สัปดาห์นี้ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้ามีนัดพิเศษ ในบรรยากาศสุดชิล ณ ร้านอาหาร ช.ประทุมทอง ของนักแสดงสาวอารมณ์ดี “ปุ้ย-อรัญญา ประทุมทอง”โดยเธอได้เล่าถึงที่มาที่ไปของธุรกิจที่ทำร่วมกับครอบครัว พร้อมบอกเล่าเรื่องราวในวันวานที่ประทับใจของเธอให้เราได้หายคิดถึงกัน
“ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่ร้าน ช.ประทุมทองสาขา 2ชื่อเต็มๆ ว่า Forty and Four By ช.ประทุมทองอยู่ถนนอัษฎางค์ริมคลองหลอดใกล้กับวังสราญรมย์ ซึ่งสาขานี้เปิดมาได้ 8 ปีแล้วค่ะ ส่วนสาขาแรกอยู่ถนนหน้าพระลาน ตรงข้ามวัดพระแก้ว ซึ่งตรงนั้นเปิดมา 26 ปีแล้วเป็นตึกแถว ปุ้ยเกิดที่ร้าน ช.สาขาแรกอยู่ตั้งแต่สมัยคุณปู่คุณย่า แต่สาขา 2 มาเช่าเขาเพราะว่าตอนนั้นมีการปรับปรุงตึกแถว ก็เลยหาที่พักอาศัยใกล้ๆ”
จุดเริ่มต้นของการทำร้านอาหาร
คือร้านเดิมคุณปู่คุณย่าจะทำเป็นร้านตัดผมผู้ชาย คุณปู่ตัดผม แล้วคุณย่าก็จะขายลอตเตอรี่อยู่หน้าบ้าน เลี้ยงพวกเราหลานๆ 4 คนพี่น้อง แล้วพอพวกเราโต คุณปู่คุณย่าก็เริ่มยืนไม่ไหว คุณย่าก็ป่วยจนท่านเสีย เหลือคุณปู่คนเดียว เราก็ปิดบ้านมาตั้งนานจนพวกเราเรียนจบ พี่สาวก็เลยคิดว่าจะทำอะไรดีก็เลยเริ่มจากขายข้าวแกงก่อน ขายหน้าบ้านทำกันเองพี่น้อง 4 คน แล้วก็มีแม่ทำด้วย ทำไปทำมานักศึกษาเยอะรวมทั้งข้าราชการที่ทำงานละแวกนี้ก็มากินกันเยอะก็เลยค่อยๆ ขยายเป็นร้านอาหาร ไปๆ มาๆ เราก็อยู่ได้ เลยทำมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ แต่ปุ้ยทำอาหารไม่เป็นหรอกก็เสิร์ฟ เป็นแคชเชียร์ เปิดเพลงค่ะ
ในฐานะราษฎรของพระราชาอาณาเขตอยู่ใกล้วัง
ตั้งแต่เด็กเราก็จะสัมผัส แล้วก็ซึมซับกับราชวงศ์ทุกพระองค์ สถานที่ที่เราอยู่ก็เป็นที่เก่าแก่ เราก็ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ยังไงแผ่นดินนี้ หรือว่าบ้านที่เราอยู่ ก็เหมือนเป็นของท่าน (น้ำตาคลอ)เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสวรรคต เราก็คิดว่าที่บ้านเราจะทำยังไงเพื่อตอบแทนพระองค์ท่านให้มากที่สุด เราก็เลยจะบอกทุกคนในบ้านว่าประชาชนทุกคนที่มากราบในหลวง คือแขกของในหลวงหมด ถ้าเขามาขอเข้าห้องน้ำ ให้เขาเข้าเลย พูดจากับเขาดีๆ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เขา ส่วนตัวปุ้ยเอง รู้สึกว่าเราอยู่ตรงนี้นะถ้าเราทำอะไรได้เราก็จะทำ เลยร่วมกับเพื่อนๆ ช่วยกันรวบรวมเงินเล็กๆ น้อยๆ ซื้อของมาแจก ทำข้าว มียาดมยาหม่องยากันยุง เราก็จะขับมอเตอร์ไซค์ไปช่วยกันแจกเห็นพวกพี่มอเตอร์ไซค์ที่เขาเป็นจิตอาสา เราก็เลยลองมาทำจิตอาสาร่วมกัน เป็นมอเตอร์ไซค์วินรับ-ส่งคนที่มากราบในหลวง โดยไม่รับสตางค์ ของปุ้ยจะอยู่ที่ประตูเทวาภิรมย์ทางออกพอดี ทำทุกวันเลยค่ะตั้งแต่วันที่ 14 ตุลา จนถึงวันสุดท้าย 26 ตุลาถ้าพูดถึงในหลวงทีไรปุ้ยก็จะอ่อนไหวทุกทีค่ะ น้ำตาไหลคือเราก็ระลึกถึงท่าน เราเกิดและเติบโตมาในแผ่นดินของพระองค์ท่าน ถ้าเกิดย้อนถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 หลายคนก็จะเป็นเหมือนเรา ปุ้ยอยู่ตรงนี้สามารถช่วยพี่น้องคนไทยด้วยกันได้เยอะเลยค่ะ
ชีวิตในวันนี้
นอกจากธุรกิจร้านอาหารแล้ว งานแสดงก็ยังรับอยู่นะคะ ละครที่เพิ่งจบไปก็เรื่อง “เสน่หามายา” ของทางช่อง 7 ที่กำลังถ่ายทำก็มี “พชรมนต์ตรา” ช่อง 7 เหมือนกันค่ะ ยังคงใช้ชีวิตโสดแบบนี้ (หัวเราะ) อยู่คนเดียวให้มันเป็นสุขค่ะ ไม่ประกาศรับใครแล้ว เพราะสุดท้ายแล้วอยู่คนเดียวดีที่สุด สัจธรรม อยากจะทำอะไรก็ทำ ไปไหนก็ได้ เงินก็ใช้คนเดียว ถ้าเกิดว่ามีคนมาแต่เข้ามาเบียดเบียนเงินเราไม่ดีแน่นอน ถ้าเขามาให้เรานี่สิโอเค (คุณแม่แอบหวงลูกสาวไหม?)ไม่รู้ว่าหวงหรือเปล่า แต่ว่าจะชอบบอกใครๆ ว่าลูกสาวยังไม่มีแฟน บางทีเราก็แบบ..แม่จะพูดทำไมเนี่ยแต่ด้วยความที่เราอยู่บ้านด้วยกัน เวลาจะไปไหนไปต่างจังหวัด ก็จะบอกเขาหน่อย เขาก็จะไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ คนอยู่ใกล้ เหมือนเราอยู่ด้วยกันตลอด ก็เลยไม่ค่อยหวานเท่าไหร่ค่ะ
ชีวิตตอนนี้ถือว่าแฮปปี้นะคะ จะกลัวอย่างเดียว
ก็คือโรคภัยไข้เจ็บ ที่พอเราอายุเยอะแล้วจะกินอะไร เราก็ต้องระวัง ต้องออกกำลังกาย แต่ถ้าทางด้านจิตใจ ถือว่าโอเค เพราะว่าปุ้ยเป็นคนอารมณ์ดีไม่ค่อยเครียด สิ่งสำคัญก็คือจิตใจวิธีคิดของเราที่คิดบวกเอาไว้ เหมือนสะกดจิตตัวเองบางทีเราอาจจะรู้สึกเครียด รู้สึกว่าทำไมวันนี้มันแย่จัง แต่ถ้าเราอยู่กับตัวเอง สะกดจิตตัวเองว่าวันนี้เป็นวันที่ดี เราโชคดีที่เกิดมาสองขา เดินได้ มีฟันไว้เคี้ยว มีตาที่สวยงามมองโลก ถ้าเราคิดดีว่าเราโชคดีที่ครบ 32 เราจะเป็นสุข และไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร ถ้ามีโอกาสได้ไปปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ก็เป็นสิ่งที่ดี แล้วเราก็ต้องทำตัวเองให้แข็งแรงด้วย อย่าเป็นคนอ้วนที่อุ้ยอ้าย ไปไหนมาไหนคนพอจำได้ บางคนก็จะบอกว่า “พี่อินบูโดกัน”ใช่ไหมคะ บางทีก็...ใช่พี่ที่เล่นเป็นยักษ์ใช่ไหมคะ บางทีก็ยอมรับไปว่าใช่ แล้วบางคนก็ขอให้เราร้องเพลงให้ฟังด้วยนะ พอร้องไปก็ยังเชื่ออีก สรุปแล้วแต่จะเรียกแล้วกันค่ะ (ยิ้ม) ใจก็อยากจะเล่นไปเรื่อยๆ ถ้าเรายังมีแรง ยังขับรถได้ ยังจำบทได้เหมือน “มี๊-พิศมัย” เรารู้สึกเหมือนกันนะพอเราอายุเยอะแล้วเนี่ย อย่างเมื่อก่อนเราดูบทรอบสองรอบเราจำได้ แต่พออายุเยอะแล้ว ต้องดูเกินสิบรอบ ทำการบ้านเยอะกว่าเดิมทุกวันนี้เป็นแล้วค่ะ ก็เลยภาวนาว่าชีวิตนี้ขอให้เราสุขภาพแข็งแรง ทำงานได้ ขับรถได้ อ่านบทได้แล้วก็เล่นละครได้
บอกเล่าเรื่องราวในวันวาน
เมื่อก่อนปุ้ยอยากเป็นแดนเซอร์นะคะ คือเป็นคนชอบเต้นมาก เรียนวิทยาลัยนาฏศิลป์เรียนรำละคร และเป็นคนที่เจ้าเนื้อมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ออกงานกับเขา เพราะไม่มีชุดใส่คือเราอ้วน จะเล่นเป็นตัวอะไรนอกจากนางยักษ์ (หัวเราะ) แต่จริงๆ แล้วเราเป็นคนที่กล้าแสดงออก ชอบร้องรำทำเพลง ก็เลยไปสมัครเรียน ครั้งแรกไปสมัครของภัทราวดี ได้รู้จักเพื่อนในก๊วนก็เลยพากันไปสมัครนักเรียนการแสดงช่อง 3 ซึ่งรุ่นนั้นเขาเปิดเต้นด้วย เราก็เลยได้เรียนเต้น เรียนฟรีไม่เสียสตางค์ เท่ากับว่าเราแหย่ขาเข้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว ได้ไปเต้นตามงานทีวี. เต้นให้กับ “ครูอ้วน-มณีนุช” “พี่ต้น-สุชาติ” ตอนนั้นอายุประมาณ 20 จริงๆ เป็นคนเต้นเก่งมากนะคะ (ยิ้ม) ชอบเต้นมาก แล้วพอเราเข้ามาก็ได้ถ่ายโฆษณา ได้มาเทสละครของกันตนาเป็นสังกัดแรกที่ได้เข้า เล่นเรื่อง “สายฟ้าสลาตัน” เป็นละครตอนเย็น ต่อมาก็ได้เล่น “สี่แยกนี้อายุน้อย” ของ “อาจิ๋ม-มยุรฉัตร” ทางช่อง 3แล้วก็มาเล่น “กัลปังหา” ของ “พี่ไก่-วรายุฑ” ขยับมาเรื่อยๆ เล่นเป็นเพื่อนนางเอกเป็นนักศึกษา ส่วนใหญ่จะเล่นเป็นสาวอารมณ์ดี ช่างพูดกินเก่ง แต่เล่นไปเล่นมากลายเป็นคนใช้ซะงั้น (หัวเราะ) มีคนแซวว่าอีกหน่อยคงเป็นคุณท้าว
เป้าหมายที่วางไว้ในวันนั้น
คืออยากจะเป็นแดนเซอร์ค่ะ “พี่บี๋-วัฒนวิสิทธิ์สวัสดิวัตน์” เป็นคนสอนให้เราก็เรียน คืออะไรที่มีการเรียน ยิ่งไม่เสียเงิน เราก็ยิ่งชอบ ชอบไปศึกษาหาความรู้เก็บสะสมประสบการณ์ แต่พอมาเป็นนักแสดงเราก็ไม่ค่อยได้เต้นแล้ว เพื่อนฝูงที่เต้นอยู่ตอนนั้นมันก็เริ่มหายกันไป จะมี “ซันนี่ ยูโฟร์” ที่เต้นมาด้วยกัน “ครูธัญญ์” ที่เป็นคอมเม้นเตเตอร์ เราก็มาทางการแสดง ซึ่งพอเล่นๆไปแล้วเราก็เกิดชอบ ไม่เขินในการแอ๊กติ้งเลย รู้สึกว่าเขาให้บทมา เราก็พูดและเล่นไป ไม่เขินแต่กลัว กลัวว่าคนร่วมแสดงด้วยถ้าเป็นคนเก่งๆกลัวเราจะสั่น เกรงใจว่าเราจะไปบังเขาไหม เราพูดแล้วเขาจะต่อเราได้ไหมจะไปทับไลน์เขาไหม แต่ว่าเรื่องอายไม่อายเลย เล่นได้อยากทำให้มันจบเพื่อที่เราจะได้ตังค์ และในแง่ของรายได้การแสดงมันก็ดีกว่าด้วยนะคะใจเราก็เลยมาทางการแสดงเลยเล่นมาเรื่อยๆ
คิดว่าจะไปไกลแค่ไหนสำหรับการแสดง
ตอนนั้นไม่คิดเลยนะว่าจะไปไกล แต่คิดว่าเล่นละครแล้วเราสามารถมีเงินมาจุนเจือครอบครัวซื้อรถซื้อบ้าน อยากเล่นให้มันเหมือนเป็นอาชีพที่เราสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ ไม่รู้ว่าไปไกลไหม แต่อยากให้มีงานตลอดไม่อยากให้มันดรอป คืออาชีพนักแสดงมันจะมีช่วงที่ไม่มีงาน ซึ่งเราเองก็เจอกับช่วงเวลานี้บ่อยมาก ก็ท้อนะแต่เราก็ไม่ถอย เพราะว่าเราก็หานู่นหานี่ทำ อย่างร้านอาหารเราก็ยังทำอยู่เรื่อยๆ อย่างน้อยเราก็ยังมีข้าวกิน แล้วถ้าเรามีโอกาสได้ไปปรากฏตัวให้คนเขาได้เห็นว่าเรายังอยู่นะ ยังเล่นละครนะ ก็จะไป การเล่นละครเป็นอาชีพที่เราต้องอาศัยความสามารถความเสมอต้นเสมอปลาย แล้วก็ต้องมีสวดมนต์ไหว้พระทำบุญเสริมเสน่ห์เสริมบุญให้เราด้วย ถ้ามีโอกาสได้ไปดูหมอ เราถามก่อนเลยว่า เรามีดวงอยู่ในวงการนี้หรือเปล่า เขาก็บอกว่าได้ อยู่ได้
คืออาชีพที่เหมาะและเลือกแล้ว
ใจเรารักกับอาชีพมาก ถึงแม้ว่าจะให้ไปทำอาชีพอย่างอื่นที่มันรายได้เยอะกว่า แต่ว่าเราชอบและรักอาชีพการเป็นนักแสดง เล่นละครมา 20 กว่าปีแล้วนะคะ เป็นอาชีพที่ตัวเองทำได้ดีที่สุด เกิดมาก็ทำอาชีพนักแสดงดีที่สุดแล้ว เคยไปทำงานประจำที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ ทำได้ 3 ปี สุดท้ายก็คิดว่าเราคงไม่เหมาะ คือพอเรามาเล่นละครแล้วจะมีคนชมว่าเราเล่นเก่งแสดงดี แต่ทำงานโรงพยาบาลไม่เห็นมีใครชมเลยว่าทำงานดีจัง (หัวเราะ) เงินเดือนก็ไม่ขึ้น คือเราคงไม่เหมาะกับงานอื่นแล้วแหละค่ะ
ยอมรับกับบทบาทที่เปลี่ยนไป
มีคนถามเยอะเหมือนกันว่าเล่นเป็นคนใช้รู้สึกนอยด์ไหม คือถ้าไม่มีงานจะนอยด์มากนะเครียดมาก แต่มีงานอะไรก็ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าเราไม่เลือกบทหรืออะไรนะแต่หมายถึงว่าบทที่ได้รับเป็นบทอะไรที่ขอให้มีบทพูดมีความสำคัญให้เราได้เล่นหน่อย ไม่ใช่นิ่งๆ คือเราเล่นได้หมดจะเป็นคนใช้ เป็นโสเภณียังเล่นเลยค่ะ ไม่มีคำว่านอยด์ จะนอยด์ก็ต่อเมื่อเราเล่นได้ไม่ดี คือก็มีนะที่บางครั้งผู้กำกับเดินมาบอกว่าแอ๊กติ้งเดิมๆ ไม่เอาแล้ว เนี่ยจะนอยด์มาก คือเขาอยากให้เราเปลี่ยนบางทีเราก็ติดกับการเล่นแบบสมัยก่อน เราก็ต้องเปลี่ยนการเล่น เพราะคนดูสมัยนี้เขาดูอีกแบบหนึ่งทุกอย่างมันต้องกระชับเร็ว จะมาเล่นแอ๊กติ้งเดิมๆ บางทีคนก็ไม่ดู เราก็เลยต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
การแสดงที่นำไปสู่มิตรภาพ
สำหรับผลงานที่ผ่านมาก็ชอบหลายเรื่องนะคะอย่างเรื่อง “กัลปังหา” ก็ได้เล่นเป็นกลุ่มตัวอิจฉาที่เกลียดนางเอก “จอย-รินลณี” ซึ่งเรื่องนี้ประทับใจมาก แล้วอีกเรื่องก็คือ “พระจันทร์แสนกล” เรื่องนี้ต้องล่องเรือประทับใจเพราะว่าทำให้ได้สนิทกับ“พี่จิ๊ก-เนาวรัตน์” “พี่หมู-กลศ” “หลิว-มนัสวี”“เก่ง-ชาติชาย” ทำให้เรามีก๊วนใหม่ที่สนิทกัน แล้วก็คบกัน แล้วละครอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ได้เพื่อนก็คือ “ตำรับรัก” ก็ได้ “โก้-ธีรศักดิ์” มาเป็นเพื่อนสนิทอันนี้ประทับใจหลายเรื่อง ปุ้ยรู้สึกว่าการที่เรามาเป็นนักแสดงเนี่ย นอกจากค่าตอบแทนที่เราได้แล้ว เราก็ยังได้มิตรภาพด้วยค่ะ มีเพื่อนสนิทที่ได้มาจากการเล่นละครเยอะมาก อย่าง “น้ำฝน-บุณฑริก” ก็ด้วย นี่ก็คบกันยันแก่เลย (หัวเราะ)
ความในใจถึงแฟนๆ
แม้ว่าเราจะไม่ได้โด่งดังเปรี้ยงปร้าง แต่ก็อยู่ได้เรื่อยๆ ก็ไม่ได้น้อยอกน้อยใจ ถ้าโดนสักเรื่องก็ดีนะแต่เราก็คิดว่ามันบุญใครบุญมัน เราได้แค่นี้ถือว่าบุญเราแล้วล่ะ บางคนเขาอยากจะมาอยู่ถึงจุดนี้ก็ยังไม่ได้มา เราอ้วนก็อ้วนเดินไปเดินมาอยู่ ยังได้งานเลย เราก็ถือว่าอยู่ได้ยี่สิบกว่าปีอยู่ตรงนี้เราก็โอเคแล้วได้เกิดมาชีวิตนี้ มาถึงจุดนี้ คนเรียกว่าเป็นดารา แม้ว่าจะจำชื่อได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร (หัวเราะ) ถ้าเกิดใครเรียกว่า “ปุ้ย-อรัญญา” นี่เราแทบจะกราบเลยนะ ก็อยากจะฝากบอกถึงแฟนๆ ทุกท่านนะคะว่าเราใช้ชีวิตทุกวันให้มันเหมือนกับเป็นวันสุดท้ายของเรา ให้มันมีความสุข ให้มันมีค่าสำหรับเรา เราจะได้ไม่รู้สึกเสียใจกับวันเวลาที่มันผ่านไป แล้วก็ขอให้ดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจ ยังไงก็แวะมาเจอปุ้ยได้ที่ร้าน ช.ประทุมทอง ทั้ง 2 สาขานะคะ
และนี่ก็คือมุมชีวิตของนักแสดงสาวอารมณ์ดี “ปุ้ย-อรัญญา” กว่า 20 ปี ที่เธอได้มอบเสียงหัวเราะให้กับแฟนๆ ผ่านหลากหลายบทบาทการแสดงที่เธอรัก
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี