เคยสงสัยกันไหมคะ อาหารไทย กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกได้อย่างไร? ใครคือผู้นำพา และต่อยอดจนทุกวันนี้ร้านอาหารไทย ผุดขึ้นทั่วทุกมุมโลก เป็นที่นิยมของชนทุกชาติทุกภาษา คำถามนี้อาจต้องใช้หลายปัจจัย ก่อร้างสร้างคำตอบขึ้นมา แต่ถ้าถามกับคนอเมริกันในยุค30 ปีที่ผ่านมา ชื่อหนึ่งที่ผุดในความคิดพวกเขาแทบจะทันที คือ Tommy Tang (ทอมมี่ แทงค์) เชฟคนดัง หนึ่งในผู้บุกเบิกเปิดโลกอาหารไทยสู่สากล ผ่านรายการทีวีฮอลลีวู้ด จนเป็นที่เลื่องลือ!!
ประวัติโดยย่อของ ทอมมี่ แทงค์ นั้น เขาเกิดที่กรุงเทพฯ แต่ด้วยความที่ครอบครัวลำบาก จึงต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่ ป.4 เพื่อทำงานช่วยเหลือครอบครัว เคยทำงานมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คนงานก่อสร้าง นักมวย ช่างเชื่อม หรือแม้กระทั่งครูสอนเทนนิส และเขาก็ยังเคยช่วยเหลือพ่อของเขาที่ร้านอาหาร ในช่วงสงครามเวียดนาม ทอมมี่ แทงค์ ได้พบเจอชาวอเมริกันมากมาย และนี่เป็นจุดเริ่มต้นในความทะเยอทะยานที่เขาอยากจะไปแสวงหาโชคในต่างแดน จึงตัดสินใจเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อเสี่ยงโชค โดยทำงานเป็นผู้จัดการวงดนตรีร็อก และ Music Producer และในที่สุด ทอมมี่ แทงค์ ก็ค้นพบสิ่งที่เป็นคำตอบสำหรับชีวิตเขา นั่นก็คือ อาหาร!
ทอมมี่ แทงค์ ทำงานเป็นผู้จัดการและเชฟของร้านอาหารไทยเล็กๆ ที่แทบจะไม่มีคนรู้จักในฮอลลีวู้ด และในเวลาเพียง 1 ปี ด้วยความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ อาหารไทยก็เป็นที่รู้จักและนิยม โดยมีเหล่า Celebrity อาทิจอนนี่ เดปป์, โรเบิร์ต เดนิโร, ทอม ครูซ, โรบิน วิลเลียม, แจ๊คสัน บราวน์ ฯลฯ ที่พากันติดใจอาหารไทยฝีมือทอมมี่ แทงค์ ในปี 1982 ทอมมี่ แทงค์ และภรรยา ตัดสินใจเปิดร้านอาหารของตัวเอง ที่ West Hollywood และต่อมาปี 1986 เขาก็ตัดสินใจเปิดร้านอาหารอีกแห่งที่มหานครนิวยอร์ก ทำให้เขาเป็นเชฟคนแรกที่มีร้านอาหารอยู่ทั้งสองฝั่งของประเทศสหรัฐอเมริกาและยังถูกขนานนามว่าเป็น “GODFATHER” ของอาหารตะวันออกเฉียงใต้
ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ทอมมี่ แทงค์ เขียนตำราการทำอาหารไว้ 2 เล่มคือ “Modern Thai Cooking” และ “Noodles & Rice and Something Nice” ในช่วงปี 1991 และในปี 1996 เขาได้มีรายการอาหารทางโทรทัศน์ออกอากาศทั่ว 50 รัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นรายการสอนทำอาหารกึ่งแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวของไทย
แต่ ณ วันนี้ เชฟทอมมี่ กลับบอกลางานทุกอย่างในอเมริกา ปิดร้าน ขายบ้าน ถอนหุ้นจากธุรกิจทั้งหมด และกลับมาบ้านเกิด มุ่งมั่นทำรายการ เชฟทัวร์ ครัวติดดิน STREET CHEFS (ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 13.00 น. ช่อง 7 HD กด 35) เพื่อช่วยเหลือพ่อค้า แม่ค้า ที่ด้อยโอกาสทางการโปรโมท รวมถึงรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์หนังต่างชาติ ที่เข้ามาถ่ายทำในไทย ควบคู่กับใช้เวลาส่วนใหญ่ในการหาเงินทุนเข้ามูลนิธิ Tsunami Children ที่เขาก่อตั้งขึ้น เพื่อช่วยเหลือเด็กไทยจากเหตุการณ์สึนามิ
อะไรทำให้เขาเลือกเส้นทางนี้ และประวัติชีวิตที่โชกโชนนี้มีที่มาอย่างไร วันนี้เรามีความในใจจาก ทอมมี่แทงค์ มาฝากกันค่ะ
เมื่อได้โอกาสโลดแล่นในทีวีอเมริกา
หลังจากที่ผมเปิดร้านที่นิวยอร์ก เขียนหนังสือ ทำอิมพอร์ต เอ็กซ์พอร์ต เอาน้ำปลาเข้าไปขายตลาดฝรั่ง ก็เลยมีน้ำปลายี่ห้อของเราเอง ทอมมี่ แทงค์ และเกิดเป็นสินค้าอีกหลายอย่าง จนอาหารไทยเริ่มบูมขึ้นเรื่อยๆ รายการทีวีที่นั่นก็ต้องการอาหารไทย ผมก็ปฏิเสธเขามาตลอด เพราะไม่มีเวลา กลางคืนต้องไปเป็น ผู้จัดการวงร็อกแอนด์โรลล์ กลางวันต้องมาทำอาหาร ร้านเปิด 11 โมงปิด 4 ทุ่ม หลัง 4 ทุ่มก็ต้องไปไนท์คลับ ไปดูวงว่าเป็นยังไงมั่ง กว่าจะนอน ตี 4 แบบนี้ทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่งเขามากินที่ร้าน แล้วไปดูผมสอนทำอาหาร เขาก็บอกว่า PBS อยากโปรดิวซ์รายการทำอาหารไทย เราก็บอกว่ายูอยากจะทำจริงๆ ใช่ไหม ถ้าจะทำอาหารไทย ผมคนเดียวเท่านั้น ตอนนั้นโคตรโม้เลย(หัวเราะ) คือเรามีความเชื่อมั่น ถามว่าเราเป็นเชฟที่ทำเก่งหรือเปล่า ดีหรือเปล่า เปล่าครับเราไม่ใช่เดอะเบสท์ เราแค่ทำได้ อาหารทุกอย่างเราทำได้ ตอนนั้นเชฟอาหารไทย ก็มีพอสมควร แต่ถ้าถามว่าร้านไหนมีชื่อเสียงที่สุดในอเมริกา ก็ต้อง “ทอมมี่ แทงค์” โดยของเราเป็นร้านอาหารไทยแบบ MODERN THAI CUISINE เนื่องจากว่าเราทำอาหารในอเมริกา เราจะผัดแล้วโปะหน้าเฉยๆ มันไม่ได้ เพราะว่าคู่แข่งเราเก่งๆ ทั้งนั้น เราก็เอาการตกแต่งอาหารแบบโมเดิร์นมาใช้ ถ้าไปเจอในหนังสือหรืออะไรเราจะตกแต่งไม่เหมือนชาวบ้านเขา เราทำแบบง่ายๆ ที่สุด ใช้สีสันของอาหารเป็นพระเอก จานเราใช้สีขาวทั้งหมด ทอมมี่ แทงค์ เป็นร้านอาหารประยุกต์ ผสมผสานอาหาร อิตาเลียน อินเดีย ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส หลายๆ ประเทศมารวมเป็นของเรา แต่เราจะใช้วัตถุดิบที่มาจากประเทศไทย 80-90 เปอร์เซ็นต์ ถ้าคนไหนบอกไม่ใช่ไทยนะ มาเรียงความกันเลย ใครใช้ไทยมากกว่าร้านที่บอกว่าไทยแท้ ใช้น้อยกว่าผมอีก สมัยนั้นก็จะบอก ทอมมี่ แทงค์ ไม่ใช่ไทย แต่ตอนนี้ก๊อบปี้กันหมดเลยทำให้ทุกๆ ชาติเอาอาหารไทยของเราเข้าไปผสมผสานมีน้ำมะนาว มีโหระพา เพราะมันทำให้อาหารเขามีรสชาติดีขึ้น ในบางช่วงของรายการ TOMMY TANG MODERNTHAI CUISINE เราก็จะให้ความรู้ด้วย ว่าน้ำปลาทำมาจากอะไร ถ้าเขารู้ว่าน้ำปลาใช้แทนเกลือได้ และอร่อยกว่า เขาก็อาจจะลองดู คือเราแฝงการโปรโมทสินค้าไทย อันดับหนึ่งเลยเราจะทำยังไงให้ยอดอิมพอร์ต เอ็กซ์พอร์ตสินค้าไทยสูงขึ้น ก็ด้วยการแนะนำทางทีวีนั่นเอง
รูปแบบรายการ
เราก็จะท่องเที่ยวประเทศไทยก่อนเลย ไปตามที่ต่างๆ ที่เป็นจุดสนใจ แล้วกลายเป็นว่าเราได้โปรโมทการท่องเที่ยวประเทศไทยไปในตัว นี่คือสิ่งที่เราทำแฝงไว้ ยิ่งตอนนั้นประเทศไทยกำลังแย่ ตอนทำรายการใหม่ๆ ประเทศไทยหนี้สินเพียบ เราก็อยากจะพยายามโปรโมทประเทศไทยให้คนเข้ามาเที่ยวเยอะๆ ผมยกกองถ่ายจากที่โน่นมาหมดเลย ก็ได้รับความสะดวกจากททท. ที่ช่วยเหลือในด้านที่พัก และรถราต่างๆ
โด่งดังตั้งแต่ซีซั่นแรก
พอรายการออกอากาศปุ๊บ ก็ถือว่าโชคดี ที่มีคนรู้จัก กระแสตอบรับดี เนื่องจากว่าเราทำอะไรก็แล้วแต่ เรามีการโปรโมทก่อน โหมโรงก่อนเลยเป็นเดือนๆ ก็ออกทีวีแมกกาซีน ทุกอย่าง ผมไปออกรายการได้ทุกช่องทั่วทั้งประเทศอเมริกา ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทย ที่ช่องไหนช่องนั้น ที่นั่นคุณสามารถซื้อเวลา ถ้าเขาไม่ขายให้ ฟ้องร้องได้เลย เพราะผิดกฎหมาย แล้วบางคนบอกว่าให้สูตรอาหารเขาออกทีวีแบบนี้ เขาก็ไม่มากินร้านอาหารไทยสิ คนพวกนี้คิดสั้นครับ คุณดูรายการอาหารฝรั่งเศส คุณซื้อหนังสืออาหารฝรั่งเศส แล้วคุณจะทำออกมาได้เหมือนอย่างนั้นไหมไม่มีทาง ยังไงก็แล้วแต่ เขาก็ยังต้องการออกไปกินข้าวข้างนอก เนื่องจากว่านั่นคือวิถีชีวิตของคนอเมริกัน ซึ่งคนในประเทศไทยจะไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นทีวีจึงเป็น The BestMarketing และ The Best Promotion ของที่นั่นครับ
ผลงาน 8 ซีซั่น 100 กว่าตอน
ผมทำรายการอยู่ 8 ปี ออกไปทั้งหมด 8 ซีซั่น 100 กว่าตอน นอกจากเราจะได้โปรโมทการท่องเที่ยวแล้ว ผมเองก็ได้ค่าตัวเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะลูกผมก็ต้องกินต้องใช้ครับ(หัวเราะ) คือเป็นธรรมเนียมของเขาว่าทุกคนต้องมีค่าตัว เวลาผมไปออกรายการที่ไหนถึงแม้เขาจะโปรโมทผมนะ เขาก็ต้องจ่ายเงินผม และจากรายการนั้น ทำให้ร้านอาหารไทยในอเมริกา และแคนาดาผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด คึกคักมาก ตอนที่ผมเริ่มทำ ร้านมีไม่ถึงพันแห่ง พอรายการนี้ออกไป ดับเบิ้ลทันที สินค้าไทยเอ็กซ์พอร์ตไปอเมริกาสูงขึ้นไม่รู้เท่าไหร่ ท่องเที่ยวประเทศไทยก็สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
จุดเปลี่ยนของชีวิต
ผมเริ่มจากชีวิตชนชั้นกลาง แล้วกลายเป็นคนไม่มีบ้าน อยู่ข้างทางรถไฟ พี่น้องก็ต้องแยกย้ายกันไปผมจบ ป.4 แต่ว่าผมพูดภาษาอังกฤษเป็น ผมได้เปรียบคนที่จะไปอเมริกา โดยที่ผมไม่ได้ไปเรียนที่ไหน อาศัยเรียนด้วยตัวเอง กล้าพูดกล้าคุยกับต่างชาติ เรียนรู้การออกเสียง และเราจะต้องเรียนรู้ชีวิตของคนอเมริกันซึ่งผมโชคดีที่ได้เป็น Bus Monitor คอยตรวจบัตร หรือคนไทยเรียก กระเป๋ารถ ให้กับโรงเรียนอินเตอร์เนชั่นแนลสคูล ซอยร่วมฤดี เราก็ได้ฝึกภาษาอังกฤษไปด้วยแล้วตอนนั้นเป็นสมัยสงคราม คนอเมริกันตั้งฐานทัพที่นี่เขาก็ต้องจ้างคนที่พูดภาษาอังกฤษ แล้วเราพูดได้ 2 คำYes or No อาศัยเส้นเข้าไป เพราะเผอิญเพื่อนเป็นหัวหน้า เขาก็เลยช่วยให้ผมได้งาน ตรงนั้นคือจุดเริ่มต้น เปลี่ยนชีวิตของผมครับ ผมถึงได้รู้ว่าคนเราทุกคน มีสิทธิ์เท่ากันหมด ถ้าเรามีโอกาส และผมก็ได้โอกาสจากเพื่อนคนนี้ที่มอบให้ เราเข้าไปตรงนั้น เงินเดือน 500 บาทเท่แล้วนะ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด แต่ก็มีคนดูถูกนะครับ คนจบมหา’ลัยดังๆ มาทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์กันทั้งนั้นเลย เพราะอยากจะไปจีบแหม่ม เราไม่เคยสนใจเลยสำหรับเรานั่นคืองาน พอโดนดูถูก ว่าเข้ามาได้ยังไง ก็ได้โอกาสฝึก ซื้อหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรก คือ ดิกชั่นนารี มาเป็นคัมภีร์ติดตัว เจอศัพท์อะไรก็จำมาเปิดหาคำแปล ดูหนังในโรง ก็ใช้ปากกาจดศัพท์ใส่แขนตัวเอง ออกมาเหมือนสักยันต์เลย ทำบ่อยๆ เข้า ก็กลายเป็นความเคยชิน ฟังได้ พูดได้ ที่นี้เราต้องเขียนแล้ว ก็ได้แหม่มมาช่วยสอนให้ตอนเช้าเราก็ฝึกเขียนบทความใส่กระดาษให้เขา ตอนเย็นเขาแก้กลับมาให้เรา ทำอยู่อย่างนั้น 9 เดือนครับ เขาเรียนของเขา เราก็เรียนไปกับเขา ไม่ได้จีบกันนะครับ แต่ทำไปทำมาก็เป็นแฟนกันโดยอัตโนมัติ พอโต ก็แยกย้ายกันไป พอผมออกจากโรงเรียนอินเตอร์เนชั่นแนล ผมก็ไปสมัครเป็นโอเปอเรเตอร์ โรงแรมวินเซอร์ ทำ 5 ทุ่มถึง 7 โมงเช้าหลังจากนั้นผมเข้าโรงแรมนารายน ทำถึงบ่าย 3 ทำงานทุกวัน จนผมได้จังหวะไปทำงานที่อเมริกา
สัมผัสชีวิตแวดวงฮอลลีวู้ด
สังคมฮอลลีวู้ด ผมรู้จักตั้งแต่ลูกจ้างร้านอาหาร จันดารา คือถนนแถวนั้นเป็นหัวใจของการทำแผ่นเสียง ทำเพลง ทีวี.หนัง ผมก็เป็นผู้จัดการดนตรีกิ๊กๆ ก๊อกๆ คนนั้นคนนี้ก็ชวนเข้าไปในสตูดิโอ เราก็ไปนั่งฟังเพลงเขาอัดกัน ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นที่รู้จักนักดนตรี ส่วนนักแสดง เขามาทานข้าวที่ร้าน ก็จะคุ้นเคยกันดี พอเขารู้ว่าผมจะเปิดร้านเอง เขาก็มากัน เปิดร้านวันแรก ฝนก็ตก แต่คนมายืนเข้าแถวรอยาวเป็นบล็อกเลย คนแรกที่เหยียบเข้ามาในร้าน คือ แจ๊คสัน บราวน์ เพราะเขาเป็นคนแรกที่ชวนผมไปสตูดิโอ ฟังเขาอัดเพลง ผมโชคดี เนื่องจากเราพูดภาษาอังกฤษได้ แล้วคนอเมริกันกลัวคนเก่ง ถ้าเราเก่งเขาจะไม่เห็นสีผิวเราแล้ว จะไม่มีการเหยียดสีผิว เพราะฉะนั้นเวลาเราอยู่ที่นั่น เราจะต้องรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง รู้อเมริกันฟุตบอล รู้เบสบอล กอล์ฟ บาสเกตบอล การที่จะมีเพื่อนคนอเมริกัน เราต้องรู้เรื่องพวกนี้ ซึ่งผมเป็นคนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่แล้ว เราฟัง เราดูรายการทอล์กโชว์ คือเราจะต้องเข้าถึงวัฒนธรรมของเขาให้ได้ สิ่งนั้นเลยทำให้เรามีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ
โบกมือลาชื่อเสียงเงินทอง
ในที่สุดมันก็ถึงจุดของมัน เปิดร้านทำโน่นทำนี่ไม่ได้หยุด เดินทาง 7-8 เดือนต่อปี ทั้งทำรายการทีวี โปรโมทหนังสือ ทั้งโปรโมทสินค้า อาศัยอยู่โรงแรมมากกว่าอยู่บ้าน ตอนหลังผมเลยตัดสินใจปิดหมด เพราะลูกๆ เข้าสู่วัยรุ่น ผมอยากให้เวลากับพวกเขา ก็เลยหยุดทั้งหมด แล้วมาอยู่กับพวกเขา
ชีวิตครอบครัวในปัจจุบัน
ผมมีลูก 2 คน มีหลาน 2 คน ส่วนภรรยา(ชาวอเมริกัน) แยกทางกันไปตอนที่ลูกๆ เรียนจบหมดแล้วครับทุกวันนี้กับภรรยาก็เป็นเพื่อนสนิทกัน เขาอยากได้อะไรผมให้หมด บ้าน รถ เงินในแบงก์ บริษัท เพราะเรายังไงก็หากินได้ เราต้องการตัวเปล่า กระเป๋าใบเดียวเท่านั้น กลับมาอยู่เมืองไทย แต่ก็ตกลงกันว่าทุก 3 เดือน ผมก็จะกลับไปหาเขาสักเดือน ลูกๆ ก็รับได้ แต่ว่าต้องแบ่งกัน เพราะลูกสาวผมคนหนึ่งอยู่ลองแอนเจลิส อีกคนอยู่นิวยอร์กก็จะสลับกัน เพื่อเขาจะได้ไม่น้อยใจ
อาชีพใหม่ ในวัยบั้นปลาย
การทำอาหาร เรียกว่าเป็นชีวิตจิตใจของผมแต่พออยู่ได้สักพัก เพื่อนก็บินมาหา บอกว่าต้องการมาทำหนังที่ประเทศไทย เขาก็ติดต่อโปรดักชั่นไทย และรู้ว่าผมอยู่ที่นี่ ก็เลยขอให้ช่วย พอเราได้ทำ มันก็ต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ครับ เข้าไปเป็นโคโปรดิวเซอร์ให้กับหนังต่างประเทศที่ถ่ายทำในไทย เรื่องแรก Kickboxer: Vengeance เรื่องที่ 2 Kickboxer: Retaliation เรื่องที่ 3 ยังไม่รู้ชื่ออะไรครับ ทุกเรื่องเขาได้กำไรก่อนที่จะออกฉายแล้ว เพราะเขาได้เงินมาก่อนแล้ว ก่อนที่เราจะทำหนัง เราจะต้องขายหนังได้ก่อน แล้วเขาจะรู้ว่าจะขายให้ใคร ซึ่งตอนนี้มันง่ายขึ้น เพราะมีทั้ง NETFLIX มี AMAZON มีGOOGLE เราไม่ต้องเข้าโรงเลยทริคของเราคือการพรีเซลส์ เพราะฉะนั้นเราก็จะไม่เจ็บตัวในทุกครั้งที่รับงาน
ก้าวผ่านความตาย
วันหนึ่งผมถ่ายรายการ แล้วเกิดหน้ามืด ซึ่งผมเองมีโรคประจำตัว คือโรคหัวใจทำบอลลูนใส่ไว้อยู่ 2 เส้น พอมีอาการตรงนั้นขึ้นมา ก็ไปหาหมอหัวใจประจำตัว คุณหมอก็ให้ใส่ชุดวอร์มเดินสายพาน เดินไปได้นิดเดียว สั่งหยุดทันที เพราะกราฟแสดงผลไม่ดี ก็ให้ไปเอกซเรย์ และเผอิญหมอผ่าตัดอยู่ด้วย ก็มานั่งคุยกัน เขาบอก “คุณควรตายไปแล้วนะ” เราสนิทกันนะครับ ก็จะพูดกันตรงๆเขาบอก หัวใจผม ไม่มีเลือดผ่าน แต่มีเส้นฝอยหนึ่ง ที่ไม่ได้มีความหมายเลย ช่วยผมไว้ ไม่ให้ผมตาย ผมก็ถามแล้วทำยังไงต่อ งานผมยังไม่เสร็จ เขาบอกต้องแอดมิท และเช็คเลือดเพราะผมกินยาทำให้เลือดจางอยู่ ต้องใช้เวลา 5-7 วันถึงจะผ่าตัดได้ และทำดีวีดีส่งไปให้หมอผมที่อเมริกาหมอที่นั่นดู บอกผมบินกลับไปไม่ได้แน่นอน จะตายบนเครื่องบิน เพราะแรงกดอากาศ ก็เลยให้ผ่าตัดที่ไทย แต่ก่อนผ่าตัด ก็ขอหมอกลับไปถ่ายรายการต่อ หมอส่ายหัวเลยแต่ผมก็ต้องไป ก็ถ่ายจนเสร็จ จากนั้น 5 วัน ก็กลับมาแอดมิท ผ่าตัด หมอใหญ่ก็วางตารางให้ ผ่าตัดทีละเส้น ภายใน 3 ปี แต่ผมบอกไม่เอา ผ่าทีเดียวหมดเลย 4 เส้น หมอบอก “คุณจะบ้าเหรอ” แต่ก็ทำ เพราะเราต้องการแบบนั้น หมอใช้เวลานานที่สุดที่เคยผ่าตัด ร่วม 7 ชั่วโมง เสร็จปุ๊บพักฟื้น ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ผมกลับมาเป็นปกติ ในที่สุดเราก็รอดมา และตอนนั้นก็เลยไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งหนังมากระตุ้นเรา
จับมือมีเดีย สตูดิโอ ผลิตรายการ เชฟทัวร์ ครัวติดดิน
ที่จริงแล้วมีหลายช่อง ที่อยากจะให้ผมทำ แต่ผมเฉยๆ เพราะผมพอใจอยู่กับการไม่ได้ทำอะไร เพราะทำหนัง 2 ปีเรื่อง ผมก็อยู่ได้แล้ว แต่รายการนี้ผมอยากทำ เพราะอยากช่วยคนจน อยากทำให้อาหารสตรีทฟู้ด เขามีโอกาสได้แจ้งเกิด มีที่ทางเป็นของตนเอง แล้วพอไอเดียนี่เป็นรูปร่าง คุณแหม่ม (พิไลวรรณ บุญล้น) เซย์เยส ก็ทำให้ผมได้กลับมาสู่งานด้านรายการทีวีอีกครั้ง เราทำรายการทีวี เราก็คิดว่าเราอยากจะให้คนที่ดูเราได้สิ่งดีๆ รายการทีวีเรามีแต่ให้ ถ้าร้านเขาดี เราก็ช่วยโปรโมท เพราะฉะนั้นเราจะเสาะหาร้านดีๆ ที่ไม่มีคนรู้จัก ด้อยการโปรโมท ราคาสบายกระเป๋า รสชาติโอเค ให้มีโอกาสได้แนะนำร้านผ่านสื่อ และก็ต้องขอบคุณมีเดีย สตูดิโอ และ ช่อง 7 ที่ให้โอกาสเราได้ทำตรงนี้ ผมคิดว่าถ้าเขายังสนับสนุนเรา คนอีกล้านๆ คนที่ดูรายการเราจะได้แรงบันดาลใจ จุดประกายให้กับชีวิตเขา หันกลับมามีเส้นทางอาชีพที่ดีก็เป็นได้ และโปรเจกท์ต่อไป เราอาจจะเปิดที่สอน เกี่ยวกับการเปิดร้านสตรีทฟู้ดด้วยครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องให้รายการได้ออนแอร์ต่อด้วยนะครับ(หัวเราะ)
ส่งต่อความสุขถึงผู้อื่น
คนเราเกิดมากินได้แค่ 2-3 มื้อต่อวัน เตียงนอน ต่อให้ดีแค่ไหน ก็ได้แค่นอน รถ ต่อให้ดีสวยหรูแค่ไหนมันก็พาเราจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งเท่านั้นเอง คนเรามีแค่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ต่อให้เป็นมหาเศรษฐี เรามาตัวเปล่า เราก็กลับไปตัวเปล่า ถ้าเรามีโอกาสที่จะช่วยคน เราต้องช่วย ผมช่วยอเมริกา เพราะที่นั่นทำให้ผมมีชีวิตขึ้นมา อยู่ดีกินดี สบายใจ พอผมมี ถึงได้กลับมาช่วยประเทศไทย เราเป็นคนไทย เราก็ต้องรักประเทศไทย และช่วยเหลือกัน ผมถึงก่อตั้งมูลนิธิ Tsunami Children เพื่อหาทุนจากเมืองนอกมาช่วยเด็กไทย ก่อนหน้านี้ก็ก่อตั้งกลุ่มช่วยเหลือเรื่องเอดส์เป็นสิ่งที่เราทำได้ เพื่อตอบแทนแผ่นดินเกิดครับ
ความโชกโชนในเส้นทางชีวิตของ ทอมมี่ แทงค์ อาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเดินตาม แต่เชื่อว่าเรื่องของเขาจะช่วยจุดประกายความคิดให้กับคนที่มีฝันอีกหลายๆ คนให้ลงมือทำ มากกว่าที่จะฝันถึง เพราะสุดท้ายแล้วโอกาสจะมีมาหรือไม่นั้น ไม่สำคัญไปกว่าการที่เรา เลือกที่จะลงมือทำ!!
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี