ประสบการณ์ล้วนต่อยอดสู่ความสำเร็จ แต่ใช่ว่าทุกคนจะใจเด็ดไต่เต้าถึงฝั่งฝัน บ้างล้ม บ้างกลัวที่จะก้าวนำ แต่สำหรับนักร้องจากแดนใต้ “เอกชัย ศรีวิชัย” ไม่หยุดที่จะฝัน และวันนี้เขาต่อยอดความฝัน สู่ผลงานสร้างสรรค์ ด้วยหวังสืบสานประเพณีวัฒนธรรมของภาคใต้ ให้คงอยู่สืบลูกหลาน ผ่าน “หนังไทย”
“ปีนี้รายการทีวีของผมลดลงไปนิดหนึ่งครับ เมื่อก่อนเรามีงานหลัก 2 อย่าง คือพิธีกรรายการทีวี แล้วก็งานอีเวนท์ร้องเพลง แต่พอมีงานหนัง 3-4 ปีมานี้ ก็เลยไปลดทีวีลง แต่ว่าอีเวนท์ร้องเพลงยังคงเป็นหลัก เพราะถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ในการหล่อเลี้ยงหลายชีวิตในครอบครัว งานหลักของผมก็คือร้องเพลง งานรองคือการทำภาพยนตร์ แล้วก็พิธีกร ตอนนี้มีรายการ “ดวลเพลงดัง” ทางช่อง 7 ครับ”
ผลงานกำกับฯ เรื่องล่าสุด
“เรื่อง “โนราห์” เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ที่ผมกำกับ เพราะคิดว่าถึงจุดที่อยากจะผลักดันสิ่งที่เรารักมากที่สุดในชีวิต เนื่องจากว่าวัฒนธรรมกับผมเดินคู่กันมาตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ ไม่ว่าจะเป็นหนังตะลุง โนราห์ หมอลำ ก็เลยคิดว่าในระหว่างที่เรามีกำลัง และประสบการณ์ มันควรจะนำเรื่องราวเหล่านี้ไปใส่ไว้ในภาพยนตร์ เพื่ออัพเกรดสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น ให้มันสากลมากขึ้น หลังจากที่เรื่อง “เทริด” เข้าฉาย ก็กวาดรางวัลเยอะ เป็นหนังที่ทุกคนดูแล้วเซอร์ไพรส์ว่าเป็นหนังที่ดี ก็เก็บความภาคภูมิใจว่าฉันทำสำเร็จแล้ว และวันที่เราลงไปภาคใต้ที่ลูกหลานรำมโนราห์ต่างๆ เราเห็นความคิดของเด็กเหล่านั้นเปลี่ยนไป คือกลับมาให้ความสนใจขนบธรรมเนียมประเพณีมากขึ้น เทริดที่เคยถูกวางไว้เรี่ยราดถูกวางไว้ที่สูง นั่นคือสิ่งที่เราอยากได้ คนไทยทั้งประเทศรู้จักคำว่าเทริดแล้ว เลยทำให้คิดต่ออีกว่า เมื่อสัญลักษณ์ทางการกราบไหว้บูชาถูกฝังหัวไว้ที่เด็กแล้ว เราควรจะทำเรื่องที่มาของสิ่งเหล่านี้ก็เลยเดินทางมาหาเอ็มพิคเจอร์ส มาคุยว่าผมอยากทำเรื่องโนราห์ เกี่ยวกับประวัติของโนราห์ แต่ว่าประวัติมันมีหลายคนที่เขียนนะ เราก็เลือกที่จะเล่าตำนานของ “พ่อขุนอุปถัมภ์นรากร” ซึ่งผมศรัทธาในตัวท่านมาก ก็เลยเป็นที่มาของภาพยนตร์เรื่องโนราห์ ซึ่งเรื่องราวต่อเนื่องกันมาจากเรื่องเทริด แต่จะไปเล่าแบบไหนยังไงต้องไปดูกันในหนัง ซึ่งจะเข้าฉายในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
ปั้นนางเอกใหม่ ‘เจด-แองเจลิน่า โฟรม็องโต้’
วิธีการคิดของผมคือ คนไทย ลูกไทยหลานไทย ที่อยู่ในภาคใต้ มารับรู้เรื่องพวกนี้ มันเป็นเรื่องไม่แปลก แต่ถ้าเป็น “เด็กฝรั่ง” ที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมของไทยเลย และวันหนึ่งคุณมายอมรับมัน แสดงว่าของเราสุดยอดเลยและอิมแพ็กแรกที่ผมอยากเห็นก็คือ เขาไม่รู้ว่าบุคคลสำคัญต่างๆ นั่นคือใคร แล้วสิ่งที่เราจะได้ก็คือต้องการคนไม่รู้ไม่เห็นแบบนั้น และที่สำคัญคือเขาไม่ได้ซึมซับความเป็นไทย แต่เมื่อเขาซึมซับแล้วเขารัก
ดันลูกชาย ‘ไพศาล ขุนหนู’
ถ้าจะเรียกว่าดัน ก็คงไม่ถูก เพราะว่าไม่มีใครเหมาะถ้าตัวนี้เป็นตัวที่โดดตีลังกาแบบ “จา พนม” แล้วเราเอาไพศาลมาเล่น ตรงนั้นเรียกว่าดันลูกชาย แต่เรื่องนี้ท่ารำมันยากมาก จะไปเอาดาราหรือคัดเด็กคนไหนมา เพื่อให้ได้อย่างที่เราได้ ให้ทะลุศาสตร์และศิลป์แขนงนี้ได้มันยากนะ เพราะในหนังมันต้องฝึกมาตั้งแต่เด็ก ส่วนเรื่องหน้าตาบอดี้ที่สวยงาม ตรงนั้นก็เป็นตัวเลือกที่สองและสาม อันดับแรกต้องใช่พ่อขุนศรัทธาก่อน แต่ว่าตอนแรกที่เขาเข้าคู่กัน เคมียังไม่ค่อยลงกันเท่าไหร่ เพราะว่าเจด เขาเป็นเด็ก ส่วนไพศาลอาจจะไม่ค่อยกล้าพูดภาษาอังกฤษ น้องเจดก็ไม่ค่อยพูดภาษาไทย เลยพยายามให้เขาสนิทกัน สั่งไพศาลให้หยอกน้องเยอะๆ และผมเลือกที่จะถ่ายซีนรักไว้หลัง ให้เขาพัฒนาการไปเรื่อยๆ ซีนหนักจะอยู่ตอนหลังมันก็เลยลงตัว
ความคาดหวัง
เวลาทำงานผมไม่หวังเรื่องกำไร หวังแต่ว่าคนได้สืบสานงานของเรา พอเรามาเข้าค่ายใหญ่ เขามีทีมมาร์เก็ตติ้งที่จะมาดูหนังเราแล้ว เราก็มาปรับให้มันมีการตลาดมากขึ้น แต่ต้องไม่เสียเนื้อหาสาระที่เราอยากจะสื่อ เราเจอกันคนละครึ่งทาง ช่วยกันดูและปรับ ซึ่งเราก็มั่นใจว่าหนังเราดี แต่หนังจะได้ตังค์หรือเปล่าอันนี้เราไม่รู้ (ยิ้ม) และมีคุณภาพ การที่เรื่องที่แล้วได้รางวัลแล้วเรื่องนี้จะกดดันไหม ไม่นะครับ เพราะว่าผมเอาหัวใจทำงาน ขึ้นเวทีเล่นคอนเสิร์ตมา 20 ปีก็ไม่มีวันไหนที่ด้อยหรือดีกว่าเมื่อวาน ของเรามีมาตรฐานเดียวคือ ไม่ว่าอะไรที่ลงมือทำแล้วทำเต็มร้อย
ชีวิต ณ วันนี้
ถ้าพูดไปก็จะว่าเหมือนให้ตัวเองดูดีนะ คือผมไม่ค่อยสนใจเรื่องตัวเอง จะเป็นห่วงเรื่องวิธีการจัดการ เรื่องของวัฒนธรรมมากที่สุด กลัวสิ่งพวกนี้จะหายไป ชีวิตส่วนตัวเราปลง คนเราไม่รู้ว่านอนวันนี้ แล้วตื่นได้หรือเปล่าในวันพรุ่งนี้ ก็เลยจะทำวันนี้และทุกวันให้ดีที่สุด เรื่องที่บ้าน เรามีระบบการจัดการ แม่น้องลูกหลานทุกคน เราวางระบบระเบียบไว้ให้ แต่สิ่งที่ห่วงที่สุดในชีวิตคือเรื่องวัฒนธรรม ห่วงว่าผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองจะไม่สนใจ อยากให้กระทรวงศึกษาฯ ที่กำลังจะมายุบนาฏศิลป์คือมีนักวิชาการ 4 ท่าน บอกว่าเด็กไทยมัวแต่มาร้องมารำ จะเรียนหนังสือไม่ทันคนอื่นเขา ผมอยากให้เข้าใจ สิ่งที่เป็นรากเหง้าของคนไทย อยากจะถามไปว่าวันที่เราสูญเสียยิ่งใหญ่ที่สุด งานที่ท้องสนามหลวง เราใช้อะไรมาทำพิธี เราต้องมีโขนเล่น นี่คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่เหรอ แล้วคุณไปถามเด็กที่เขามาเล่นโขนในวันนั้นสิ ว่าเป็นวันที่เขาภูมิใจสูงสุดในชีวิตไหม ผมอาจจะไม่ใช่คนเดียวหรอกที่ห่วง แต่ไม่มีใครพูด เราพูดใครก็ย้ายเราไม่ได้ (ยิ้ม) ถ้าเป็นข้าราชการก็จะโดนย้าย ศิลปินทุกคนก็กลัว ถ้าพูดไปแล้วคนจะมองเขาไม่ดี แต่เราเลยจุดนั้นมาแล้ว เอาความถูกต้องเป็นหลัก ชีวิตผมมีความสุขมาก เพราะว่าไม่ได้ขาดอะไรเลย มีความสุขกับงานที่ทำ และงานที่ทำก็เป็นงานที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม
กว่าจะมาเป็น ‘เอกชัย ศรีวิชัย’
ด้วยความที่คุณพ่อมีหลายภรรยา และมาได้กับคุณแม่เป็นแม่สุดท้าย ดังนั้นทรัพย์สมบัติของพ่อก็เลยไม่ค่อยเหลือ เราเป็นลูกคนโต ท่านก็เลยปลูกฝังให้รำมโนราห์ เล่นหนังตะลุงเป็นบริบทแรกที่พ่อใส่ ซึ่งวันนั้นเรารำคาญมาก ทำไมพ่อต้องให้หนูร้องกลอนนี้ ร้องทำนองนั้น พ่อสอนทุกวัน จนกระทั่งเมื่อถึงวันที่ออกเดินทางจากบ้าน เพื่อไปหาเงินมาพยุงครอบครัว ไปเป็นภารโรงเพื่อที่จะเอาเงินมาซื้อเครื่องดนตรีหนังตะลุง ระหว่างนั้นเราก็เรียนศึกษาผู้ใหญ่ไปด้วย วิถีชีวิตจะอยู่กับวัฒนธรรม ต่อสู้กับตรงนี้มาตลอด ที่นาเราก็ไม่มีต้องรับจ้างเกี่ยวข้าว กรีดยางรับจ้าง เราไม่มีทรัพย์สมบัติพ่อก็อายุมาก แต่แม่ยังเด็ก ผมเคยปลูกพริกขี้หนูคนเดียวสิบไร่ ถางหญ้าคนเดียว ทำคนเดียวสิบไร่ จนคนแถวบ้านเขาหาว่าผมบ้า เป็นคนที่ทำอะไรแล้วทำจริงมาก
จุดพลิกผันชีวิต
ชีวิตก็ผกผันจนเข้ามาสมัครร้องเพลงในคาเฟ่ อยู่นครศรีธรรมราช มาสุราษฎร์ ขึ้นกรุงเทพฯ มาเรียนรามฯจนกระทั่งได้ไปอยู่ในปาลาติโน ได้มาเจอกับนักข่าวปุ๊ ภูเขาทอง เขาก็พาผมไปรู้จักกับ “แม่แป๊ด พระประแดง และพ่อหมึก (หมึกดำ)” จากนั้นทั้ง 2 ท่าน ก็พาไปฝากกับ “อาหรั่ง-ไพรัช สังวริบุตร” เลยทำให้ผมได้เป็นพระเอกละครจักรๆ วงศ์ๆ เป็นพระเอก ก่อนมาเป็นนักร้องนะเล่นเป็นพระเอกช่อง 7 มาเยอะตั้งแต่ กายเพชรกายสุวรรณ,พระทิณวงศ์, บัวแก้ว บัวทอง, มิติมหัศจรรย์, เกราะเพชร 7 สี,โกมินทร์, โมงป่า (เจ้าพ่อละครพื้นบ้าน?) ใช่ๆ เล่นมาเป็นสิบเรื่องเลยครับ และจะบอกว่าตอนเด็กผมพาน้องไปดูทีวีบ้านคนอื่นนะ เพราะว่าบ้านเราไม่มี เขาไม่ให้เข้าบ้าน ให้ดูที่หน้าต่าง ก็ต้องแบ่งให้น้องดูด้วย เลยคิดเอาไว้ว่าวันนึงฉันจะเข้าไปอยู่ในทีวี แล้วให้แกนั่งดูให้ได้ แล้วเราก็ทำสำเร็จ
ก้าวสู่วงการนักร้องและนักพูด
มารู้จักกับ “คุณพ่อชวนชัย ฉิมพะวงษ์” ซึ่งผมร้องเพลงอยู่ในร้านอาหาร เขาติดต่อไปอัดเพลง “พี่มีแต่ให้” ก็ดังเลย พอเพลงดังก็หยุดเล่นละคร แล้วมาตั้งวงดนตรี ตอนนั้นอายุ 24-25 กำลังเนื้อหอม มีถ่ายแบบเยอะเลยนะถ่ายกางเกงยีนส์ ถ่ายเสื้อผ้าของประตูน้ำ หนังสือแฟชั่นเสื้อผ้าผมถ่ายมาหมดแล้ว พอเพลงเริ่มดัง พ่อก็เสียชีวิต พ่อก็เลยไม่ได้เห็นวงดนตรี ไม่ได้เห็นการเติบโตของเรา นายทุนตั้งวงดนตรีให้ ชื่อวงว่า “เอกชัย ฉิมพะวงษ์”ในตอนนั้น “ผู้ชนะสิบทิศจะเด็จเมืองไทย เอกชัย ฉิมพะวงษ์”เพราะว่าเราเอาเพลงผู้ชนะสิบทิศมาร้องแล้วดังมากตั้งวงอยู่ได้สักระยะนึง วงก็ทำท่าจะไปไม่รอด เพราะมันดังเพลงเดียว เราก็เลยผันตัวเองเข้าไปอยู่ในทีวีอีก ไปเป็นนักพูด ซึ่งหลายคนไม่เคยเห็นตรงนี้ของผม ผมไปอยู่ในรายการทีวีวาทีของ “พี่แอ้-กรรณิกา” โต้คารมมัธยมศึกษา ลองไปดูในเทปเก่าๆ มีคนพูดทองแดงอยู่คนเดียว ได้เป็นพิธีกรหลัก ผมออกทีวีวาทีสัญจรกับพี่แอ้ไปทั่วประเทศ “อาจารย์สุขุม นวลสกุล” เคยพูดกับผมว่า “เอกเธอเป็นนักพูดที่ดีคนนึงของประเทศไทยนะ แต่ความชัดของเธอมันอยู่ที่เพลง” นี่คือส่วนหนึ่งที่ได้เอามาใช้ในเวทีคอนเสิร์ต ก็คือการเป็นนักพูด
เรียนรู้จากบรมครู
ช่วงนั้นหนังขายสายมันบูม โรงหนังสมัยก่อนจะมีใหญ่ๆ ไม่กี่ที่ หนังเขาก็จะสร้างแล้วขายสาย ผมก็เลยได้ไปร่วมกับ “พันนา ฤทธิไกร” ไปอยู่ที่ขอนแก่น แล้วก็ไปเล่นหนังบู๊หนังเพลง “หมอลำปืนโหด, แว่วเสียงแคน,ตำนานรักสาวภูพาน” นี่ก็เลยทำให้ผมมีองค์ความรู้เรื่องภาพยนตร์ ด้วยความที่เวลาอยู่กอง เราจะไม่ไปอยู่ในกลุ่มนักแสดง แต่เราจะไปอยู่กับช่างไฟ เพื่อเราจะได้รู้ว่าเขาทำงานกันยังไง ก็เลยสนิทกับพี่พันนา เพราะว่าหนังเขามีคนทำงานอยู่ 5-6 คน เราเป็นพระเอก ถ่ายเสร็จก็ต้องมายกรีเฟรค มาช่วยกันอ่านสคริปต์หน้ากล้อง ในระหว่างนั้นก็ทำเพลงด้วย แต่เพลงมันไม่ฮิต และผมยังมีโอกาสได้ไปเล่นซีรี่ส์ฝันที่เป็นจริง ผมเล่นประมาณ 50 เรื่อง ก็เลยสนิทกับ “อาหลวย” (ฉลวย ศรีรัตนา) เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิเจ้าของกล้องทางเดียว วิชาความรู้ได้มาจากอาหลวยอีกอาหลวยไม่เคยแจกกล้วยผม เพราะว่าเราสนใจทุกอย่างที่แกสอน อาหลวยถึงกับมานั่งจับเข่าคุยกับผม ว่าออกแบบเสียงยังไง เวลาอารมณ์เป็นแบบนี้ นี่ก็เป็นที่มาของการเอามาร้องเพลง การใส่ฟิลลิ่งของอารมณ์เพลง โชคดีที่ได้ครูดี เป็นประสบการณ์มา เพียงแต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้นที่เติมมาใส่เรา มันไม่ได้ถูกนำมาใช้ แต่พอมันตกผลึก ก็เลยได้นำมาใช้ในปัจจุบัน ผมจำได้หมดเลย แล้วประสบการณ์ที่สูงสุดในชีวิต หลังจากที่เป็นลูกศิษย์อาหลวยก็คือ ตอนนั้น “ป๋า ส.” เสียชีวิต แล้วเขาทำละครเวทีค่าน้ำนม ที่ศูนย์วัฒนธรรม ซึ่งป๋า ส. เขียนไว้ว่าตัวละครตัวนี้ต้องเป็นเอก เพราะว่าเป็นตัวที่ร้องเพลงค่าน้ำนม และนั่นก็เป็นประสบการณ์ในละครเวทีอีก ที่เราได้เอามาใช้ เรื่องการมูฟเมนท์บนเวที ทุกอย่างที่กล่าวมา ผมเอามาใช้บนเวทีหมด คอนเสิร์ตผมถึงสำเร็จมา 20 กว่าปี ที่เล่นอยู่ในภาคใต้ ไม่มีใครทำลายสถิติได้ ก็มาจากสิ่งที่มันเป็นประสบการณ์ที่ตกผลึกเหล่านี้ แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ เพราะว่าไม่ค่อยบอกใคร
จุดกำเนิด ‘ศรีวิชัยโชว์’
หลังจากนั้นก็มีเพลง “รักเก่าที่บ้านเกิด” อันนี้ดังระเบิดเลย ก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็น “เอกชัย ศรีวิชัย”ขอมาใช้นามสกุลจริง หลังจากนั้นก็มีเพลง “หมากัด”ทีนี้ก็ยาวเลย แต่ผมมีความเชื่อว่าการตั้งวง แล้วเอานักร้องไปแขวนผูกไว้กับชื่อ ถ้าวันไหนนักร้องไม่ดังชื่อก็จะขายไม่ได้ แต่ถ้าเราสร้างองค์กรหนึ่งแล้ว ทำให้คนเชื่อในองค์กรนี้ ชื่อนักร้องไม่ดัง ก็ไม่เป็นไร แต่องค์กรมันค้ำอยู่ก็เลยตั้งชื่อองค์กรนั้นว่า “ศรีวิชัยโชว์” ตอนหลังที่เล่นอยู่20 กว่าปี ก็ไม่มีเพลงดัง แต่ศรีวิชัยโชว์มันอยู่ได้ เพราะคนชอบองค์กรนี้ ที่เราเอาศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านมาใช้เต็มที่ 21 ปีถึงได้ยุติวงถือว่านานมากนะครับ คือเราปรับเปลี่ยนทุกปี เวทีเปลี่ยน ชุดเปลี่ยน แล้วก็มีธีม ทุกวันนี้องค์กรนี้ถ้าเปิดวงขึ้นมา คนแน่นเอี๊ยด แต่ถ้าเราแขวนไว้ที่เอกชัย ตายไปนานแล้ว และถ้าผมไม่ได้เกี่ยวกับวัฒนธรรม มันก็เหมือนคนอื่นๆ ผมคิดว่าเราลงจากเวทีในขณะที่เราเป็นแชมป์ ดีกว่าเราโดนต่อย แล้วเข็มขัดร่วง แล้วเราก็จะปลูกฝัง ตอนนี้ “คณะเทพศรัทธา” ดังมากในภาคใต้ ผมเป็นคนตั้งคณะขึ้นมา เด็กในวงเป็นลูกศิษย์ ทุกคนเรียนจบสูงๆ กันทั้งนั้น และเขาได้การร้องการรำจากเรา พอเรามีเด็กที่เรียนจบแขนงต่างๆ เราก็สามารถให้เขาใช้ความรู้ที่เรียนมาใส่ในคณะได้
หลายบทเพลงยังครองใจผู้ฟัง
สิ่งที่เราทำไว้ มันเป็นต้นแบบ ซึ่งมันเป็นความภาคภูมิใจแน่นอน แต่ว่าถ้าเราไปตัดสินนักร้อง ผมจะไม่ยึดถือว่าผมเป็นต้นแบบ จะเอาความเป็นธรรมชาติของเขาเป็นหลัก งานที่ทำทั้งเพลงและนาฏศิลป์ เวลาเดินไปไหน แล้วเจอลูกศิษย์ มันภูมิใจอยู่แล้ว ในภาคกลางจะมีหลายเพลงที่เป็นที่นิยมเช่น “หมากัด,รักเก่าที่บ้านเกิด, อกหักจากปักษ์ใต้, มนต์ขลังลังกาวี, ฉลองวันปราชัย, สวยกว่าเมียที่บ้าน”แต่ที่ภาคใต้จะเยอะมาก เพราะว่ามีเพลงในถิ่นที่คนภาคกลางไม่รู้จักอีกเป็นร้อยๆ เพลง
ที่มาของฉายา ‘ขุนพลเพลงใต้’
มาจากตอนที่ไปออกรายการเวทีไทย ขุนพลเพลงพื้นบ้านจากปักษ์ใต้ คือชื่อเต็ม ซึ่งแน่นอนว่ามันบ่งบอกตัวตนของเราในนั้น ฉายาของแต่ละคน เขาก็จะมีกันไป คือพอบอกแบบนี้ก็คงไม่มีคนคิดว่าเราเป็นคนเชียงราย (ยิ้ม)
ลูกๆ ที่อุปถัมภ์
จริงๆ ใช้คำว่าลูกได้หมดนะ เพราะว่าเขาเรียนทุนเราเพิ่งหยุดไปประมาณ 2 ปี เพราะว่าเขาจบปริญญากันหมดแล้ว เมื่อก่อน 70 กว่าทุน แต่ว่าที่เราเอามาดูแลที่บ้านและดูแลกันอยู่ห่างๆ ก็น่าจะสิบกว่าคน ทั้งผู้หญิง-ผู้ชายครับ ส่วนใหญ่ลูกๆ ที่ผมอุปถัมภ์ก็จะได้ทำอะไรที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม ถ้าไม่ใช่สายนี้ ก็ไม่เอา ซึ่งผมอยากให้ทุกคนรับความรู้ความสามารถจากผมไปทุกอย่างเลย พูดแสดงร้องรำ ต้องให้อยู่ในคนเดียวกันหมด ก็พยายามจะยัดให้นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปกันถึงไหน มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจ ก็คือว่านักร้องสมัยก่อน เขาไม่ปั้นคน เขาไม่สร้างใคร อาจจะกลัวว่าที่สร้างจะมาทับตัวเอง แต่เราไม่คิดอย่างนั้น อย่าแต่ยืนบนบ่าเลย ยืนบนหัวก็ให้ยืน ถ้าคนเห็นเยอะๆ (หัวเราะ) พร้อมให้ยืนเลย
บุคคลที่ทำให้มีวันนี้
สิ่งที่อยู่เหนือหัวเหนือใจผมทั้ง 2 พระองค์ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9” และ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ” ที่เราดูพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านมาตั้งแต่เด็กจนโต ก็เป็นแรงบันดาลใจเรานะ คนต่อมาก็คือพ่อบังเกิดเกล้าของผม ที่พยายามจะสร้าง จะยัดเยียดให้กับลูกคนนี้ แล้วลูกก็ได้มาเติมให้กับอีกหลายๆ ร้อยคนพันคนในปัจจุบัน ถ้าพ่อมองจากฟ้าลงมาพ่อจะภูมิใจมาก สิ่งที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ทุกวันนี้ นอกจากครอบครัว ก็ต้องขอบคุณแฟนเพลงที่บางคนรักเราแบบไม่มีเหตุผล จะรักในผู้ชายคนนี้ รักในงานของคนนี้ อยากจะบอกทุกคนว่าผมไม่เคยเอาเปรียบพวกคุณเลย ผมทำแต่สิ่งที่ดีๆ และคิดในสิ่งที่ดีๆให้พวกคุณมาตลอด ทั้งชีวิตผมจะไม่มีวันเป็นนายคุณ คุณต่างหากที่เป็นนายผม ถ้าคุณไม่ชอบอะไร ผมก็จะไม่ทำ ถ้าคุณไม่ศรัทธาอะไร ผมก็จะไม่แสวง ผมจะทำในสิ่งที่คุณมีความสุขเท่านั้น ผมขอบคุณประชาชนขอบคุณแฟนเพลงที่ทำให้ผมได้เกิดเป็นรอบที่ 2 เกิดรอบแรกคือเกิดจากท้องแม่ เกิดรอบที่ 2 ก็เกิดจากผลงานที่เราผลิตออกมาแล้วประชาชนให้การยอมรับ และทุกงานที่ผลิตออกมา ผมจะมีการสอดแทรกความเป็นวัฒนธรรมของผมอยู่เสมอ แล้วก็จะยังยืนยันตรงนี้ว่าในชีวิตบั้นปลายที่เหลือ จะทำให้มากกว่าที่เคยทำมา จะทำไปจนลมหายใจไม่มี
และนี่คือคำมั่นสัญญาจาก “เอกชัย ศรีวิชัย” สุดยอดขุนพลเพลงพื้นบ้านจากปักษ์ใต้ ขวัญใจคนไทยทั้งประเทศ
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี