วันศุกร์ ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / บันเทิง
Star Retro : ‘ปอย-ณภัทร’  จากหน้าจอผันสู่เบื้องหลัง  ควบบทบาทคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว

Star Retro : ‘ปอย-ณภัทร’ จากหน้าจอผันสู่เบื้องหลัง ควบบทบาทคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว

วันเสาร์ ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2561, 14.50 น.
Tag : Star Retro ปอย ณภัทร คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว ผันสู่เบื้องหลัง
  •  

อีกหนึ่งบุคคลเบื้องหน้าที่ผันตัวสู่งานเบื้องหลัง สำหรับ “ปอย-ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา” กับประสบการณ์ที่ค่อยๆ เก็บเกี่ยวจนวันนี้เขากลายเป็นผู้กำกับการแสดงที่น่าจับตามอง “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” มีโอกาสพบเขาในงานเปิดตัวซีรี่ส์ “I Sea youฉันรักทะเล...ที่มีเธอ” ซึ่งเป็นผลงานการกำกับล่าสุดของหนุ่มปอย จึงถือโอกาสพูดคุยย้อนเรื่องราวชีวิต และที่มาที่ไปของการเบนเข็มมารับงานเบื้องหลัง

งานประจำในวันนี้


ที่ผมกำกับละครเสร็จไปแล้ว และกำลังออกอากาศอยู่ทางช่อง True4U ก็คือเรื่อง “I Sea you ฉันรักทะเล...ที่มีเธอ” แล้วก็มีไปช่วย “แดน” (วรเวช ดานุวงศ์) เรื่อง “30 กำลังแจ๋ว เดอะซีรี่ส์” และเล่นด้วย แล้วก็มีไปช่วย “พี่ผิน” (ผิน เกรียงไกรสกุล) ในตำแหน่งผู้ช่วย บางทีผมก็รู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้กำกับ เราก็ไปหาคนที่เขามีวิธีการเล่าเรื่องเก่งๆ ไปฝึกฝีมือซึ่งผมยอมอยู่แล้ว เพราะว่าผมไม่ได้มีอีโก้ว่าเราต้องกำกับทุกเรื่อง คือผมเลือกที่จะไปทำงานร่วมกับใคร อย่างพี่ผินเขาเป็นคนที่อธิบายซีนได้เก่งผมก็จะไปเอามาบางส่วนที่เราต้องเพิ่มในการกำกับของเรา เรามีข้อด้อยข้อเสียของเรา เรารู้ตัวอยู่แล้ว เราก็จะไปเพิ่มตรงนั้น เหมือนไปเปิดโลกทัศน์เพิ่มเพื่อที่จะได้เอามาเสริมใส่ในงานของเรา พี่ผินก็บอกว่ารู้เลยว่าเรามาเอาวิชา (หัวเราะ) แดนก็เหมือนกันไปทำกับเขา บางทีแดนติดธุระผมก็ทำแทนบ้าง อย่าง 30 ยังแจ๋วผมก็สลับไป-มา เหมือนเป็นบัดดี้กัน เพราะว่าผมก็จะเข้าใจบทที่เขียนกันมา เราอ่านด้วยกันและบางทีเขาก็ปล่อยให้ผมบรีฟไปเลย เรียกว่าค่อนข้างรู้ทางกันกับแดน สิ่งไหนที่บกพร่องเราก็จะมาแก้ไขกัน เพราะว่าระยะเวลาการทำงานของผมกับแดนเราต้องนับไปตั้งแต่สมัยวัยรุ่นเลยนะ

จุดเริ่มต้นการเป็นผู้กำกับการแสดง

“I Sea you ฉันรักทะเล...ที่มีเธอ” ถือเป็นงานกำกับเรื่องที่ 3 ของผมครับ ก่อนหน้านี้คือผมกำกับหนังเรื่อง “The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ”และมี “ซิ่งรักทะลุมิติ” ทางTrue4U ที่ผมมาทำงานเบื้องหลังเนี่ย เหตุผลเลยคือผมนั่งอยู่ในกองละครกับแดน เราก็คุยกันเรื่องบทว่าถ้าเป็นแบบนี้น่าจะสนุกนะ ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบดูซีรี่ส์ดูหนังอยู่แล้ว เราก็คุยกันแล้วแดนก็ถามว่าเขาจะไปทำเบื้องหลัง เราจะไปทำด้วยไหม ผมก็บอกว่าเราคิดเหมือนกันเลย โดยที่เราก็เริ่มจากการคิดอะไรที่มันฟุ้งๆ เราทำหนังสั้นไหม คนในกองเขาก็มองว่า 2 คนนี้มันก็คงคุยกันไปงั้นแหละ แต่เราก็เริ่มกันเลยครับ และผมก็อยากจะเป็นผู้กำกับ แต่การที่เราจะเป็นผู้กำกับเลยมันก็กระไรอยู่ อยากรู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นยังไงก็เลยเริ่มไปทำผู้ช่วยก่อน บางคนเขาเป็นนักแสดงแล้วกำกับเลยก็ได้ แต่ผมแค่อยากรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่าที่ผมเห็นทั้งที่ผมออกกองนะ คือผมอยากเห็นอีกมุมมองหนึ่ง ที่เราว่าน่าจะไม่ยาก แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้วโอ้โห! เหนื่อยมาก วันแรกหยิบจับอะไรมั่วไปหมด ต้องกลับมาตั้งสติใหม่ เหมือนเราเล่นละคร มันจะมีสเต็ปของมัน ก็ค่อยๆ ทำไป หลังจากนั้นก็เริ่มมาพัฒนา คุยกันเรื่องบท ไปศึกษาเรื่องบทเรียนรู้กันหาหนังสือมาอ่านศึกษากันเอง แดนเขาจะมีสไตล์หนังของแดน ผมก็จะมีสไตล์หนังของผม แล้วก็เปิดหนังดูว่าประมาณนี้มันจะมีกี่องค์ เมื่อก่อนไม่รู้จักคำนี้ เราก็ศึกษาและเอามาเทียบกับสิ่งที่เราทำ ข้อดีก็คือเราได้ลงมือทำก่อนแล้วกลับมาศึกษามัน เลยเก็ตเร็ว ซึ่งตอนแรกที่ทำเอ็มวีไป มันเหมือนฟลุก คือเราดันไปทำในสิ่งที่ตรงกับคอนเซ็ปต์ และเอาพวกนี้มาเสริมในสิ่งที่เรามีอยู่ เลยทำให้รู้ว่าถ้าเราเริ่มต้นจริงๆ แล้วเรามาผิดทางเลย เพราะว่าเราต้องเริ่มต้นจากบทก่อน เพราะว่าบทมันคือหัวใจของเรื่อง

ลุยงานเบื้องหลังอย่างเต็มตัว

งานแรกที่ทำคือไปเป็นผู้ช่วย 3 ให้กองคนนู้นคนนี้นอกจากพี่ผินแล้วก็ยังมี “ พี่กบ” ซึ่งเราจะสลับกันตอนผมกำกับ ผมก็เรียกพี่กบมาช่วย แล้วก็มี “พี่อ๊อด-บัณฑิต” และแดน ก็ศึกษาของทั้ง 4 คนนี้ว่าสไตล์ของแต่ละคนเป็นแบบไหน แล้วเวลาออกกอง ตอนเป็นนักแสดง เราก็จะเจอผู้กำกับหลายแบบ เราก็จะมาดูว่าอันนี้ดี อันนี้เหมาะกับเรา หรืออันนี้อาจจะไม่เหมาะกับเราแต่มันดีมากเลย เราก็ปรับๆ ไปให้มันเข้าไปในทางนั้น โดยรวมแล้วคือผมทำเบื้องหลังทั้งหนัง ละคร โฆษณา เอ็มวี ก็ทำมาร่วมๆ 6 ปีแล้วครับ เฟสตัวเองจากงานเบื้องหน้าไปทำเบื้องหลัง ซึ่งก็ไม่ได้หายไปไหนเลยครับ แล้วหลังๆ จะมีแจมเบื้องหน้ามาแสดงบ้าง คือมันเหมือนช่วงแรกเรากำกับเขา เราก็จะไม่ไปเล่น แต่ตอนหลังผมก็อยากลิ้มรสจังหวะของการเล่น เผื่อเราจะเอาไปเพิ่มในการกำกับได้ด้วย ถ้าเราลองกลับไปเป็นนักแสดงในจังหวะแบบนี้ ตัวละครคิดแบบนี้จะเป็นยังไง เพิ่มสกิล ผมบอกเลยว่าเรียนรู้ไม่จบหรอกครับ ถ้าราเหยุดมันก็เหมือนเราจบ เหมือนดูซีรี่ส์ผมดูหมด รวมทั้งข่าวต่างๆ ถ้าเราไม่ได้ดูมันก็เหมือนเราล้าไปพวกหนังซีรี่ส์มันมีไอเดียแล้วก็มีสไตล์

สไตล์การกำกับในแบบของ “ปอย-ณภัทร”

ผมเป็นคนที่มี Energies สูงมาก มากๆ ด้วยเคยไม่พักกินข้าวเที่ยงเลยก็มี คือพอเราทำงานแล้วเห็นซีนที่มันสนุกจะรู้สึกเอ็นจอย ไม่อยากจะหยุด อยากถ่ายตรงนี้ต่อ เหนื่อยนิดหน่อยแต่ผมก็จะมีแซวคนนั้นคนนี้ไม่ได้โหดครับ เมื่อก่อนผมเคยโหด เรื่องแรกๆ คือไม่ใช่โหดเพราะว่าไปโวยวาย แต่ว่าผมอยากได้อะไร ผมก็ต้องเอาพอหันไปมองข้างหลังผมไม่มีคนเลย เพื่อนกันด้วยซึ่งเขาก็ไม่อยากจะบอก ไม่อยากจะเตือน ผมก็ไม่รู้ตัวนะจนหลายคนเขามาบอกว่าเนี่ยเราเป็นแบบนั้นแบบนี้นะ เราก็ตกใจว่าจริงเหรอ เราไม่รู้ตัวเลย ผมไม่ได้โกรธเขานะ คือผมแค่โฟกัสเรื่องงาน แล้วหน้าผมเวลาดุมันก็เครียด ผมก็เลยค่อยๆ ปล่อย ลองสบายๆ สิ แต่พอสบายไปก็จะเกิดเหตุการณ์ชิลไป ถ้างั้นเรามาครึ่งหนึ่ง พอเริ่มหาจุดที่มันโอเค ก็รู้สึกว่ามันเวิร์ก กองไม่เครียดทุกคนเต็มที่ นักแสดงพร้อมที่จะมาเล่น ทีมงานแฮปปี้ เราแฟร์กับเขา เขาก็ยิ่งให้อะไรมากกว่าที่ผมคิด ตากล้องที่ผมถ่ายด้วยเราสนิทกันมาก อย่างเวลาผมไปกำกับเอ็มวี “พี่ยอ” ตากล้องเขาก็ไปช่วย โดยที่ไม่คิดตังค์ แต่ก็ไม่บ่อยนะ คือนานๆ เรามาจอยกัน มันก็รู้สึกสนุก เราหาวิธีการถ่ายทำจนเรามาเจอมูจิสไตล์ที่มันทิ้งสเปชเฟรมอย่างที่เราใช้ในเรื่องนี้

สิ่งที่คิดฝันไว้ก่อนจะมาถึงจุดนี้

ต้องพูดจากใจจริงแบบไม่อ้อมค้อมเลยว่าตอนแรกไม่อยากเป็นดารา แค่มาทำแล้วได้ตังค์เยอะ แต่เราก็เริ่มซึมซับว่าเราได้ตังค์แล้วเราสนุก มันได้เล่นนะไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง เหมือนเราเล่นเกมซึ่งมันสนุก ก็เล่นร้ายบ้างคอเมดี้บ้างเป็นเด็กวัยรุ่นขำๆ หลังๆ ก็เริ่มศึกษา เริ่มรู้สึกว่าอาชีพนี้เรารักมันเลยล่ะ และผมเริ่มเห็นทีมงาน เห็นเบื้องหลังที่เขาทำงานผลิตในสิ่งที่ผมทำอยู่ เหมือนเรานั่งดูหนังที่เราชอบ แล้วเรารู้สึกว่าการทำงานมันยากนะ เพราะเราดันรู้เบื้องหลังของไทยด้วยว่ามันยากนะ กับซีนหนึ่งที่จะต้องเดินโผล่ออกมา เราถ่ายทั้งวัน แต่โผล่มาแป๊บเดียว แต่โมเม้นท์นั้นที่คุณถ่ายนานแต่คนยิ้ม ผมพอใจมาก ผมก็เลยรู้สึกว่าอยากลองมาทำเบื้องหลังอยากกำกับ ก็ตั้งเป้าไว้ว่า 5 ปี จะทำให้ได้แล้วก็ทำได้ก่อนด้วย

ย้อนวันวานก้าวแรกในวงการบันเทิง

โอ้โห! ลืม (ยิ้ม) คือจริงๆ ก็ประมาณ อายุ 19-20 ตอนนี้ผมอายุ 38 แล้ว ตอนแรกกะทำงานแค่ 2 ปี จุดเริ่มต้นของผมต้องบอกว่าตลกมาก คือเขาให้ไปแคสโฆษณา แล้วก็มีโมเดลลิ่งนะ นึกไปสมัยนู้นยุค 90 ของเรา (หัวเราะ) เขาก็ให้ไปถ่ายรูปเก็บไว้ ซึ่งผมก็ไม่ไป ไม่ได้กลัวแต่คือผมก็เตะบอล เป็นเด็กช่าง เรียนวาดรูปเรียนศิลปะของผมไป ก็มีคนมาขอเบอร์ คือเป็นโมเดลลิ่ง แล้วเขาก็โทร.เรียกให้ไปถ่ายรูปเก็บไว้ เราก็ขี้เกียจ รู้สึกไม่โอเคจนวันหนึ่งก็มีอีกงาน เขาก็บอกว่าลองไปแคสหน่อย ผมก็ยังเข้าใจว่าการไปแคสคือโมเดลลิ่งไปถ่ายรูป แต่พอเข้าไปคือคนเต็มเลย พ่อก็ขับรถไปส่งด้วย เขาให้ไปถ่ายรูปเราก็ไป และเขาก็ให้ทำท่าทางเวลาดื่มโค้ก คือน้ำอัดลมครับ ผมก็โอเคทำไปเต็มที่ให้จบๆ ก็แคสคนสุดท้ายเลย พอจบเสร็จก็กลับบ้าน หลังจากนั้นเขาก็โทร.มาบอกว่าเราได้นะ ให้ไปถ่ายที่กาญจนบุรี คืออะไรเนี่ย งง..แต่ก็ไปนะไปถึงก็มีคนมาแต่งหน้าเรา แล้วทำไมเราไม่ได้ไปนั่งอยู่กับคนอื่นที่เป็นเอ็กตร้า ก็ถ่ายไปเสร็จจบ ได้ตังค์กลับบ้านก็ยัง งงๆ หลังจากนั้นเขาก็บอกว่ามีงานอีก ไม่ต้องแคส เขาชอบ ก็เลยเริ่มเข้าใจว่ามันคือการแคสติ้งเพื่อไปถ่ายโฆษณา ก็ต้องเข้าใจว่าเราไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ไม่ได้สนใจงานบันเทิงเลย ทำมาปีหนึ่งก็ว่าจะพอแล้ว แต่ก็ดันมีละครเข้ามา เรื่องแรกคือ “น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์” ก็กลัวเหมือนกันว่าจะทำได้ไหม เพราะว่าบทพูดเยอะด้วย แต่ก็อ่ะ ทำไป จะได้จบๆ แต่เต็มที่นะ เล่นไปตามความเข้าใจของเราไม่เคยไปเรียนการแสดงที่ไหน แต่เขาก็ชอบกัน หลังจากนั้นก็คิดว่าจะต้องเลิกแล้วน้องใหม่ฯ เพราะว่ามันเล่นยาวจังเลย แล้วพี่ที่ธันเดอร์ “พี่ตุ๊ก” ก็เรียกมาว่ามีละครเรื่อง “วิมานกุหลาบ” เราก็ได้ไปเวิร์กช็อป ซึ่งอันนี้ทำให้เราเข้าใจว่าบทละครมันคืออะไร มาเข้าใจเรื่องที่ 2 แล้วก็เล่นเต็มที่ หลังจากนั้นก็ได้เล่นของธันเดอร์เรื่อยๆ และได้มาเล่นอาร์เอส จนได้มาเจอกับแดน ซึ่งจริงๆ เขาเป็นเพื่อนกับน้องชายผมนะ คือน้องชายผมเป็นคนเขียนบทเรื่อง“I Sea you ฉันรักทะเล...ที่มีเธอ” พอเราได้มาเล่นด้วยกันถ้าเราไม่ทักไม่คุยกัน มันก็จะยังไงอยู่ ก็เลยกลายเป็นเพื่อนกันมาสิบกว่าปี (หัวเราะ)

สิ่งที่ได้จากวงการบันเทิง

อย่างแรกเลยให้ตังค์ (ยิ้ม) ชัดเจนเลย ผมเป็นคนชัดเจนอยู่แล้ว ให้อาชีพให้มิตรภาพ อันนี้เรื่องจริงผมกับแดน แล้วก็น้องชายผมด้วย แล้วก็ทีมงานหลายคนที่ผมร่วมงาน แล้วยังร่วมกันต่อ หรือแม้แต่พี่ๆ หลายคนที่มาร่วมแสดงให้ ทุกคนมาเต็มที่ วันหนึ่งเราทำงานแล้วเราเหนื่อยแต่เราหันกลับไปมอง อ้าวนี่ก็เพื่อนเรา พี่เราน้องเราซึ่งมันแฮปปี้มาก ในความรู้สึกผมแล้วเราพร้อมที่จะช่วยกันอีกอย่างก็คือทำให้เรามีฐานะขึ้น นี่แหละคือสิ่งที่ผมได้ แล้วมันทำให้ผมได้เรียนรู้ในวงการว่ามันเป็นวิชาหนึ่งเลย การกำกับการแสดง เราอย่าไปมองแค่การกำกับ ซึ่งมันมีตำรานะที่เขาทำกันมา เราก็เหมือนเป็นนักศึกษาคนหนึ่งและได้สนองความต้องการ การวาดรูปของผมโดยการมาถ่ายทอดออกมาเป็นละคร

มองว่าน่าจะยึดเป็นอาชีพตั้งแต่เมื่อไหร่

ตอนเป็นดาราไม่ได้คิดนะ เราก็สนุกๆ คิดว่าสักวันก็เลิกแล้ว ไปทำอย่างอื่น เริ่มมาคิดตอนที่อยากมาทำเบื้องหลังนี่แหละ ตั้งเป้าไว้เลยว่าทำไมจะทำไม่ได้ เราต้องทำให้มันเป็นอาชีพอยากเป็นผู้กำกับให้ได้ แล้วพอได้ปุ๊บเราจะทำยังไงให้มันอยู่ยาว จริงๆ ตอนเด็กผมฝันว่าอยากจะเป็นศิลปินวาดรูปการ์ตูนนะ อยากเป็นนักเขียน ซึ่งผมก็ยังฝันอยู่

มุมมองของคนในครอบครัว

แม่ก็บอกว่าโอ้ย..ทำได้ด้วยเหรอ แล้วเขาก็จะคุยเรื่องอื่นไป เขาจะเฉยๆ ส่วนพ่อก็เออ..ทำไปดีๆ แล้วก็คุยเรื่องอื่น เขาจะถามดาราคนนั้นเป็นยังไง จริงๆ เขาก็บอกว่าให้เราทำอะไรเต็มที่อย่ายอมแพ้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของคนเป็นพ่อเป็นแม่ แล้วผมมีลูกสาวแล้วไง (ไปมีครอบครัวตั้งแต่เมื่อไหร่?) นานแล้วครับ แต่ว่าผมมีแต่ลูกนะ ส่วนแม่เขาเราก็เลิกรากันไป ก็เลยเอาลูกสาวมาเป็นแรงบันดาลใจผมเลี้ยงลูกคนเดียว หนังเรื่องแรกก็เลยอยากทำหนังที่เกี่ยวกับพ่อลูก แต่มันมีวิธีไหนที่จะทำให้สนุกบ้างนะ ก็คิดๆ วันหนึ่งผมเดินกลับบ้านก็เห็นรายการหนึ่ง ก็ได้แรงบันดาลใจว่าถ้ามีพ่อห่วยคนหนึ่งที่เอาตังค์ที่ลูกเก็บไปซื้ออย่างอื่นที่มันงี่เง่า แล้วลูกก็อยากไปดูศิลปิน เรื่องมันก็คงวุ่นวายดีนะแทนที่จะเป็นหนังพ่อลูกทั่วไปก็เลยเกิดเป็นไอเดียนี้ทำเรื่อง “The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ” ส่วนลูกผม เวลาที่ผมทำงานเขาก็จะถามนะว่าพ่อปอยรู้จักคนนั้นคนนี้ไหม คือเขามีเพื่อนกลุ่มยูทูบของเขาที่จะตามดูเขาจะมีเวลาของเขาดูเสร็จผมก็พาไปเล่นดินปลูกต้นไม้เล่นบาส แล้วก็จับลูกสาวตัวเองมาแสดงด้วย (หัวเราะ)

บทบาทการเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว

ผมว่าไม่เกี่ยวนะ เขาคือลูกเราก็เลี้ยงมาก็จบ อย่าไปคิดเยอะ รู้ว่ามันเหนื่อย แต่ก็ไม่เห็นเป็นไร เรายังเลี้ยงเพื่อนได้เลย แล้วนี่เลี้ยงลูกคนเดียวทำไมจะเลี้ยงไม่ได้ แต่ว่าก็จะมีคุณพ่อคุณแม่ผมช่วยเลี้ยงอยู่แล้ว ถ้าผมมีงานก็ไปทำงาน กลับบ้านมาก็จะพาเขาเล่นแล้วเขาจะชอบ “พี่ไอซ์-ปรีชญา” ผมก็จะพาเข้าไปกองด้วย เขาจะไม่ค่อยพูดชื่อว่าชอบดาราคนไหน พอเขาพูดเราก็เลยพาเขาไป แล้วก็จะมีพาไปกองนู้นกองนี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้สึกลำบาก รู้สึกมันหายเหนื่อย มาถึงกระโดดขี่คอพ่อ เออก็ยังดี 8 ขวบยังกอดเราอยู่ แล้วก็นั่งคุยกันผมจะถามเขาว่าไปโรงเรียนมีอะไรไหม เล่นอะไรกัน ถามเขาเหมือนให้เขานั่งเล่ามา ผมเป็นคนเลี้ยงลูกแบบสบายๆ เขาอยากเป็นอะไรก็แล้วแต่เขา ถ้าอยากจะเป็นนักแสดงก็เป็น ในเรื่องนี้เขาก็เล่นนะ พาคุณปู่คุณย่ามาเล่นด้วย เหมือนเป็นเอ็กตร้าผมเห็นว่าถ่ายใกล้บ้านก็เลยเรียกมา

ไม่ได้รู้สึกว่าความเป็นวัยรุ่นหายไป

ตอนนั้นผมก็ 30 แล้วนะ ก็ถือว่าโตแล้ว ไม่ได้เครียดอะไร เราก็ได้เริ่มวางแผนชีวิตตัวเองว่าจะทำอะไร มีลูกเราก็ต้องรับผิดชอบ ซึ่งผมก็อยากมีด้วย โอเคไม่มีแม่ เราก็ต้องพูดให้เขาเข้าใจ เขาก็โอเค นานๆ ไปเจอกันได้ เราก็ให้แต่ว่าก็ไม่ได้สปอย หมายถึงว่าให้ในสิ่งที่เขาขาด วันแม่ที่โรงเรียนเขา บางทีผมก็ไปบ้าง แม่ผมก็ไปด้วยอะไรแบบนี้หรือบางทีกีฬาสีก็จะไปเชียร์ ชีวิตผมแฮปปี้ดี เลี้ยงลูกไปทำงานที่เรารักไป ก็แค่นี้แหละ ทำงานเสร็จกลับบ้าน มาเจอลูกเจอครอบครัวก็มีแค่นี้ เพราะว่าตอนวัยรุ่นสีสันผมเยอะมากแล้ว (ยิ้ม) พอมันถึงจุดหนึ่ง มันก็จะห่างๆ คือก็มีกินเที่ยวบ้าง แต่ว่ากินก็กินบ้าน เพื่อนนั่งกันเงียบๆ คุยกันเรื่องงาน เป็นไปตามอายุครับ

อนาคตที่เป็นไป

ผมก็จะลองทำโปรเจกท์อะไรใหม่ๆ อาจจะลองอะไรที่พิสดารขึ้นนอกจากกำกับอย่างเดียว เดี๋ยวไปคิด กำลังเตรียมพร้อมอะไรบางอย่างอยู่ แล้วก็อาจจะมีไปทำไวรอลของน้องสาว แล้วก็ยังคงทำกำกับนี่แหละต่อไปเพียงแต่ว่าเราจะเพิ่มเติมอะไรขึ้นมากกว่าเดิม เพราะรู้สึกว่าตอนนี้ยังไม่พอ หมายถึงตังค์นะ (หัวเราะ) ไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบ้าน ค่ารถ ค่าเรียน ค่านมลูก ก็ฝากแฟนๆถ้าเจอกันก็ทักทายกันได้ว่าเป็นยังไง เหมือนได้เจอเพื่อนเก่ารำลึก เอ๊ะ! เคยเล่นเรื่องนี้นี่นา แต่ตอนนั้นผอมกว่านี้นิ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนี้ (ยิ้ม) ก็เข้ามาคุยกันได้ทักทายกันได้หรือว่าชอบในทิศทางของผู้กำกับ ชอบเรื่องนี้ไม่ชอบเรื่องไหน ก็เข้ามาคอมเมนท์ได้ครับคือผมก็ยากรู้เหมือนกันว่าเขารู้สึกยังไง เม้นท์มาเถอะ บางทีคอมเม้นบางอย่างมันฮานะ ผมก็เอามาใช้ในบทด้วย ซึ่งเราก็ได้ไอเดียจากตรงนี้แหละ

เรียกว่าไม่หยุดที่จะสร้างสรรค์และพร้อมที่จะพัฒนาผลงานอยู่เสมอ เพราะนี่คือสิ่งที่เขารักและยึดเป็นอาชีพ ควบคู่กับอีกหนึ่งหน้าที่ของการเป็นคุณพ่อที่ “ปอย-ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา” ไม่ได้ขาดตกบกพร่องเลย

กุหลาบสีเงิน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

นายกฯ เข้าบ้านพิษณุโลก เรียก'รมว.กลาโหม -ผบ.ตร.-ปลัดมท.'สางไฟใต้

โลกจับตาบินรบ‘จีน’ หลังถูกใช้โดยปากีสถานสอยเครื่อง‘ฝรั่งเศส’ของอินเดียร่วง

'ดิว อริสรา'เคลื่อนไหวแล้ว! โพสต์เศร้าถึง'คุณพ่อวิชิต' คนในวงการส่งกำลังใจแน่น

'บิว'นำทัพ!กรีฑาลุยศึกใหญ่‘WorldRelay’ล่าตั๋วชิงแชมป์โลก

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved