เสือต่อครับ
ผ่านมา 20 ปี เสียงดนตรียังไม่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ดิษ : ทุกวันนี้ ทุกคนยังโอเคที่จะกลับมาเล่นด้วยกัน ไม่ได้ห่างหายกันไปไหน
หนึ่ง : เจอกันก็ยังเฮฮาเหมือนเดิมครับ มีงานจ้างเราก็ไป ล่าสุดก็เพิ่งเจอกันเมื่อไม่นานมานี้เอง และก็ได้ไปถ่ายละครกับ ปอ-ทฤษฎี เรื่อง สาวน้อยร้อยล้าน ด้วย
รียูเนียร์น สไมล์ บัฟฟาโล่
หนึ่ง : พวกเราไม่ถือว่ารียูเนียร์นนะครับ เพราะเรายังเล่นกันอยู่ เพียงแต่ไม่ได้ออกสื่อ ไม่ได้ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ แต่เราไม่ได้วงแตก เพราะฉะนั้นถ้ามีใครสนใจชวนมาเราก็พร้อมเล่นครับ
เรียนจบคนละด้าน แต่เลือกที่จะยึดอาชีพนักดนตรี
ดิษ : ผมตามที่บ้านครับ ที่บ้านเขาอยากให้เรียนบัญชี เราก็เรียนจบตามที่เขาอยากให้เรียน แต่พอจบแล้วเราก็เล่นดนตรี
ต่อครับ ทุกคนแหละครับที่เป็นนักดนตรี ไม่ได้เอาสายที่เรียนไปใช้หรอก และโชคดีที่ทางบ้านไม่ได้ว่าอะไร เราอยากทำอะไรก็ตามสบาย เพราะว่าที่บ้านเขามีกิจการของตัวเอง ทุกคนอยู่สบายอยู่แล้ว เราสามารถเลี้ยงตัวเองได้พอครับ
หนึ่ง : สมัยเด็กๆ ผมก็เรียนอย่างเดียว เน้นวิชาการ จน 8 ขวบที่บ้านเขาเห็นเราชอบทางดนตรี เขาก็ส่งเสริม แต่ว่ายังไม่มีใครสำเร็จเป็นตัวเป็นตน เพราะแรกๆที่บ้านก็ชายเทป ขายแผ่นเสียง ก็เลยซึมซับทุกวัน เล่นมาเรื่อยๆ
จวบจนวันนี้ไม่เคยไม่มีงาน
ดิษ : น้อยมากครับที่จะไม่มีงาน เพราะเราสามารถเข้ากับวัยรุ่นได้ น้องๆ ชวนไปเล่นไหน ผมก็ไปหมด ผมไม่ได้คิดว่าเราเป็นศิลปินออกเทปมาดัง ผมเล่นได้ทุกที่
หนึ่ง : ถ้าผมไม่ได้เล่นดนตรี ผมก็จะมีงานทำเพลงโฆษณา ทำเพลงละคร อะไรที่เกี่ยวกับดนตรีเราทำหมด เพราะเราชอบ
ก็เลยได้เป็นคนแต่งเพลงไปด้วย
เพลงใหม่ของสไมล์ บัฟฟาโล่
หนึ่ง : อยากทำอยู่แล้วครับ ผมคิดว่าต้องมี
ดิษ: เราคิดกันไว้ครับ แต่ต้องอยู่ที่จังหวะ เพราะถ้าจะทำขายไม่ได้แน่นอน คิดว่าทำมาสนุกๆไว้ก่อน อย่าไปคิดขายเลย แค่ทำออกมาแล้วเราแฮปปี้ก็พอแล้วครับ
งานเดี่ยว
ดิษ: ถ้าผมจะทำ ผมก็คงทำไปนานแล้วครับ ผมมีความสุขกับแบบนี้ ไม่ออกเทป ผมก็ไปเล่นดนตรีกลางคืน
หนึ่ง : ผมว่ามันไม่สนุก เหมือนได้ทำกับวง
หน้าที่การงานในปัจจุบัน
ดิษ: ผมก็เล่นดนตรีกลางคืน แล้วก็เล่นแบ๊กอัพให้พี่หนุ่ย (อำพล ลำพูน) ครับ ก่อนหน้านี้ก็เล่นให้ เสก โลโซ เล่นอยู่เกือบ 10 ปีเพิ่งเปลี่ยนมาเล่นกับพี่หนุ่ยได้เกือบ 2 ปีแล้วครับ วันไม่มีงานแบ๊กอัพก็มาเล่นตามร้านกับพี่หนึ่ง คือเล่นเอาสนุก ไม่ได้คิดถึงเรื่องเงิน (หัวเราะ)
หนึ่ง : ทุกวันนี้รับงานเพลงของแกรมมี่มาบ้าง เพลงละคร เพลงโฆษณาต่างๆรับหมดครับ ทำเสร็จเราก็ขายลิขสิทธิ์ให้เขาไปส่วนพี่เชษฐ์เขาก็มีวงร่วมกับน้องๆ เด็กๆ ของเขา แต่ส่วนใหญ่เขาจะเล่นแบบรับบริจาคไม่ได้หวังเอาเงิน เพราะเขาโอเคกับการมีบ้านมีสวน พอเพียงของเขาแล้ว นอกจากมีงานจ้างก็มาเฮฮาด้วยกัน
ดิษ: เต็นก็อยู่กับทางค่ายสหภาพดนตรีครับ เป็นโปรดิวเซอร์ เพราะเขาแต่งเพลงเก่ง
ชีวิตครอบครัว
หนึ่ง : แฮปปี้ครับ ผมแต่งงานมา8 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้คลุมกำเนิดกันอยู่ ไม่อยากมีลูก แต่ตอนนี้เริ่มอยากมีแล้วครับ เห็นลูกประดิษฐ์น่ารักมากเลย ปีนี้แหละ(หัวเราะ)
ดิษ : ผมมีลูกชายคนหนึ่งครับ กำลังเรียน ป.1 อ้วนถ้วนสมบูรณ์ ซนตามประสาเด็ก(หัวเราะ) (มีแววเป็นนักดนตรีไหมคะ?)ไม่ค่อยครับ แต่ก็ซื้อกลองไว้ให้ชุดหนึ่งเขาอยากได้ พอซื้อมากลับไม่ตีซะแล้ว
หนึ่ง : พี่เชษฐ์ยังสนุกกับชีวิตโสด ส่วนเต็นลูก 2 แล้วครับแต่ยังอ่อนวัยกว่าลูกประดิษฐ์
ฝันในอนาคต
ดิษ : ผมไม่ค่อยอยากอะไรนะ มีแค่อยากให้ลูกเป็นเด็กดีเท่านั้นล่ะครับ
หนึ่ง : ของผมนี่อยาก แต่กำลังจะสำเร็จแล้วครับ อยากมีห้องซ้อมดีๆ ห้องอัดดีๆ อยู่ที่บ้าน ใกล้จะเปิดแล้วครับ ฝากโปรโมทด้วยครับ แถว ซ.เฉลิมพระเกียรติ 28หรือติดต่อที่เฟซบุ๊คผมก็ได้ครับ PANUS SMILE BUFFALO ชื่อห้องยังไม่สรุปแต่ว่าขออนุญาตเพื่อนๆ แล้วว่าจะใช้ สไมล์ บัฟฟาโล่
ก่อนจากกัน “หนึ่ง” ย้ำว่าถ้ามีโอกาสจะทำเพลงดีๆ สไตล์ สไมล์ บัฟฟาโล่ ออกมาให้ฟังกัน ส่วน “ดิษ” ฝากบอกแฟนๆ เห็นพวกเขาไปเล่นที่ไหน เข้ามาทักทายกันได้
เสน่ห์ของเสียงดนตรี ยังคงดึงดูดความเป็นศิลปิน ในขณะที่ชีวิตยังมีหนทางทำกิน “ดิษ” ประดิษฐ์ วรสุทธิพิศิษฎ์ และ “หนึ่ง” พนัส อภิชาติพงศ์บุตร 2 คู่หูจากวงดังในอดีต สไมล์ บัฟฟาโล่ จึงสมัครใจที่จะเป็นศิลปินจนกว่าจะสิ้นพลังกาย
ลูกหมี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี