สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้ขอพาย้อนวันวานไปนั่งคุยกับอดีตนักร้องดัง วง I-Zax (ไอแซ็ค) “แซ็ก” พัชรพล ปานพุ่ม กับโหมดชีวิตที่เปลี่ยนไป งานดนตรียังคงมีไม่ขาดหาย ในขณะที่ครอบครัวค่อยๆ ขยาย แต่วันหนึ่งเขากลับพบประสบการณ์เฉียดตายแบบไม่ทันตั้งตัว!?
กำเนิดวง I-Zax (ไอแซ็ค)
“พวกเราเรียนด้วยกัน เป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยเดียวกัน สมาชิกในวงเปลี่ยนหลายคนมาก แต่ตัวตั้งตัวตีก็คือผมกับมือกลองที่ตั้งใจจะทำวง ก็หามือกีตาร์สุดท้ายได้พี่เพชร แต่ว่าตอนนี้พี่เพชรไปทำวงอโศก กับเพื่อนๆ หลังจากที่ทำให้ หนุ่มกะลา แต่ก็ยังไปมาหาสู่ ทำงานให้กันครับ”
เมื่อต้องร้องนำ?
“เกร็งนะ แต่ผมถือว่าผมเป็นนักดนตรีที่ร้องเพลงได้ พอมาร้องเพลงปุ๊บ ผมก็ไม่ได้เล่นกีตาร์ละ ทิ้งกีตาร์ไป 7-8 ปี ไปเป็นนักร้องนำโดยที่ไม่จับกีตาร์เลย จนกระทั่งผมเห็นอะไรบางอย่าง คือจริงๆ แล้วดนตรี ถ้าเราทิ้งมันมันก็ทิ้งเรานะ ดนตรีมีชีวิตเมื่อวันหนึ่งเราไม่ได้จับมัน มันก็ไม่ต้องมาสนใจเรา ผมต้องขอบคุณพี่แอนท์ อีโมชั่นทาวน์ เอากีตาร์มาให้ผมเล่น ซึ่งตอนนั้นกีตาร์ผมให้คนอื่นไปหมด ขายบ้าง ให้ลูกศิษย์บ้าง ตอนนี้ไปอยู่ที่ใครยังนึกไม่ออกเลยพอกลับมาจับกีตาร์โปร่ง นั่งซ้อมในแบบที่เราเคยฝึกแต่แรก ปรากฏว่าจากที่เราเคยทำได้ ทำไมทำไม่ได้ ทุกวันนี้ยังนั่งนึกขอบคุณพี่แอนท์เลย ถ้าเกิดวันหนึ่งวันใดเราไม่ได้ร้อง ก็มีกีตาร์นี่แหละที่เล่นได้”
อัลบั้มแรกของวงไอแซ็ค?
“เป็นช่วงที่จบมหาวิทยาลัยใหม่ๆทำเพลงกับเพื่อนในมหาวิทยาลัยประมาณ 3-4 เพลง จริงๆ ทำไว้เยอะ แต่เราส่งไปแกรมมี่ 3-4 เพลงนี้ แล้วจังหวะนั้นพี่แมว (จีระศักดิ์ ปานพุ่ม) ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาผม กรุยทางให้เรา แล้วเราก็เดินตามทางนั้น ถ้าไม่มีพี่แมวอาจจะยากหน่อย แต่คำว่า ไม่มี ไม่เป็น อันนี้ผมไม่เชื่อ ผมคิดว่าถ้าผมมุ่งมั่นว่าจะทำแล้วต้องทำได้ อาจจะช้าหน่อย แต่ก็ต้องใจเย็น ก็เหมือนนักดนตรีทุกวันนี้ เก่งผมไม่กลัว ผมกลัวโอกาส คนเรานะบางทีทุกวันนี้การที่จะอยู่ได้ต้องมีเพื่อนพ้องมีโอกาสและคอนเนคชั่นถึงจะอยู่ได้ยาวนาน ต่อให้ไม่มีผลงานเราก็ยังเจอเพื่อนๆ อยู่เหมือนเดิม”
เพลงฮิตติดหู ถึงทุกวันนี้?
“มี 3 เพลงที่เล่นประจำเลยคือคนรักกัน, ดอกไม้กับหัวใจ และ ปวดใจ เป็นเพลงรักที่ต้องเล่น ไม่เล่นไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีเพลงใหม่นะครับ แต่คนก็ยังขอให้ร้องเพลงชุดแรกอยู่ (หัวเราะ)”
วงไอแซ็คห่างหาย?
“เพราะเราหมดสัญญากับบริษัท แต่ออกมาก็เป็นฟรีแลนซ์ ยังคงทำเพลงให้เพื่อนๆ ทำให้คนอื่นอยู่ ทุกวันนี้วงเราเพื่อนๆ ทุกคนยังอยู่ครบ ไม่ได้แตกไปไหน เพียงแค่ว่าแต่ละคนมีหน้าที่ ทุกคนมีครอบครัว อย่างมือเบสก็ไปอยู่ต่างจังหวัดเปิดโรงเรียนสอนดนตรีที่จังหวัดฉะเชิงเทรา วงเรามี 5 คนทุกคนยังเจอกันปกติครับ เรามีเฟซบุ๊คเห็นกันทุกวัน เพื่อนทำอะไรเราก็เห็นหมด เพียงแต่ว่าโอกาสที่จะรวมตัวกันค่อนข้างยาก เพราะเวลาไม่ตรงกัน”
ตัวตนของแซ็ก ที่หลายคนไม่เคยรู้?
“ผมถูกเลี้ยงมาในครอบครัวที่ค่อนข้างจะอิสระ พ่อแม่ไม่เคยบอกว่าจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าด้วยความที่บ้านเราเล่นดนตรี พ่อแม่ก็เล่นดนตรี ไปที่ไหนก็จะไปด้วยกัน อยู่แต่ละที่ตามไนท์คลับ 3 ปี 5 ปี บ้าง คือนักดนตรีสมัยก่อนมีคุณค่ามากการจะไปเล่นในแต่ละที่ ต้องมีการเซ็นสัญญากันยาวๆ ช่วงที่ผมเกิดพ่อเล่นอยู่ที่โคราช แล้วแม่ก็ตามไปเจอกันที่นั่น ผมมีพี่น้องสามคนผมคนโต มีน้องชายและน้องสาวคนเล็กผมโตมากับย่า จะมีช่วงที่พ่อย้ายที่เล่นดนตรีบ่อยผมก็ต้องย้ายที่เรียนเรื่อยๆ พ่อเห็นว่าย้ายบ่อยไปแล้ว ก็เลยให้ผมไปอยู่กับย่าที่อุดรธานี หรือบางทีก็ไปอยู่ ขอนแก่น ผมเลยโตมากับ 2 จังหวัดนี้ครับ”
เส้นทางดนตรี?
“ถามว่าเริ่มชอบดนตรีเมื่อไหร่ ผมไม่รู้ตัวนะ เพราะเกิดมาก็เห็นเครื่องดนตรีแล้ว เห็นพ่อเล่น คือเป็นชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่ได้บอกว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เหมือนคนอื่น รู้แต่ว่าโตขึ้นต้องเป็นนักดนตรี ด้วยเพราะเราซึมซับกับสิ่งเหล่านี้มาตลอด พ่อผมเป่าแซ็ก ผมถึงชื่อแซ็ก”
แต่เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่เล่นได้ไม่ใช่แซ็ก?
“กีตาร์ครับ ก่อนหน้านั้นพ่ออยากให้ผมเป่าแซ็ก สอนให้ผมเป่า แต่ผมเป่าไม่ได้สักที เราก็งงตัวเองสมองช้าหรือเปล่า เข้าใจเลยคำว่า “พ่อลูกสอนกันไม่ได้” ตอนนี้ผมก็พยายามสอนลูกเหมือนกัน (หัวเราะ) สุดท้ายพ่อปล่อยให้ผมไปเรียนรู้ดนตรีเอง ที่ผมเล่นดนตรีได้ทุกวันนี้ ไม่ได้ถูกพ่อสอนมา ไม่ได้ถูกอาสอนมา แต่เป็นการที่ผมเรียนรู้เอง แล้วไปศึกษาต่อกับเขาอีกที เหมือนเริ่มจากทฤษฎีอ่าน ก.ไก่ ได้ก่อน แล้วคุณถึงจะไปเรียนภาษาไทย สังคม วิชาอะไรต่อไปก็ได้ อย่างบ้านผมเล่นดนตรีแจ๊ส ลูกทุ่ง หมอลำ เล่นหมด ไม่ได้แบ่งว่าแนวนี้แนวไหน ขอแค่เราเชื่อว่าเราทำได้ อยากเรียนโน้ตทำยังไงถึงจะอ่านโน้ตได้ ก็ไปเล่นคาเฟ่ ใช้ชีวิตอยู่คาเฟ่ อยู่กับนักร้องที่เขาเอาโน้ตมาตั้งวางเล่นตามโน้ต ไม่เคยเล่นก็ต้องฝึก ช่วงนั้นผมประมาณอายุ 16-17 ได้ครับ”
ทิ้งเรียนเพื่อที่จะออกไปหาประสบการณ์ชีวิต
“ตอนนั้นเพิ่งเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมปีหนึ่ง ก็ต้องออกไปช่วยน้าที่จังหวัดขอนแก่นเพราะวงเขาขาดมือกีตาร์ ก็ลุยเลยขอลองสักครั้งในชีวิต ทิ้งเรียนเพื่อที่จะออกไปหาประสบการณ์ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ประสบการณ์อยู่ที่คนนะ สิ่งที่เราแสวงหาคือประสบการณ์ก็จริง แต่ว่าคนที่สร้างประสบการณ์กับเรา ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีพัฒนาการเลย เราเห็นชีวิตความเป็นไปแบบนั้นทุกๆ วัน เราก็เบื่อ เลยกลับมากรุงเทพฯ มาเรียนต่อที่เดิมจนจบ แล้วก็เจอเพื่อนจนเกิดเป็นวงไอแซ็คขึ้นมา”
เคยเบนเข็มไปเป็นครู?
“ผมเคยรู้สึกเบื่อๆ เลยไปเป็นครู เพราะผมจบครูจากมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ก็ไปสอนนักเรียนวงโยธวาทิต ที่โรงเรียนประชานิเวศน์ แต่รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเรา สอนได้นิดหน่อยประมาณปีหนึ่งแล้วก็ออกมาใช้ชีวิต ตอนสอนยังคงรับงานกลางคืน เล่นดนตรีดึกๆ เลิกเสร็จสอนต่อตอนเช้า บ่อยเข้าเริ่มไม่ไหว เลยกลับมาใช้ชีวิตในสิ่งที่เราถนัดดีกว่า กลับมาฝึกเล่นดนตรีโบยบินไปตามจังหวัด เล่นดนตรีใช้ชีวิตกับวงอื่นๆ บ้าง”
วง ไอแซ็ค จะกลับมารียูเนียนกันอีกครั้งไหม?
“ใจผมคิดนานแล้วอยากจะชวนเพื่อนทำเพลงใหม่อีกสักครั้ง อย่างที่ผมบอกด้วยจังหวะที่ไม่ลงตัว ซึ่งจริงๆ เพื่อนเขาก็คิดเหมือนเรานี่แหละ เพราะเวลาเรานัดดื่มสังสรรค์กัน พวกเราพูดสิ่งเดียวกัน เรื่องเดียวกัน ในความคิดที่เหมือนกันว่า ทำเพลงไหม ก็เลยได้ปล่อยออกมา 2 เพลง เพื่อดูกระแส และโชคดีที่สมัยนี้มีช่องทางการนำเสนอผลงานเยอะขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่จะต้องออกสื่อวิทยุ ทีวี. ถึงจะดัง แต่ทุกวันนี้ยูทูบ เฟซบุ๊ค ได้หมด 2 เพลงที่ปล่อยไปเมื่อ 7-8 เดือนก่อนเลยถือว่าเกินคาดมากๆ ไม่ได้โปรโมทหรือเปิดวิทยุเลยนะ ดูแค่ว่าคอนเนคชั่นจากการที่เราโพสต์ในยูทูบและเฟซบุ๊คว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน ล่าสุดยอดวิวไปถึงประมาณ 7 แสนกว่า เป็น 7 แสนที่ภูมิใจจริงๆ หลังจากที่ไม่ได้รวมตัวกันทำเพลงมาประมาณ 7 ปี เพราะมัวแต่ไปทำเพลงให้คนอื่น ทำเบื้องหลังกัน”
เพลงคือสายเลือด?
“ผมทำมาตลอดครับ ทั้งๆ ที่พยายามจะหยุด เพราะรู้สึกว่าอิ่มตัว กับสังคมปัจจุบัน และสถานการณ์เพลงของบ้านเรา จากที่เคยทำรายได้เดือนหนึ่งได้เท่านี้ แต่กลายเป็นว่าเราต้องพยายามเหนื่อยกว่าเดิมโดยไม่รู้กี่เท่า เพื่อให้มีรายได้เท่าเดิม ผมไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนผมหรือเปล่า แต่เรารู้สึกว่า
สถานการณ์วงการเพลงตอนนี้แย่มากๆในขณะเดียวกันกฎหมายลิขสิทธิ์ก็แข็งแรงเหลือเกิน(หัวเราะ)”
แพลนชีวิตจากนี้?
“ช่วงนี้ผมกำลังทำธุรกิจขายสบู่ครับ ผมอยากทำให้เต็มที่ ส่วนงานดนตรีตอนนี้เป็นในส่วนของการไปเล่น ไปพบปะเพื่อนๆมากกว่า เรื่องคิดสร้างเพลงก็มีนะ แต่ว่ายังไม่รู้ว่าจะทำไปขายใคร แต่ทำให้คนฟังนี่ทำแน่ บางทีเราก็ต้องทำเพลงขาย เพื่อมาทำสบู่ของเรานี่แหละ (หัวเราะร่วน) ก็ต้องหาจังหวะหาช่องทางกันไปครับ”
มาจับธุรกิจสบู่ได้อย่างไร?
“เพื่อนที่รู้จักกันเขาทำของเขาอยู่แล้วครับ แต่ว่าเขาผิดหวังจากเพื่อนร่วมงาน โดนหักหลังโดนโกงจนเขาคิดจะทิ้ง ผมรู้เรื่องราวมาตลอด เลยบอกเพื่อนว่าสิ่งที่คุณทำดีนะเพราะวัตถุดิบทุกอย่างมาจากธรรมชาติ แต่สิ่งที่ไม่ดีคือคนที่ทำกับคุณ ยังไงคุณก็ต้องทำต่อ ตอนแรกสบู่นี้ใช้ชื่อว่า กลอรี่(GLORY) ซึ่งผมไม่เข้าใจทำไมชื่อนี้ แต่การที่เราจะลงทุนทำกับเขา ก็ต้องรู้ที่มาที่ไปในสิ่งที่เราจะทำ พอเขาบอก กลอรี่ คือพระสิริ แสงของพระเจ้า ความสว่างของพระเจ้า พอรู้ความหมายแล้วเราก็ศรัทธา นี่คือความศรัทธาที่มี ผมถึงรู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่าจะทิ้งทำไม ทำต่อเถอะ ผมก็มาเปลี่ยนรูปลักษณ์ รีโนเวททุกอย่างใหม่ทำโบชัวร์ ออกแบบตามที่เราเคยเรียนมา เพราะเมื่อก่อนผมก็เคยเป็นอาร์ตอยู่ ตัดต่อ รีทัชเป็น ฝากด้วยนะครับ คนที่สนใจสามารถเข้าไปดูได้ที่เฟซบุ๊คแฟนเพจ GLORY SOAP หรือโทร.โดยตรงที่ 099-4696519,082-9311627 ผมเริ่มทำมาได้ประมาณ1 ปี เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วครับ มีคนสั่งเข้ามาเรื่อยๆ ผมก็คิดถึงลูกสาวในอนาคตข้างหน้า เขาอาจจะมาสานต่อพัฒนาต่อยอดไปทำเป็นครีมถูตัว สิ่งที่ไม่เคยมีบนโลกนี้ก็ได้ ผมก็คิดของผมไปเรื่อย(หัวเราะ)”
เคยเกือบตายเพราะอาการไทรอยด์เป็นพิษ?
“ผมเป็นไทรอยด์เป็นพิษชนิดเข้าขั้นที่ว่าหมอให้พักเดือนหนึ่งแล้วค่อยกลับไปดูว่าจะผ่าหรือกลืนแร่ สรุปผมไม่ต้องผ่าหรือกลืนแร่ด้วย อยู่ๆ ก็หายไปเอง หมองงกับเคสผมมาก ตอนนั้นน้ำหนักลงไปเยอะมากภายในระยะเวลาที่มันสำแดงให้ผมรู้ว่าไม่ไหวแล้ว ร่างกายแย่ร่วม 2 เดือน เหนื่อยง่าย หายใจไม่ทั่วท้อง ทำอะไรก็หงุดหงิด กินน้ำตลอด นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม ร่างกายทำงานผิดระบบหมดเลย ควบคุมตัวเองไม่ได้ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองเป็นโรคร้าย ตัดสินใจไปหาหมอ หมอมองหน้าปุ๊บให้ไปเจาะเลือดด่วน ตกใจกว่าเดิมอีก กลายเป็นว่าผมเป็นไทรอยด์เป็นพิษเริ่มปรับตัวใหม่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น เนื่องจากเห็นยาหมอแล้วตกใจ กินเยอะมาก กินเป็นกำมือเลยนะ กว่าจะหาย ไตก็วายพอดี (หัวเราะ) ก็เลยเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ จากนอนดึกไม่เป็นเวลา ไม่หิวเราก็ต้องกิน ร่างกายมีเวลาในการทำงาน นาฬิกาชีวิตผมเชื่อเลยหลังจากที่ตัวเองป่วยมา ผมยังดีที่ร่างกายเตือนผม บางคนไม่เตือนมาเยือนแล้วไปเลยก็มี แต่สิ่งหนึ่งที่บอกตัวเองเลยว่าต้องตื่นต้องฟื้น ต้องกลับมาเหมือนเดิม เพราะลูกเลยเราเห็นเขานอนกอด เลิกโรงเรียนแล้วมากอดเราในขณะที่เรารู้สึกตัว แต่เราตื่นไม่ได้มีแค่น้ำตาที่ไหลออกมา อยากตื่นนะ ความรู้สึกร่างกายไม่สนองแต่ความคิดเรายังทำงาน ผมอยู่โรงพยาบาลเกือบเดือน หลังจากรักษากลับบ้านก็ฟื้นเลย โชคดีที่มีโอกาสได้กลับมา ร่างกายสำคัญมากๆ (สุขภาพตอนนี้?) โอเคแล้วครับ ไปเจาะเลือดทุกสามเดือน ค่าเลือดก็ปกติ เรื่องเดียวที่ยังมีสิทธิ์กลับมาเป็นได้คือ เรื่องการให้ตับได้พักผ่อน อย่านอนดึก แค่นั้นเองก็พยายามอยู่ครับ ตอนนี้ตีสาม เมื่อก่อนตีห้านะ คือเป็นอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว ชีวิตครอบครัวนักดนตรี พ่อผมเมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้กลับมาตีสองตีสามผมก็ต้องตื่นมากินข้าวกับพ่อ บางวันพ่อก็ซื้อซาลาเปามาฝากดึกๆ แล้วเราเป็นเด็ก ก็เลยกลายเป็นว่าเราก็ติดชีวิตแบบนั้นมา แล้วผมก็ไม่เคยคิดว่าอยู่ๆ ร่างกายจะมาประท้วงผมอะไรแบบนี้ ทั้งๆ ที่มันก็ต้องเคยชินแล้ว เพราะเราเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ปรากฏว่าไม่ได้แล้ว แม้แต่พ่อผมเองก็เป็นเหมือนกัน เพราะเราใช้ชีวิตเหมือนกัน อยู่ด้วยกันตลอด ผมเป็นก่อนพ่อผมเป็นตามผมไม่กี่เดือนนี้เองครับ อยากให้ระวังกัน เพราะไทรอยด์เป็นภัยเงียบที่หลายคนคิดว่าไกลตัว”
บทบาทคุณพ่อ?
“ผมเจอกับภรรยาคนปัจจุบัน ตอนออกอัลบั้มชุดแรก ตอนนั้นเราเสียใจอกหักผิดหวังมาก แล้วมาเจอคนนี้ เสียใจไม่เกินสองวันมีคนนี้เข้ามา ดูแลดี๊ด๊า และโลกกลมอีก คือแฟนผมคนนี้คือน้องสาวเพื่อนสนิทสมัยเรียนปวช. แล้วผมก็ไม่รู้ว่าเพื่อนคนนี้มีน้องสาว เลยกลายเป็นว่า อ๋อ..เราเคยเจอกันมาก่อนนะ ทุกวันนี้ก็แต่งงานมีลูกด้วยกัน 2 คนครับ ลูกสาวคนโต น้องอั้ม 7 ขวบ ส่วนคนเล็กน้องอิน 4 ขวบ กำลังซนเป็นลิงเลย”
ครอบครัวสุขสันต์?
“ผมเข้าใจมากกว่า ผมเรียนรู้ที่จะอยู่ให้เป็น ก็ไม่ได้จะมีความสุขตลอดเวลา ก็มีบ้างที่มีปัญหา ถึงขนาดที่ว่าเคยคิดมานั่งคุยกันจะเลิกกัน แยกทางกัน แต่ว่าก็มีเหตุให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ เพราะลูก เราก็มีอะไรหลายๆ อย่าง เราเห็นชีวิตคนอื่นที่สวยงาม ถ้าวันหนึ่งที่เขาผิดหวัง สุดท้ายเขาก็ต้องไปมีคนใหม่แล้วก็ใช้ชีวิตเริ่มใหม่กับคนใหม่ ผมกลับคิดว่าทำไมไม่คุยไม่กลับมาเรียนรู้กับคนของคุณที่คุณเลือกแล้วให้ยาวที่สุดและนานที่สุดล่ะ ต่อให้ไม่มีความสุขผมก็ถือว่าเป็นบททดสอบของตัวเอง แค่เราเข้าใจ บางทีเรายอมได้เราก็ยอม เขาก็เป็นภรรยาเรา ไม่รู้จะไปเอาชนะหรือโชว์ใคร”
ช่างเป็นชีวิตที่น่าอิจฉาของ “แซ็ก- พัชรพล” ด้วยความมุมานะที่ไม่มีหมด ทำให้เขามีครอบครัวที่น่ารัก และได้ทำงานที่รักจนมาถึงทุกวันนี้
ลูกหมี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี