ปลายฟ้า (ปลายฟ้า...) แค่หลับตาลงคงพบกัน โอบกอดดวงใจสายสัมพันธ์ ท่ามกลางความฝันของเรา ดาวน้อย (ดาวน้อย...) โปรดลอยมาลงตรงหัวใจ เก็บเกี่ยวความคิดถึงฉันไป ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล...เพลงดังในอดีตที่ยังอยู่ในใจหลายๆ คน ขับกล่อมผ่านเสียงอันไพเราะโดย “วิระ บำรุงศรี” อดีตนักร้องชื่อดังจากวงมะลิลา บราซิลเลี่ยน และวงเยื่อไม้ “สตาร์เรโทร” สัปดาห์นี้ขอพาทุกท่านไปร่วมพูดคุยกับ พ.ต.ท.ดร.วิระ บำรุงศรี และร่วมย้อนวันวานสุดแสนประทับใจไปด้วยกันค่ะ
ปัจจุบันรับราชการตำรวจ ยศพันตำรวจโท ตำแหน่ง สารวัตร (ปฏิบัติงานกอ.รมน.) สำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ช่วยราชการมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ถวายงานในภารกิจต่างๆ ของมูลนิธิฯ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากทุกข์ภัยต่างๆ รวมไปถึงสัตว์ต่างๆ และในวันที่ 30 สิงหาคมนี้ ก็จะเดินทางไปที่อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ไปแจกถุงยังชีพ ในส่วนของการร้องเพลงก็ยังคงร้องอยู่เรื่อยๆ ร้องทั้งในหน่วยงานที่เราปฏิบัติหน้าที่อยู่ และรับงานจ้างส่วนตัวก็ยังมี รวมทั้งตามงานคอนเสิร์ตในวาระต่างๆ ซึ่งล่าสุดก็ได้มาเป็นแขกรับเชิญในงานคอนเสิร์ต “มิตรสมาน” โดยครูสมาน กาญจนะผลินผมร้อง 2 เพลง เพลงบุเรงนองลั่นกลองรบ และคุณจะงอนมากไปแล้ว ก็เป็นการกลับมาเจอพี่ๆ น้องๆ ศิลปินมากมาย รับรองว่างานคอนเสิร์ตในวันนั้นทุกท่านจะอิ่มเอมไปกับบทเพลงอันไพเราะ ที่เป็นอมตะและอยู่ในใจของใครหลายๆ คน
อยู่กับธรรมชาติด้วยความสุข
ทางด้านสุขภาพร่างกายก็ยังแข็งแรงดีครับออกกำลังกายบ้างแต่ก็ไม่ได้หักโหมมาก ว่างๆหรือว่าช่วงวันหยุดผมมักจะกลับบ้านที่นครสวรรค์ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ บ้านเราก็อยู่กันครอบครัวใหญ่มีพี่น้องอยู่ด้วยและทำสวนเกษตรสวนผลไม้ ตอนนี้ก็ปลูกมะม่วง มะนาว สับปะรด มันเป็นอาชีพดั้งเดิมที่พ่อแม่เราทำมา เราก็เห็นมาตั้งแต่เด็กก็เลยสืบต่อกันมาเรื่อยๆ ผมก็มองว่าท้ายสุดแล้วคนเราก็ต้องไปอยู่แบบนั้นแหละ ถ้าเราปลดเกษียณจากหน้าที่การงานก็คงจะต้องไปอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่เฉพาะผมหรอก ผมว่าหลายๆ คนที่มีบ้านเกิดอยู่ต่างจังหวัด พอได้เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯพอเกษียณแล้วหรือว่าเบื่อแล้วก็ต้องกลับไปอยู่บ้านทั้งนั้น ไม่งั้นวันหยุดคนเขาจะไปเที่ยวป่าเที่ยวเขากันทำไม อย่างเขาค้อ หรือว่าตามอุทยาน รีสอร์ทต่างๆ คนเขาก็ไปกันแน่น ซึ่งมันก็หมายความว่าคนอยากจะเข้าถึงธรรมชาติมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ผมก็ว่าจะปลูกอินทผาลัม อีกหลายร้อยต้น เพราะว่าตอนนี้ที่ดินเราก็ยังพอมีว่างอีก
ย้อนวันวานจุดเริ่มต้นของการขับขานบทเพลง
ตั้งแต่เด็กเลยครับ ตอนเด็กก็เริ่มฟังวิทยุทรานซิสเตอร์ ซึ่งเป็นคลื่นเอเอ็ม เพลงส่วนใหญ่ที่เขาเปิดก็จะเป็นเพลงลูกทุ่ง แต่ถ้าเพลงลูกกรุงจะได้ฟังที่โรงเรียน ตอนก่อนเข้าแถวที่ครูจะเปิดตอนเช้าเป็นเสียงตามสาย ก็จะมีเพลงของสุนทราภรณ์ เพลงของอาจารย์สุเทพ อาจารย์ชรินทร์ คุณธานินทร์ ที่เขาเปิดสลับกันไป ซึ่งตอนแรกเราก็รู้สึกเฉยๆ ด้วยความที่เป็นเด็กครับ เขาเปิดให้ฟังก็ฟังไปเราจะหลบไปไหนได้แล้วนานๆ เข้าเราก็ร้องตามได้เอง ทำนองมันคุ้นเนื้อร้องก็ตามมาเลยกลายเป็นว่าเราร้องเพลงได้โดยปริยาย พอรู้ว่าตัวเองร้องเพลงได้เยอะคือที่เขาเปิดมาเราร้องตามได้หมดเลย ตอนนั้นอยู่ประมาณชั้น ป.5 และเคยหนีพ่อแม่ไปประกวดร้องเพลงตามงานวัดเหมือนกัน (หัวเราะ) แต่ว่าก็ไม่ได้รางวัลอะไร ที่ต้องแอบไปเพราะว่ากลัวพ่อแม่จะว่าเอา พอไปประกวดหลายครั้งเข้าแล้วเราก็ยังไม่ชนะอีก เราก็กลับมาดูตัวเองมาพิจารณาดูว่าเราก็ร้องตามนั้นนะทำไมเราถึงยังไม่ได้อีก ก็เลยมาลองฟังใหม่ ทำให้เราเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเองปรับจูนคีย์อะไรตามเขาหมดไม่ได้ไปร่ำเรียนการร้องเพลงมาจากไหนเลย แต่ว่าคุณพ่อเป็นครูสอนดนตรีไทย เราก็เลยจะได้ตรงนี้มาด้วย ซอ ขลุ่ย ขิม ผมก็จะถนัดเล่นตามแบบคุณพ่อเหมือนเป็นความเคยชินในชีวิตประจำวันเลยทำให้เราซึมซับมา และได้ร้องเพลงให้กับที่โรงเรียน ซึ่งพ่อผมเป็นครูสอนดนตรีไทยที่โรงเรียนพยุหะศึกษาคาร จังหวัดนครสวรรค์ แล้วเขาก็มีวงอังกะลุง เราก็ได้ไปร่วมเล่นและเป็นนักร้องประจำวง คือคุณพ่อก็สนับสนุนให้เล่นดนตรีและให้ร้องเพลงตามที่เราชอบ และพ่อก็สอนผมด้วย ก็เรียกว่าสามารถร้องเพลงและเล่นดนตรีไทยได้ตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ พอจบมัธยมก็ไปสอบชิงทุนของสาธารณสุขจังหวัดนครสวรรค์ ก็สอบได้เลยไปเรียนวิทยาลัยสาธารณสุขศิรินธร ที่จังหวัดพิษณุโลกอยู่ 2 ปี อยู่ที่นั่นก็มีวงดนตรีอยู่แล้ว เราก็ได้เข้าไปเป็นนักร้องนำในวงเขาอีก
รางวัลแรกในการประกวด
จากรายการ คอนเสิร์ต คอนเทสต์ ของบริษัทเจเอสแอล ออกอากาศทางช่อง 5 ในตอนนั้นถือเป็นรายการประกวดร้องเพลงระดับต้นๆ ของบ้านเราเลยคนดูทั้งประเทศ ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็เหมือน AF (มุ่งมั่นที่จะคว้าตำแหน่งจากเวทีนี้) จะมาเอาตังค์ เพราะว่ารายการนี้มีรางวัลเยอะมากเราดูเราก็อยากมา โดยในครั้งแรกเราได้รางวัลที่ 2 ตอนนั้นร้องเพลงบัวลอย ของวงคาราบาว ซึ่งก็ได้เงินรางวัลประมาณสามหรือสี่หมื่นบาทนี่แหละ นอกจากนี้ก็ยังมีของรางวัลที่เป็นนาฬิกา ตั๋วเครื่องบิน ตั๋วเรือสำราญ เครื่องเสียงหลังจากนั้นอีก 3 เดือนเราก็มาประกวดใหม่ ก็ชนะเลิศเป็นแชมป์ประจำสัปดาห์ จากการร้องเพลง มิดะ ของจรัญ มโนเพ็ชร ตอนนั้นอายุประมาณ 23-24 นับว่าเวทีนี้ถือเป็นการแจ้งเกิดให้กับผม
แนวเพลงที่ถนัด
ลูกทุ่ง ลูกกรุง สตริงก็ร้องได้นะยุคนั้นก็จะเป็นอ๊อด คีรีบูน อ๊อด บรั่นดี ร้องได้หลายแนวเพราะว่าเราฟังมาเยอะ แต่ถามว่าร้องดีทุกแนวไหมผมว่ามันไม่ใช่คำตอบ บางแนวมันก็ไม่เข้ากับเราแต่ก็ดันไปร้องได้แต่ถ้าจะเอาเป็นเรื่องเป็นราวก็คือลูกกรุงที่เหมาะสำหรับผมที่สุด แนวอื่นจะเป็นการร้องแบบสนุกๆ มากกว่า
จุดกำเนิดของวงเยื่อไม้
หลังจากที่ประกวดคอนเสิร์ต คอนเทสต์ ทางบริษัทคีตาก็ให้ผมมาเทสเสียง เขาเห็นเราจากเวทีนี้ก็จะออกอัลบั้มในนามวงเยื่อไม้ กับคุณอรวี สัจจานนท์ ก็จะมีทั้งร้องเดี่ยวร้องคู่บ้าง แล้วแต่เพราะว่าเขาจะคัดเพลงให้ เป็นเพลงของสุนทราภรณ์ ชุดแรกก็ประสบความสำเร็จเลย แจ้งเกิดคู่กัน ออกอัลบั้มอยู่10 ชุด ปีนึงออกเทปประมาณ 3-4 ชุด เอาเพลงเก่าของสุนทราภรณ์และครูสมานมาร้องเยอะเหมือนกันอย่างเพลงเรือนแพก็เป็นเพลงของครูสมานกับครูชาลีที่เป็นผู้ประพันธ์ แต่ตอนแรกที่เทปออกไป คนฟังจะยังไม่รู้จักเรานะครับ รู้จักแต่ชื่อวง เนื่องจากว่าหน้าปกเทปมันเป็นภาพวาด ก็คงจะเป็นเพราะความตั้งใจของเขาที่จะให้เป็นอย่างนั้น หรือว่าเขาอาจจะคิดว่าไม่น่าจะดังอย่าเพิ่งเอารูปตัวจริงออกเลยให้เอารูปวาดลงไปก่อน (หัวเราะ) หรือมันจะเป็นเทคนิคของเขาอะไรบางอย่างให้คนค้นหากันว่าหน้าตานักร้องเป็นยังไง มันก็สามารถมองแบบนั้นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องยอมรับว่าบริษัทคีตามีบุญคุณกับผมมาก คนที่ตั้งชื่อวงเยื่อไม้ก็คือ พี่จิก-ประภาส ชลศรานนท์ และขอบคุณอีกหลายท่านไม่ว่าจะเป็น คุณสมพงษ์ วรรณภิญโญ ปัจจุบันเป็นเจ้าของทีวีธันเดอร์ ส่วนเจเอสแอลก็มี คุณต้น-ลาวัลย์ กันชาติ คุณจำนรรค์ ศิริตัน ที่ให้โอกาสผมตอนประกวดร้องเพลงซึ่งเจเอสแอลกับคีตาเหมือนว่าร่วมกัน พอเราประกวดร้องเพลงชนะเลิศจากเวทีทองเจเอสแอลเราก็เลยได้มาออกเทปกับทางคีตา เจเอสแอลเป็นคนคัดนักร้อง คีตาเป็นคนปั้น บุคคลเหล่านี้แหละครับที่เป็นผู้ผลักดันและให้การสนับสนุนผมมา จนได้เป็นนักร้องที่ทุกคนรู้จัก พออัลบั้มชุดที่ 2 เขาก็ให้เห็นหน้าแล้วครับปกเทปก็จะมีรูปเราแล้วล่ะ แต่จริงๆ ก่อนหน้านั้นคนก็เริ่มเห็นแล้วเพราะว่ามีการถ่ายมิวสิกวีดีโอ สื่อมวนชลมาขอสัมภาษณ์
ผู้จุดกระแสเพลงเก่า
ตื่นเต้นมากเลยครับ เวลาขึ้นคอนเสิร์ตแฟนๆ ก็ตามไปดูไปให้กำลังใจเยอะมาก เทปเราขายได้ถึงล้านตลับด้วยครับ แต่ว่ามันก็ไม่มีความคงทนนะ คือตอนหลังก็มีคู่แข่งมากขึ้นมีนักร้องที่ออกเทปมาแนวเพลงเดียวกับเรา เขาก็ออกกันมาเต็มบ้านเต็มเมืองเลย มันก็เลยไม่แปลกแล้ว ก็กลายเป็นว่าไปแชร์ตลาดกันกับนักร้องคนอื่นๆ สำหรับวงเยื่อไม้เนี่ยมีคนเคยพูดว่า “เยื่อไม้เป็นคนจุดกระแสเพลงเก่าให้กลับคืนมา” เพราะว่าเพลงเก่ามันใกล้ตายแล้วคนเริ่มฟังเฉพาะคนอายุเยอะ เป็นเพลงที่คนจะมองว่าใครฟังแล้วเชย แต่พอเยื่อไม้เอามาร้องตอนนั้นวัยเราคืออายุ 25 มันก็เลยทำให้เด็กๆ วัยรุ่นหันมาสนใจ เขามองว่าเป็นเรื่องที่ดีและแปลกที่วัยรุ่นจะมาร้องเพลงแนวนี้ พอมันมีกระแสและมันดังทุกคนก็อยากฟัง และทำให้เพลงลูกกรุงที่กำลังจะตายฟื้นมาอีก หลายบริษัทก็เลยแห่กันมาทำ เยื่อไม้ก็เลยมีอันต้องเลิกไปคุณอรวีก็ไปอยู่อีกค่ายนึง แต่ว่าผมยังอยู่ที่คีตา เหมือนเดิม แต่ว่ามาอยู่วงใหม่ในนามมะลิลา บลาซิลเลี่ยน
จากลูกกรุงสู่แนวป๊อปลาตินบราซิลเลี่ยน
ก็จะมีการปรับเปลี่ยนบ้างนิดหน่อย ซึ่งจะมีโปรดิวเซอร์เป็นคนบอก นักแต่งเพลงเขาก็จะบอกว่าให้ร้องแบบนี้ๆ การรวมตัวกันครั้งนั้นเราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย บางคีตาเขาก็จับให้มาร่วมวงกัน และมีหลายเพลงที่เป็นที่โด่งดัง อย่างเช่นเพลงปลายฟ้า ที่ผมร้องเอง ไม่อ้วนเอาเท่าไหร่ คุณเปิ้ลเป็นคนร้อง ฟองสบู่แอน อังคณาร้อง วงมะลิลา บราซิลเลี่ยน เป็นวงที่มีสีสันและแปลกหูแปลกตามากในตอนนั้น เรามีเล่นดนตรีกันด้วยแต่ว่าก็เล่นหลอกๆ จะมีวงแบ็คอัพอยู่ข้างหลังเราเล่นดนตรีเหมือนเป็นการเล่นให้เข้ากับจังหวะเพลงมากกว่า ก็เหมือนเป็นสีสันของวงเพราะมีสาวๆ สวยๆนางแบบมา คือลำพังถ้าเป็นเราคนเดียวอาจจะไม่รอดออกอัลบั้มกับ มะลิลา บราซิลเลี่ยน อยู่ 3 อัลบั้ม ส่วนใหญ่ผมก็เป็นคนร้องเกือบหมด น้องๆ จะมีมาร้องบ้าง นอกจากนี้ผมก็ยังได้มีโอกาสแสดงภาพยนตร์เรื่องเรือนแพ มีคุณหนุ่ม สันติสุข คุณรอน บรรจงสร้าง แสดงนำด้วย และผมก็ได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้คือเพลงเรือนแพ เล่นหนังเรื่องเดียวครับ คือมันคงจะไม่ใช่ทางของเราด้วยมั้ง เล่นเรื่องเดียวแล้วก็หายไปเลยไปเป็นนักร้องอย่างเดียว
การเปลี่ยนแนวเพลงและกระแสจากแฟนๆ
ออกมามันก็ดังเลยนะขายดีมีคนชอบเพราะว่าเป็นแนวที่แปลกใหม่ สามารถเต้นโยกตามไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้าถามถึงแฟนคลับเก่าๆ ของเราที่ยังชอบเราในแบบเยื่อไม้ที่เป็นเพลงลูกกรุง เขาก็อาจจะรับไม่ได้ คือเราก็จำได้กลุ่มแฟนเพลงที่เป็นวัยรุ่นและเป็นคนรุ่นกลางๆ แต่ถ้าคนที่อายุเยอะเขาก็ไม่ฟังเพราะเขารับไม่ได้ บางคนคือจะรับไม่ได้ว่าทำไมมาเปลี่ยนแนวจะมีกระแสแบบนี้ออกมาเหมือนกัน (รู้สึกท้อบ้างไหม) ไม่ท้อครับ มันก็เป็นธุรกิจของบริษัทเขา และมันก็เป็นอีกหนึ่งบทบาทของนักร้องเราก็ลองของใหม่ดูบ้าง แต่ของเก่าเราก็ยังร้องอยู่ คือไม่แปลกหรอกเพราะว่าผมไม่ได้ทิ้งหรือว่าเลิกร้องแบบลูกกรุง คือเรายังร้องอยู่
โอกาสพบปะเจอะเจอกับเพื่อนร่วมวง
ก็ยังมีอยู่ครับ นานๆได้เจอกันบ้าง ก็มีพูดคุยกัน หรือว่าตามคอนเสิร์ตตามงานก็มีเจอกันบ้าง ส่วนโอกาสที่ผมจะกลับมาทำเพลงอีกครั้งนั้นก็คิดว่าน่าจะมีครับ คือเรายังรักตรงนี้อยู่ แต่ตอนนี้เพลงมันทำยากเหมือนกันและบางทีมันก็อยู่ที่จังหวะด้วย เราเป็นนักร้องเราก็ยังอยากจะร้องเพลงอยู่ ยังมีความสามารถตรงนี้อยู่ เพียงแต่ว่าเพลงที่คนแต่งแต่งแล้วโดนหรือว่าคนที่เขามองว่ายุคนี้คุณต้องร้องแบบนี้นะ บางทีเรามองไม่รู้ว่าจะร้องยังไง บางทีไปร้องลูกกรุงแบบเดิมคนก็อาจจะเบื่อไหม หรือถ้าเราจะฉีกออกมาร้องกึ่งๆ ลูกกรุงกึ่งสมัยใหม่ และสมัยนี้ก็จะเป็นการเอาเพลงเก่ามาร้องใหม่ แต่ทีนี้มันต้องมีเพลงใหม่ที่เทียบเท่าเพลงเก่า ตรงนี้มันไม่มีเลยเป็นโจทย์ที่ยาก และอีกหนึ่งสิ่งคือทุนถ้าทำโปรเจกท์ใหญ่ๆ ต้องมีนายทุนที่ยอมทุ่มให้เรา ลำพังเราไปทำเองก็คงจะไม่ไหว งานจ้างก็ยังมีเรื่อยๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ คือยังมีคนไทยในต่างแดนที่เขายังต้องการอยากจะฟังเพลงเก่าอยู่ เป็นแฟนเพลงที่ทันรุ่นเรา ก็จะมีเชิญไปเรื่อยๆ อย่างที่วัดไทยในต่างประเทศเราก็ไปการกุศลอะไรแบบนี้นะ แต่รอบนี้ที่จะไปก็ไปทำภารกิจให้มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดีไปเผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิแล้วก็ไปช่วยวัด จะไปที่แอลเอ อริโซน่า ยูทาห์ ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งท่านจะมีโปรเจกท์หนึ่งใจให้ธรรม คือเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เป็นการให้ญาติโยมมาร่วมกันบริจาคเงิน
สารวัตรหนุ่มดีกรีดอกเตอร์
ผมเพิ่งจบปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามสาขาการบริหารจัดการด้านดนตรี ซึ่งสาขานี้ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีผมจบคนเดียว ตำรวจจบปริญญาเอกกันเยอะ แต่ว่าก็ยังไม่มีใครที่จบสาขานี้ ที่เราเลือกเรียนทางด้านนี้มันเหมือนเป็นการสานต่อครับ เพราะว่าเราเป็นนักร้อง เมื่อก่อนผมอยู่ที่ดุริยางค์ตำรวจถนัดด้านนี้ก็เลยเรียน เผื่อว่าเราจะนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้
ความในใจฝากถึงแฟนๆ
ก็ยังรู้สึกขอบคุณอยู่นะครับสำหรับแฟนเพลง เพราะถ้าไม่มีพวกท่านก็ไม่มีวันนี้ มันเป็นองค์ประกอบที่นักร้องคนนึงมาเป็นที่รู้จักของคน ถ้าไม่มีประชาชนแฟนเพลงเราก็ไม่เกิดไม่มีใครรู้จัก ผมเองก็กำลังจะสร้างผลงานกำลังหาช่องทางอยู่ว่าจะสร้างยังไง ถ้าเกิดว่าวันนั้นมาถึงก็อยากจะให้การต้อนรับผมด้วยนะครับ
และนี่ก็คือ “วิระ บำรุงศรี” นักร้องผู้มากความสามารถ ที่ขับขานบทเพลงได้หลากหลายแนวทั้งสุนทราภรณ์ ลูกกรุง ลูกทุ่ง และสตริง
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี