โด่งดังอย่างต่อเนื่อง หลังนักแสดงหนุ่ม ทิโมธี ชาลาเมต์ วัย 23 ปีสร้างชื่อให้กับตนเองในปี 2017 จากบทบาทการแสดงใน “Lady Bird (เลดี้ เบิร์ด)” และผลงานที่ส่งให้เขาเป็นนักแสดงชายที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอย่าง “Call Me by Your Name (คอล มี บาย ยัวร์ เนม)” ล่าสุด ทิโมธี ชาลาเมต์ ได้มีโอกาสพิสูจน์ฝีมืออีกครั้ง เมื่อเขาได้พบกับ นิค เชฟฟ์ ผู้เป็นนักเขียนและได้รับการบำบัดอาการติดยาเสพติด ในภาพยนตร์ “Beautiful Boy (บิวตี้ฟูล บอย)” ซึ่งเขาต้องแสดงเป็น “นิค”
นิค เผยถึงครั้งแรกที่พบกับทิโมธีว่า“ผมรู้สึกได้ทันทีถึงพลังงานอันเหลือล้นที่อยู่ในตัวเขา ทันทีที่เขานั่งลงต่อหน้าผม ผมก็รู้ได้เลยว่าเขาห่วงแค่สิ่งๆ เดียว นั่นก็คือความถูกต้องและความสมจริงเกี่ยวกับการสวมบทเป็นตัวผมครับ เขาเป็นคนที่ไม่ธรรมดาครับ เขามีไหวพริบที่มากเกินกว่าอายุของเขา บางครั้งเขาก็ทำตัวเป็นเด็ก เล่นกับเพื่อนๆ ของเขาอย่างสนุกสนาน บางครั้งเขาก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ฉลาด รอบคอบ และมีวาทะศิลป์ในการพูดครับ”
แม้แต่ผู้กำกับอย่าง ลูกา กัวดาญิโน่จาก “Call Me by Your Name” ยังอดชมทิโมธีไม่ได้ “ครั้งแรกที่เราได้พบกัน ผมก็รู้สึกได้ทันทีครับว่าเด็กคนนี้ต้องมีดีแน่ๆ เขาเป็นคนที่มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ และมีความทะเยอทะยานในการเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังเป็นเด็กหนุ่มที่ใสซื่อและอ่อนโยนด้วย องค์ประกอบทั้งสองด้านนี้ทำให้เขาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมากครับ” ด้านผู้กำกับ สก็อต คูเปอร์ เผยว่า “เขาแสดงอาการหวาดกลัวได้อย่างสมจริง เหมือนกับปลาที่อยู่บนบก ไม่พร้อมเผชิญกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเขาเป็นนักแสดงที่ฉลาดมากๆ และพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ”
ภาพยนตร์ของ เฟลิกซ์ ฟาน โกรนินเกนถูกสร้างจากเรื่องจริงที่เรียบเรียงผ่านหนังสือบันทึกความทรงจำ 2 เล่ม “Beautiful Boy” ของ เดวิด เชฟฟ์ และ “Tweak” ของ นิค เชฟฟ์บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งสอง ลูกชายผู้เผชิญหน้ากับอาการอยากยาของเขา และพ่อผู้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรลูกชายได้
ผู้กำกับ เฟลิกซ์ กล่าวถึงเรื่องที่ ทิโมธี ชาลาเมต์ โคจรมาพบกับนักแสดงมือเก๋ามากฝีมืออย่าง สตีฟ คาเรล ว่า “พวกเขาทั้งสองเล่นกันได้เข้าขามากครับ มันเห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองคนเป็นพ่อลูกที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้วการดิ้นรนและความเจ็บปวด คือสิ่งที่นิคเคยต้องเผชิญในระหว่างที่เขากำลังรับการบำบัด และก็เป็นหน้าที่ของทิโมธีที่ต้องถ่ายทอดความรู้สึกเหล่านี้ผ่านการแสดง ซึ่งเขาก็นำความรู้สึกเหล่านั้นถ่ายทอดออกมาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความอับอาย ความโศกเศร้า รวมถึงความสุขและความผ่อนคลายด้วย”
ทิโมธี ได้รับบทใน “Beautiful Boy” ก่อนที่ “Call Me by Your Name” จะทำให้ชื่อของเขาได้จารึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ เขาได้กล่าวว่าแค่ได้รับบทในหนังเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกดีใจแล้ว “ผมรู้สึกว่าพวกเราควรสร้างหนังอย่าง “Beautiful Boy” ออกมาให้คนดูอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญมากไม่เพียงเฉพาะกับคนอเมริกาเท่านั้น แต่มันยังครอบคลุมไปถึงคนทั่วโลกที่มีอายุไล่เลี่ยกับผม พวกเราต้องสืบทอดเจตนารมณ์ในการส่งสารเกี่ยวกับเรื่องที่มีความอันตรายอย่างใหญ่หลวงกับครอบครัวมากมายทั่วโลก และมักจะเมินเฉยในเรื่องของการสื่อสาร ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งสำคัญสำหรับงานศิลป์และภาพยนตร์ครับ”
“Beautiful Boy แด่ลูกชายสุดที่รัก” เป็นหนึ่งในภาพยนตร์จากโปรเจกท์ “หนังผมไม่เล็กนะครับ” จากค่าย M PICTURES ที่เตรียมเข้าฉายให้คนไทยได้หลงเสน่ห์ของหนุ่มคนนี้ในวันที่ 17 มกราคม 2562
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี