คำโบราณบอกไว้...ชีวิตมีขึ้นมีลง อยู่ที่เราจะรับมือกับโชคชะตาได้แค่ไหน แล้วชีวิตของราชินีเพลงลูกทุ่งจากเมืองย่าโม อย่าง สุนารี ราชสีมา ต้องพบเจอกับสิ่งใดบ้าง วันนี้ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ได้โอกาสเหมาะ เจาะลึกความในใจของเธอมาฝากกัน
ช่วงชีวิตที่ขึ้นสูงสุด
จริงๆ ช่วงนี้ ก็เป็นช่วงที่พีคของสุนะคะ แต่มันอาจจะไม่ใช่ในเรื่องของการร้องเพลง คือเป็นผลพวงทั้งหมด ซึ่งถามว่าด้วยวัยของพี่ 51 ปี กับการอยู่วงการมา 33 ปี ณ วันนี้สุยังอยู่หน้าจอ ยังมีงาน แทบไม่มีวันหยุดทุกวัน เรียกว่าพีคได้ไหม ทั้งงานแสดง ถึงงานคอนเสิร์ตจะรับน้อยลง เพลงอาจจะไม่มีออกมา แต่ว่ามีงานคอมเมนเตเตอร์ งานละคร งานหนัง งานรายการต่างๆ ที่เข้ามา จนทำให้เราแทบจะไม่ได้หยุดเลย มันเหมือนกับช่วงเวลา เมื่อปี พ.ศ.2530-2540 ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่สุไม่เคยได้หยุดเลย เหมือนกับ ณ วันนี้ เพียงแค่รูปแบบการงานเราเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง แต่ก็เป็นผลเป็นประสบการณ์ มาจากการร้องเพลงทั้งหมดค่ะ สุรู้สึกว่าตอนนี้ทุกอย่างลงตัวมากกว่าตอนที่เราดังๆ ในเรื่องของการร้องเพลงด้วยซ้ำ ก็คือการใช้ชีวิต ด้วยความที่เราโตขึ้น วิธีคิด วิธีมองโลก เปลี่ยนไป ตอนเด็กๆ เราก็อาจจะ ดังมาก มีเงินเยอะ อาจจะเยอะกว่าตอนนี้ด้วยซ้ำ (หัวเราะ) แต่ถามว่ามีความสุขมากไหม หนึ่งตอนนั้นเราทำงาน จนเราไม่ได้พักผ่อน โดยที่เราจัดสรรอะไรไม่เป็นเลย เราอยู่แบบมีผู้จัดการ มีนายทุน แม้กระทั่งชีวิตเราก็ไม่มีอิสระ ก็จะเป็นเรื่องของตรงนั้น ที่เราไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ แต่ ณ วันนี้งานเราเยอะแยะ แต่เงินเราอาจจะไม่มีเหลือใช้เยอะแยะเหมือนเมื่อตอนสาวๆ แต่ชีวิตเราลงตัว วิธีการใช้ชีวิต เหมือนเราใช้ชีวิตเป็นมากขึ้น ไม่ทำอะไรที่เป็นทุกข์ ไม่คิดลบ ไม่คาดหวังอยู่กับลูก กับสามี ทำงานอย่างมีความสุข ไม่ใช่ทำเพื่อเงิน เอาเงินขึ้นมาเต็มรถ แต่ตัวเองนอนขดเหมือนแมวตัวหนึ่ง อยู่ในรถตลอดเวลา แต่ทุกวันนี้เราอยากไปเที่ยวไหน เราอยากทำอะไร เราไปได้ สุว่าทุกอย่างในตอนนี้ คือ ลงตัวค่ะ
ลงต่ำสุด
น่าจะเป็นช่วงที่มีสามีค่ะ คือพ่อของลูกชายทั้ง 2 คน แล้วเกิดมีปัญหาขึ้น เรื่องข่าวลือของชีวิตรักสามเส้า ณ วันนั้นทำให้คนเสื่อมศรัทธาสุมาก รู้สึกว่าเสียเครดิตในสิ่งที่ตนเองสร้างมา แต่ ณ วันนั้นเราไม่รู้จริงๆ ชั่วโมงนั้นเป็นชั่วโมงดาวน์ของสุจริงๆ แต่เรื่องมันผ่านมาแล้วค่ะ สุก็ไม่อยากไปโยงใยให้เสียหายกับคนอื่นแต่มองในมุมของสุ ตอนนั้นก็ปล่อยให้มันเป็นไป ก็มีคนพูดว่าให้แถลงโน่นนี่นั่น แต่ว่าสุกับอดีตสามีก็เหมือนเราแต่งกันเงียบๆ อยู่แล้ว โดยที่เราไม่เคยรู้ว่าเขามีภรรยาอยู่ สุดท้ายพอรู้ปุ๊บ สุก็ไม่คิดจะอยู่ แต่มันก็ไม่จบง่ายๆ คารังคาซังจนลูก 2 คน มีหลายเหตุผลหนึ่งวง งาน ลูกน้อง ทุกอย่าง รวมทั้งความรัก ความผูกพัน แต่ในใจคิดว่าไม่อยู่ละ แต่ไหนๆ ก็มีลูกกับเขาแล้วหนึ่งคน ก็มีอีกสักคนจะได้พ่อเดียวกัน จบ (หัวเราะ) จริงๆ วางแผนจะมีลูก 5-6 คนด้วยซ้ำ สุชอบครอบครัวใหญ่ แต่พอมีปัญหา ก็อ่ะ เอาอีกคน แล้วจบ สุดท้ายก็คือจบ เพราะว่าสุตั้งใจแล้วว่าไม่อยู่ และผู้หญิงทุกคนก็อยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีความคาดหวัง ตรงนั้นจึงเป็นพื้นฐานให้สุ พอจบจากเขา มีแฟนใหม่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยความที่เราคาดหวัง ตอนนั้นก็เลยรู้สึกเป็นช่วงชีวิตที่ดาวน์มากที่สุดค่ะ
ความภาคภูมิใจ
วันที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของ สุนารี ราชสีมา คือวันที่ได้ร้องเพลง “ส้มตำ” หน้าพระที่นั่งสมเด็จพระบรมราชินีนาถ กับสมเด็จพระเทพฯ ค่ะ ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว เพราะตอนนั้นทางสำนักพระราชวังให้สุร้องเพลงชุด “มณีพลอยร้อยแสง” อัลบั้มรวมบทเพลงพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทั้ง 12 เพลงเลยค่ะ นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ และที่สำคัญคือทำอัลบั้มชุดนั้นเสร็จ ก็มีการจัดงานที่เซ็นทาราฯ สมเด็จพระบรมราชินีนาถกับสมเด็จพระเทพฯ ท่านเสด็จฯ และให้สุร้องเพลง “ส้มตำ” โชว์ในงานนั้น แล้วในสคริปต์คือร้องจบ ก็กลับ แต่ว่าวันนั้นท่านตรัสให้สุเข้าเฝ้าด่วน คือกำลังจะออก ทีมงานวิ่งมาตาม บอกว่าท่านรับสั่งให้เข้าเฝ้า ตื่นเต้นมากค่ะเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าเฝ้าใกล้ชิด เป็นความภาคภูมิใจอย่างที่สุดเลยค่ะ ท่านตรัสถามว่าร้องเพลงยากไหม สุก็บอกไม่ยากเพคะ แต่สุก็พูดคำราชาศัพท์ไม่ค่อยเป็นนะคะ ก็จะกุกๆ กักๆ แต่ประทับใจมาก เพราะท่านก็บอกไม่เป็นไร พูดธรรมดาก็ได้ เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ภาคภูมิใจอย่างที่สุดค่ะ
บทบาทความเป็นแม่
จริงๆ สุไม่ค่อยใช้บทแม่กับลูกชายเท่าไหร่นะคะ จะเป็นบทเพื่อนมากกว่า นานๆ องค์แม่จะลง (หัวเราะ) คืออยากเป็นเพื่อน ทำให้ลูกรู้สึกว่ากล้าคุยกับเราได้ทุกเรื่อง เพราะด้วยความที่เราเรียนรู้จากตัวเอง พ่อกับแม่เลี้ยงเราแบบพ่อแม่เลี้ยงลูก เวลามีอะไรเราจะไม่ค่อยกล้าคุยกับพ่อแม่ พอยุคสมัยเปลี่ยนไป เราก็คิดว่าถ้าเรามีลูก เราจะเป็นแม่อย่างเดียวไม่ได้ เราต้องเป็นเพื่อน นานๆ ทีถ้าซีเรียสจริงๆ องค์แม่ถึงจะลง พอองค์แม่ลง ลูกก็จะรู้ เขาจะกลัวกันหมด เสียงจะเปลี่ยน แล้วเรียกมานั่งคุย แต่ลูกชายสุ 2 คนเขาไม่เคยสร้างปัญหา ที่เป็นความเดือดร้อน ทะเลาะวิวาท หรือยาเสพติดอะไรพวกนี้ แต่จะมีแค่เรื่องไม่เป็นระเบียบ ความไม่เป็นระเบียบเท่านั้น ด้วยความที่เขาเป็นเด็กผู้ชาย บางทีบ้านช่องละเลยจนเกินไป เราก็ต้องคุยกันด้วยเหตุด้วยผลว่ารู้ไหม..มี้ทำงานมาเหนื่อยมาก กว่าจะได้เงินมาซื้อบ้าน เราแค่ช่วยกันดูแลไม่ได้เหรอ ทำไมต้องทำให้เลอะเทอะ ช่วยกันรักษาหน่อยสิลูก ประตูทำไมต้องเปิดปิดแรงขนาดนั้น รู้ไหมว่า เปี้ยง! ที มี้นี่เจ็บจี๊ดนะ เพราะนั่นมันคือน้ำพักน้ำแรงของมี้ คุยกันด้วยเหตุด้วยผล ลูกน้องทุกคนเหมือนกัน ก็จะบอกว่าหยาดเหงื่อแรงกายเราทั้งนั้นนะ นั่งทำงานจนจะเป็นกระดูกทับเส้นแล้ว(หัวเราะ) ช่วยกันดูแลหน่อยเถอะ (ลูกๆ เรียนจบกันหรือยังคะ?) จะจบเดือนเมษายนปีหน้านี้แล้วค่ะ 2 คนเขาเรียนปีเดียวกัน ห่างกันแค่ต้นปีกับปลายปี แต่คนเป็นแม่ก็ห่วงไปหมด สุจะพูดกับเขาเสมอว่า ลูกแม่ไม่ต้องเก่ง แต่ลูกแม่ต้องเป็นคนดี เพราะถ้าดีแล้วอะไรก็จะพาไปทางที่ดีเอง เรื่องเรียนก็จะไม่เข้มงวด ให้เราสบายๆ ลูกสุเรียนโรงเรียนธรรมดาๆ ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที่ ตอนนี้เขาเรียนนิเทศฯ ทั้งคู่เลยค่ะเขาจะทำเกี่ยวกับหนัง แต่ร้องเพลงอะไรไม่เป็นเลยนะ ไม่ได้แม่เลย ห่างมากกก ไม่หล่นใกล้ต้นเลย หล่นไกล๊ไกล ร้องเพลงไม่ได้ เสียงเพี้ยน(หัวเราะ) เขาขี้อายค่ะ เรื่องเบื้องหน้า น้องเอ-ศุภชัยก็บอกให้พาไปหา เดี๋ยวจะดูแลให้ แต่เขาขี้อายมากค่ะ
กลับสู่ฐานะภรรยาอีกครั้ง
(คำว่า “เมียฝรั่ง” มีผลกับความรู้สึกไหมคะ?) ไม่นะคะ เพราะว่าสุก็เรียนรู้จากความผิดพลาด การเป็นเมียคนไทยมา สุดท้ายไม่ว่าจะเมียไทย หรือเมียเทศ ถ้าใจไม่มั่นคง หรือไม่คิดจะอยู่ด้วยกัน มันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นการอยู่ด้วยกัน ต้องจริงใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัย ทุกอย่างอยู่ที่ความเข้าใจ ของสุกับสามี (วาวเตอร์ เดราฟ) อาจจะมีความแตกต่างเรื่องของวัย แต่ด้วยวิธีคิดของฝรั่ง ทำให้ปัญหาตรงนี้หายไป เพราะเขาก็พยายามที่จะทำให้ตัวเองดูมีอายุนะ(หัวเราะ) เขาพยายามที่จะไว้หนวดไว้เครา ทำโน่นนี่นั่นให้ดูบาลานซ์กับเมีย เขาก็รู้ปัญหาของคนไทยเวลามองว่ามองเราแบบไหน เขารู้ค่ะ คำว่ากินเด็กอะไรนี่คือวาวเตอร์เข้าใจ เขาก็กลัวว่าเราจะรู้สึกไม่ได้ เวลาไปไหนมาไหนเขาก็จะลุคตัวเองให้ดูผู้ใหญ่ เขาทำของเขาเองนะ เราไม่ได้ไปขอสุก็ถามเขาจะไว้หนวดไว้เคราทำไม เขาก็บอกฉันจะได้ดูใกล้ๆ เมียฉัน(หัวเราะ) วาวเตอร์เขาชอบความเป็นไทย ชอบอาหารไทย ชอบประเทศไทย ก็เลยเหมือนใฝ่ที่จะเรียนรู้ทุกอย่าง ก็เลยง่ายสำหรับสุ เพราะสุไม่มีเวลาที่จะเรียนรู้ภาษาของเขาเลย รู้ภาษาดัทช์ไม่กี่คำเองค่ะ อังกฤษก็งูๆ ปลาๆ ทุกอย่างใจล้วนๆ ก็ได้วาวเตอร์ที่เขาใฝ่ไทย เขาเรียนรู้ภาษาไทยเร็วมาก เวลาส่งเมสเสจเป็นวอยซ์เมล์มา ถ้าเปิดให้เพื่อนฟัง เพื่อนไม่รู้นะว่าเป็นฝรั่งพูด เขาคิดว่าคนไทยพูด สำเนียงเขาดีมาก เขาไปลงเรียนช่วงแรกๆ แต่ตอนนี้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงมากกว่าค่ะ (การกลับมาเป็นภรรยาอีกครั้ง) ครั้งนี้ไม่คาดหวังเลยค่ะ คราวนี้รู้ละว่าต้องอยู่ยังไงให้มีความสุข ทำหน้าที่เมีย ทำงานของเราให้ดีที่สุด โดยให้เกียรติซึ่งกันและกัน บางคนเขามองว่าสุเลี้ยงสามี หรือบางคนบอกทำไมไม่หาสามีรวยๆ ก็แล้วแต่คนจะคิดจะมองค่ะ สุไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลย สุหาแต่คนดี คนที่รักเราจริงๆ เพราะถ้าจะหาสามีรวย ก็ได้ตั้งแต่สาวๆแล้วค่ะ มีเยอะแยะไป แต่เราไม่เคยคิดเรื่องนั้น (ได้เจอกับครอบครัวของวาวเตอร์บ้างไหม?) เจอค่ะ จริงๆวัฒนธรรมของคนเนเธอร์แลนด์ก็คล้ายๆ กับคนไทย เพราะว่าเป็นระบบกษัตริย์เหมือนกัน เขาก็จะมีความเป็นครอบครัว ตอนแรกก็คิดว่าฝรั่งคนตัวใครตัวมัน แบบอเมริกันสไตล์ แต่สำหรับเนเธอร์แลนด์เขายังอยู่กันเป็นครอบครัว ถึงพี่ชายเขามีครอบครัว ออกไปมีบ้านของตัวเอง แต่ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์เขาก็กลับมาหาพ่อแม่ มากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา วาวเตอร์เขาก็ยังอยู่กับพ่อแม่ เขาไม่ไปซื้อบ้านข้างนอกเหมือนอเมริกันสไตล์ เพราะฉะนั้นสุแทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรเลยค่ะ มีเพียงบางอย่างที่วัฒนธรรมเราแตกต่างกัน พออยู่กันจริงๆ ก็เรียนรู้กันไปวันต่อวันค่ะค่อยๆ บอกกันไป (ทายาท?) ไม่มีแล้วค่ะ มีไม่ได้แล้ว สุหมดประจำเดือนแล้ว ตอนที่คบกับวาวเตอร์แรกๆ ตอนนั้นสุยังอายุ 46 ปี ยังมีได้ แต่ว่าก็ไม่ลงตัว เพราะถ้ามีสุก็ต้องหยุดงาน ก็เสียดาย ทุกอย่างกำลังดี ก็เลยไม่ได้ซีเรียสค่ะ สุดท้ายพอมีไม่ได้ ก็คุยกับเขา ว่าฉันมีไม่ได้ เธอมีปัญหาอะไรไหม เขาก็บอก เธอมีไม่มี ฉันก็รักเธอเหมือนเดิม (รอเป็นคุณย่า?) ไม่เลยค่ะ จะบอกลูกเสมอว่าถ้าตราบใดยังไม่พร้อม อย่านะ ถ้าเราไม่พร้อม มีลูก ลูกก็จะไม่พร้อม ขนาดมี้หาเงินได้ขนาดนี้ พวกเราชีวิตก็ใช่จะสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นอะไรที่มีเปอร์เซ็นต์เสี่ยงอย่าไปทำ ถ้าทำงานได้ มีเงินเดือนกิน แต่ไม่ยังไม่มีเงินเก็บ อย่าทำ มีเมีย มีแฟนไปแต่อย่ามีลูก ภาระคนทั้งคน ทำยังไงจะให้เขาสมบูรณ์ที่สุด คือเราต้องพร้อมที่สุด บอกเขาแค่นี้ค่ะ
ความมุ่งหวังต่อจากนี้
สุอยากไปอยู่บ้านนอกมากเลยค่ะ ทำสวนเกษตรพอเพียง อยากจะไปนั่งอยู่อย่างนั้นแล้ว อยากไปมาก แต่ว่างานก็กำลังดี ก็มาคิดอีกทีว่าทำไปก่อน ในเมื่อเรายังมีแรง แต่ว่าในขณะเดียวกัน สุก็วางแผนทุกอย่าง ลงฝรั่ง ลงโน่นนี่นั่น สุมีที่ที่นคราชสีมา 100 กว่าไร่ ก็จะลงมะม่วง ลงทุเรียน ผลไม้ต่างๆ นานา ส่วนพวกผักสวนครัว เอาไว้เราไปอยู่ ก็ค่อยไปทำ ตอนนี้ลงพวกพืชยืนต้นไว้ก่อน ซึ่งที่สุอยากไปมาก เพราะอยากไปอยู่กับแม่ค่ะ เพราะว่าแม่ย่าง 92 แล้ว ก็อยากใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายกับแกค่ะ แต่เขาก็ยังแข็งแรงนะ เขาอยู่กับธรรมชาติ ทำงานกินผักกินปลา พ่อสุเสียตอนอายุ 92 ตอนนั้นพ่อนี่หุ่นดีมาก ไม่มีพุงเลย 92 แล้วยังมีรอนซิกแพ็กอยู่เลย เรานี่ไม่ได้อย่างแก สุเคยคิดว่าเราเป็นคนที่ให้เวลากับพ่อแม่ กับครอบครัวเยอะที่สุดแล้ว แต่พอเสียพ่อไป ถึงได้รู้ว่าน้อยมาก แล้วเราก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้แล้ว ก็เลยอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่กับแม่ให้นานที่สุดค่ะ
ผลงานหนังเรื่องล่าสุด
เรื่อง “ขุนบันลือ” คือพอพี่หม่ำโทร.มาบอกว่า พี่ทำหนัง จะให้สุเล่นเป็นแม่ สุก็รับเลย ไม่ได้ถามว่าบทมีอะไรยังไง เพราะสุรู้ว่าสนุกแน่ๆ แล้วมันก็สนุกจริงๆ ถ่ายทำก็สนุก อยู่ที่กองสนุกกันทุกวัน สนุกกว่าในหนังแน่ เพราะหนังยังมีเวลาจำกัด แต่อยู่กองทั้งวันทั้งคืนฮากันขี้แตกขี้แตนเลย(หัวเราะ) ตลกแต่ละคนเขาก็จะมีลีลาของเขา ความน่าสนใจของบทสุในเรื่องนี้ ก็คือเป็นคุณหญิงแม่ เป็นผู้ดีที่ไม่ใช่ผู้ดี(หัวเราะ) จะเป็นยังไงต้องไปชมในหนังค่ะ ตอนถ่ายฉากเลิฟซีน นี่หลุดขำเลย เพราะพี่หม่ำทำเสียงตัวอย่างให้เราทำตาม แล้วเราก็ทำไม่ได้(หัวเราะ) แกทำเสียงแบบ...ใส่เต็มขนาดนั้น แล้วเราจะไปทำได้ยังไง(หัวเราะ) ในหนังจะเป็นยังไงต้องลองไปดูกันค่ะ เข้าฉาย 27 ธันวาคมนี้ ฝากด้วยนะคะ รับรองว่าสนุกแน่นอน
นักแสดงการันตีความฮาขนาดนี้ เห็นทีสิ้นปีนี้ คอหนังไทยคงได้ยิ้มเบิกบานกันทั้งประเทศแน่นอนค่ะ
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี