วันพุธ ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / บันเทิง
5 โมเม้นต์เปลี่ยนชีวิต  เอส-กันตพงศ์ บำรุงรักษ์

5 โมเม้นต์เปลี่ยนชีวิต เอส-กันตพงศ์ บำรุงรักษ์

วันพุธ ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562, 06.00 น.
Tag : สารวัตรใหญ่ พระเอกช่อง7 เอส กันตพงศ์ บำรุงรักษ์ เอส กันตพงศ์
  •  

ละคร “สารวัตรใหญ่” ลาจอแบบได้ใจผู้ชม ช่อง 7 HD จนแฟนๆ ต่างยกนิ้วให้กับความสามารถของทีมผู้สร้างและนักแสดง โดยเฉพาะพระเอกของเรื่อง เอส-กันตพงศ์ บำรุงรักษ์ที่เผยพัฒนาการงานแสดงไปอีกขั้น แต่วันนี้ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ขอพักเรื่องบู๊แอ๊กชั่นไว้ก่อน เพื่อคว้าแขนหนุ่มมาดเข้ม มาจับเข่าคุย เล่าถึงโมเม้นต์สำคัญ ที่แต่ละเรื่องนั้น เจ้าตัวบอกว่าเป็น โมเม้นต์เปลี่ยนชีวิต เลยก็ว่าได้!?

โมเม้นต์ธรรมะพลิกชีวิต


ผมเป็นไมเกรนตั้งแต่ 10 ขวบครับ และเป็นไฮเปอร์เวนติเลชั่นซินโดรมตอนอายุ 15 คนไทยเรียกโรคมือจีบ คือมือหงิก เกร็ง ชาทั้งตัว ขยับได้แค่ลูกตา มันเกิดจากออกซิเจนในเลือดสูงเกินไป เหมือนแพนิค แอคแทค ที่ในหนังฝรั่งเขาเอาถุงพลาสติกครอบจมูกกัน เกิดจากความเครียดขึ้นกว่าของไมเกรนที่เราควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ จำได้ว่าเป็นตอนวันเกิดผม วันที่ 8 เดือน 8 ตอน ม.3 เราก็คิดถ้าเป็นอย่างนี้ได้ตายก่อนอายุ 20 แน่ๆ คงเส้นเลือดในสมองแตกตาย ก็เลยเป็นช่วงที่พลิกชีวิตให้มาศึกษาธรรมะ ที่บ้าน คุณยายคุณพ่อคุณแม่เป็นคนที่พาเราเข้าวัดตั้งแต่เด็ก เราก็เริ่มศึกษาด้านธรรมะ เพราะผมดื้อยาทุกอย่างแล้ว เป็นทีนึงต้องเข้าไอซียูแต่ตอนแรกก็ยังไม่ใช่ธรรมะแบบถูกต้อง ได้หนังสือสวดมนต์มา ก็พลิกด้านหลัง อ่านคาถาอย่างเดียวเลย คาถาเมตตามหานิยม เสกน้ำมนต์ล้างหน้าตัวเองยิ่งทำยิ่งเละเทะ ออกนอกลู่นอกทาง อาการก็ไม่หาย ถึงจะใช้ชีวิตปกติได้ แต่ถ้าเครียดทีก็จะหนัก ต้องหาถุงพลาสติกมาครอบตัวเอง ผมก็มานั่งคิดแบบนี้ไม่ใช่ธรรมะแน่ๆ แก่นของธรรมะคืออะไร อยู่ตรงไหน จนได้มาเจอคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ ตอนอายุ 18 ตอนนั้นล่ะครับเป็นตอนที่พลิกจริงๆ เหมือนธรรมะเปิดของคว่ำให้หงาย ก็เริ่ม อ๋อ...มาเรื่อยๆ ศึกษาธรรมะในทางที่ถูกต้องมาเรื่อยๆ เริ่มฝึกวิปัสสนา ทำอานาปานสติ เริ่มมีวัคซีนหัวใจที่คุ้มกันตัวเองได้ เวลามีเรื่องมากระทบก็จัดการความคิดตัวเอง จนไมเกรนผมมาหายตอนอายุ 21-22 ทุกวันนี้ผมไม่ได้บอกว่าผมสำเร็จ ยังอีกไกลเลย แต่ว่ามันเบาลงเรื่อยๆ เพราะเรามีธรรมะเป็นตัวช่วยในเรื่องของจิตใจ แต่ถ้าเป็นจากสภาวะร่างกายไม่แข็งแรง ก็อาจจะมีบ้าง อย่างนอนดึก ถ่ายละครติดๆ กันหลายวัน อันนั้นก็จะอยู่เหนือการควบคุมของเรา เพราะเราใช้ร่างกายหนักเกินไป จากตรงนั้นเลยทำให้ผมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ ไม่อย่างนั้นผมอาจจะกลายเป็นเด็กเสเพล หรือตายตั้งแต่ยังไม่ 20 ส่วนอาการไฮเปอร์เวนติเลชั่นซินโดรมก็มีบ้างตอนที่เล่นละครช่วงแรกๆ แล้วเป็นฉากร้องไห้ ยังคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เราก็เล่นจริง แยกไม่ออก ก็เกิดตัวชาขึ้นมา จนต้องร้องขอถุง เขาก็งงกันว่าเราเป็นอะไร เราก็ต้องอธิบาย แต่หลังๆ เริ่มเรียนรู้เรื่องจริงกับละคร เล่นอินโดยที่ไม่กระทบกับตัวเองครับ

ข้อแนะนำ : ทุกวันนี้คนเรามีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ อย่างไข้หวัดใหญ่ เข็มเดียวกันได้ทั้งปี แต่คุณไม่มีวัคซีนทางใจกันเลย พอคุณมีปัญหาชีวิต เลิกกับแฟน อกหัก โดนไล่ออก ไม่มีเงิน คุณก็จะรับมันไปเต็มๆ แต่ผมมีวัคซีนทางใจ ทุกข์เข้ามา ก็จะทุกข์ไม่มาก ทุกข์ไม่นาน เพราะรู้จักวิธีจัดการกับปัญหาได้ดีขึ้น ถ้าจะให้แบ่งปันง่ายๆ คือ ให้มองปัญหาให้เป็นปัญหา ฟังดูอาจจะกวนๆ นิดหนึ่งครับแต่เพราะคนส่วนใหญ่มองปัญหาเป็นความเครียด ปัญหากับความเครียดจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน สมมุติวันนี้ขับรถไป อยู่ดีๆ มีรถมาชนท้ายเรา ปัญหานี้เราไม่ได้ก่อด้วยซ้ำ คนอื่นก่อขึ้น แต่จะเครียดหรือไม่เครียดขึ้นอยู่กับเรา อย่างในข่าวที่รถกะบะไปชนรถแมคลาเรน เจ้าของรถไม่เครียดเลย คนชนน่ะเครียดกว่าอีก รถแพงมาก 30 กว่าล้าน แต่พอเจ้าของรถลงมา เขาบอกพี่โชคดีมาก ที่พี่ชนรถผม เป็นคนอื่นเขาอาจจะฟ้องพี่ก็ได้นะ คือเจ้าของรถสบายๆ มาก เพราะเขาดูแล้วว่าเหตุการณ์นี้มันต้องเป็นปัญหาชีวิตกับคนที่ชนแน่ๆ เพราะจากคลิปก็คือขับรถโดยประมาท แต่กลายเป็นว่าเจ้าของรถบอกไม่เป็นไร ผมมีประกัน พี่ไม่ต้องเครียด ปัญหาส่วนของปัญหา ความเครียดส่วนของความเครียด เราเลือกได้ อย่าทำตัวเป็นผู้เล่น ให้เป็นผู้ดูครับ เหมือนเวลาดูคนเล่นหมากรุก เรายืนดูก็จะมีความรู้สึก ทำไมไม่เดินไปทางนั้นกินสามต่อเลยนะ คนเล่นก็จะแบบเก่งมากนักมาเล่นเองเลย แต่พอเล่นเองไม่เห็นเก่งเลย เพราะการเป็นผู้ดู สมองจะไม่มีความเครียด ไม่มีความกดดัน เราก็จะมองเห็นทางออก ตรงนี้ครับที่อยากให้ลองเอาไปใช้กัน (เอสเคยบวชหรือยังคะ?) ยังเลยครับ คุณพ่อไม่ให้บวช เขากลัวผมจะยาว (หัวเราะ) สิ่งแรกที่เราขอตอนเรียนจบ คือขอบวช แต่เขาบอกอย่าเพิ่ง แต่งงานก่อนเขากลัวยาวครับ

โมเม้นต์ข้ามรุ่น

เรื่องนี้เป็นโมเม้นต์ฮาๆ ครับ ผมเรียนว่ายน้ำตั้งแต่เด็ก และมีแข่งว่ายน้ำ 50 เมตร ของสโมสรที่ผมไปเรียน ผมอายุ8 ขวบ แต่ไปลงผิด แข่งรุ่นอายุ 12 ขวบ แล้วคุณพ่อก็เล่าให้ฟังว่าตอนพาเดินไปเข้าจุดสตาร์ท มีเด็กที่อายุ 12 ขวบ เดินผ่านผมแล้วก็ทำท่าลูบปาก แบบหวานหมูแล้ว เพราะตอนนั้นเด็ก 8 ขวบ กับ 12 ขวบ ตัวต่างกันลิบเลย แล้วผมเป็นคนพุ่งหลาวไม่เป็น เขาต้องยืนโพเดี้ยมพุ่งลงไป แต่ผมทำไม่เป็น ก็ไปขอกรรมการ ขอยืนในน้ำแล้วถีบตัวออกไป ซึ่งมันจะเสียเปรียบก็ยอม แต่กรรมการไม่ให้ เพราะผิดกติกา สุดท้ายพอเขาเป่าปี๊ดปุ๊บ ผมก็โดดจ๋องลงไปยืน แล้วค่อยถีบตัวออกไป สตาร์ทช้ากว่าคนอื่น แล้วพอว่ายไป ยิ่งกว่าละครอีกครับ แว่นที่ใส่หลุดก็มาข้างหนึ่ง น้ำเข้าตา ก็หลับตาว่ายข้างเดียว แต่โชคดีว่าเป็นคนกลั้นหายใจนาน คือว่าย 50 เมตร หายใจแค่ครั้งหรือ 2 ครั้งเท่านั้น เราก็ว่ายไม่ลืมหูลืมตา สุดท้ายเข้าเส้นชัย ชนะ! แล้วเด็กที่มาลูบปากมองผม เขาได้ที่ 2 ตอนมายืนโพเดี้ยมรับรางวัล ผมยังมีรูปเขาอยู่เลย หน้าเขาคิ้วขมวด แล้วปากเบ้ เซ็งมาก (หัวเราะ) ส่วนหน้าผมยิ้มแบบกระหยิ่มมาก แล้วตอนนั้นผมเป็นเด็กอ้วนด้วย เป็นโมเม้นต์ที่ขำมาก

จับพลัดจับผลูเป็นนักฟันดาบ

ระหว่างเล่นบาสเกตบอล ช่วงม.1-ม.2 ผมเกิดเข่าหัก ร่างกายก็เลยหยุดสูงผมไปหาหมอ ผมไม่ถามอย่างอื่นเลยถามแต่ว่า “ผมจะสูงได้อีกรึเปล่า” หมอบอกว่า “คุณยังสูงได้ แต่อาจจะไม่สูงกว่านี้เพราะมีปัญหาเรื่องเข่า” ซึ่งก็จริง แขนผมยาวกว่าคนทั่วไป แต่ขาไม่ยาวขึ้น ระหว่างที่เข่าต้องพันผ้า ก็ไม่หยุดเล่นกีฬาไปต่อยมวยอีก แต่ต่อยๆ ไปทำไมมันตึงๆ เจ็บนิ้ว ลองดัดนิ้วดู ปรากฏ ก๊อก!!นิ้วหัก (หัวเราะ) แล้วผมเรียนโรงเรียนเซนต์ดอมินิก โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก็คือบำรุงราษฎร์ เพื่อนก็พาไปหาหมอ และช่วงนั้นก็ต้องไปหาหมออยู่เรื่อยๆ ระหว่างอยู่ในลิฟต์กับคุณแม่ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า นิ้วหัก เข่าหัก พอจะออกจากลิฟต์ เขาถามผมสนใจอยากฟันดาบไหม ผมก็งง สภาพผมตอนนั้น ตรงไหนที่มันน่าชวนเนี่ย (หัวเราะ) อาจจะเพราะว่าตอนนั้นผมใส่ชุดนักเรียน แล้วดูตัวสูง ซึ่งเขามีโครงการส่งเด็กไปโอลิมปิก แข่งฟันดาบ เขาออกทุนให้ทุกอย่างเลยตอนหลังก็เลยทราบว่าท่านเป็นพันเอกพิเศษ ผู้ก่อตั้งชมรมฟันดาบโรงเรียนนายร้อยจปร. และเป็นคนก่อตั้งชมรมฟันดาบหน้ากากดำ ผมก็ไปฝึกที่สนามกีฬาแห่งชาติ จริงๆ ต้องฝึก 5-6 เดือน ถึงจะลงแข่ง แต่ผมฝึกแค่ 3 เดือน ก็ได้ลงแข่งแล้ว แล้วแข่งไปเรื่อยๆ จนได้ที่ 5 ของเยาวชนเอเชีย แต่สุดท้ายเราต้องเลือกระหว่างแข่งเอาดีทางด้านนี้กับไปสอบเป็นนายร้อยตำรวจ ตอนนั้นอยากเป็นตำรวจ เพราะดูละครสารวัตรใหญ่ แล้วอยากเป็นตำรวจ ผมถึงดีใจมากที่ได้มาเล่นเรื่องสารวัตรใหญ่ เพราะตอนนั้นสารวัตรใหญ่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากเป็นตำรวจ สุดท้ายก็เลยเลือกไปสอบนายร้อยตำรวจ แต่ไม่ติดครับ และเรื่องฟันดาบก็หยุดไป เลยเป็นเรื่องที่ประทับใจว่าครั้งหนึ่งเรามีเวลาแค่แป๊บเดียว แต่เราสามารถแข่งจนติดอับดับเยาวชน และชนะผู้ใหญ่ได้ด้วยก็เลยภูมิใจ เป็นประสบการณ์ที่ประทับใจอยู่ดีๆ ก็ได้ใส่ชุดฟันดาบ สาวๆ กรี๊ด (หัวเราะ)

ดื้อที่จะเรียนด้านธุรกิจ

โมเม้นต์นี้เกิดขึ้นตอนไปเรียนที่เอแบคครับ เพราะพอสอบเข้านักเรียนนายร้อยไม่ได้ เราก็ดื้อกับคุณพ่อ ไปเรียนด้านธุรกิจ จนได้มาเจออาจารย์ชัชชัย อาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ซึ่งเพื่อนผม “มด” เป็นจีเนียส เรียนเก่งมาก อยู่ ม.3แต่เรียนของเอนทรานซ์จนหมดแล้ว เราเห็นเพื่อนลงคอร์สภาษาอังกฤษ เราก็ไปสมัครด้วย ปรากฏไปเรียนเป็นคอร์สเอนทรานซ์ ทั้งที่เราอยู่แค่ ม.3 ก็เลยโชคดี อาจารย์เขาก็สอนว่าต่อไปทางเลือกของเราจะมีอะไรบ้างในทางธุรกิจ เขาก็ยกตัวอย่างให้ฟัง เราก็มองว่าตอบโจทย์เรานะ งานธุรกิจสามารถทำประโยชน์ให้ประเทศได้เหมือนกัน ก็เลยอยากทำธุรกิจระหว่างประเทศ ผมก็ไปบอกพ่อว่าอยากเรียนเอแบค แต่คุณพ่อบอกถ้าไม่ได้เรียนตำรวจ ก็ไปเข้าที่อื่น เรียนจุฬาฯ ไปสอบนิติศาสตร์ หรือไม่ติดก็ไปเรียนรามฯ ถ้าเรียนเอแบคเขาไม่สนับสนุน คือท่านไม่อยากให้เรียนสายอื่น อยากให้เรียนสายนิติศาสตร์ เพื่อไปสอบเทียบนายร้อย เราก็ดื้อมาเรียนเอแบคจนได้ พ่อก็ไม่ประทับใจ จนมาขึ้น ปี 3 มีโครงการ ABAC DummyCompany Project เป็นโครงการของมหา’ลัย ที่ให้ทำบริษัทจำลอง แต่ว่าทำธุรกิจจริงทุกอย่าง รับสมัครพนักงาน เซลส์ผู้บริหาร โดยมีอาจารย์เป็นคณะกรรมการคัดเลือก สัมภาษณ์งานจริงๆ ตอนนั้นผมเรียนปี 2 กำลังจะขึ้นปี 3 ยังไม่ได้เลือกเมเจอร์ เราเลือกเรียนการตลาด เลือกดีเทลมาร์เกตติ้ง มีชั่วโมงเรียนที่ต้องไปเป็นเด็กฝึกในแฟมิลี่มาร์ทของมหา’ลัย ไปเป็นเด็กจัดสต๊อก จนเลื่อนขั้นมาเป็นแคชเชียร์ แล้วอาจารย์เขาเห็นหน่วยก้านไอ้นี่มันคล่อง ก็เลยบอกว่ามีโครงการ ABAC Dummy Company สนใจไหม ลองไปสมัครสิ คนส่วนใหญ่เขาก็จะไปสมัครเป็นเซลส์ เป็นการตลาดกัน แต่ผมไปสมัครเป็น GM (General manager) เลยครับอาจารย์กับศิษย์เก่าก็มานั่งสัมภาษณ์เป็น 10 คนเลย เขาถามคำถามยากๆ จนเราตอบไม่ได้ แต่ผมตอบไปว่า “คำถามนี้ผมตอบไม่ได้ครับ แต่ผมสัญญาว่าถ้าให้โอกาสผมเป็น GM ผมจะทำทุกวิถีทางเพื่อหาคำตอบมาให้ได้” เขาคงเห็นความตั้งใจ ก็เลยได้เป็น GM ผู้บริหารข้างใต้เราหลายๆ ตำแหน่งเป็นปี 3 ปี 4 หมด เราเด็กที่สุด เซลล์บางคนรุ่นเดียวกับเรา ตอนนั้นมีผู้บริหาร 9 คน เซลส์ 745 คน ขายสินค้า 1,500 ไอเท็ม ขายตั้งแต่ขนมหมี ยันรถเลกซัส คือให้ทำในรูปบริษัทจริงทั้งหมด เงินลงทุนก็ของเราเองทั้งหมดผู้บริหาร 9 คนหารกัน แต่ได้กำไรมาต้องแบ่งมหา’ลัย 20% เพื่อที่มหา’ลัยจะเอาไปบริจาคให้เด็กที่ด้อยโอกาส แล้วเขาก็พาเราไปบริจาคด้วย เรียกว่าได้ฝึกทำธุรกิจจริงๆ ต้องมานอนที่ออฟฟิศ เพราะเป็นหนึ่งในข้อบังคับ ผู้บริหารทุกคนต้องเช่าออฟฟิศที่มีห้องนอนข้างบน และแบ่งชายหญิงได้ เราก็ลงมือทำธุรกิจกันจริงๆ 2 เดือนเราได้ยอดขาย 7 ล้านบาท!! จนคุณพ่องง เพราะตอนแรกคุณพ่อไม่รู้ว่าทำอะไร จนตอนหลังประสบความสำเร็จ ได้เป็นศิษย์เก่าดีเด่น เป็น GM ของ ABAC Dummy Company หลังจากนั้นก็มีโครงการดิวธุรกิจให้กับมหา’ลัยต่อเนื่องมา พ่อก็เริ่มภูมิใจ เริ่มโม้กับเพื่อน เพราะก่อนหน้านั้นไม่เคยพูดถึง เพราะว่าพี่น้องผมเรียนเก่งกันหมด พี่เป็นประธานโรงเรียนเตรียมอุดม เรียนนิติศาสตร์จุฬาฯ ต่อคิงส์ คอลเลจ เป็นศิษยเก่าดีเด่น น้องเราทุกคนก็ไปต่อต่างประเทศกันหมด เราดื้อไม่ยอมไป พอจบปุ๊บผมก็ไม่เรียนต่อ เพราะเราดื้อมาทางธุรกิจ ก็จะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเราทำได้ เป็นความประทับใจมากๆ ครับ ที่ได้พิสูจน์ตัวเองจนตอนนี้ผมมีร้านอาหารที่เวียดนาม2 ร้าน (ทำไมถึงเลือกไปทำธุรกิจที่นั่น?) ต้องขอบคุณ คุณวิกรม กรมดิษฐ์ ผมดูรายการซีอีโอส่องโลก ในรายการวันนั้นเขาบอกเวียดนามจะโตในแบบไหน จะเป็นผู้นำเอเชียยังไง เราเลยคิดไว้เลยว่า ถ้าจะทำธุรกิจต่างประเทศ ประเทศแรกที่ต้องบุกคือ เวียดนาม ตอนแรกๆ ก็บินไปเที่ยวธรรมดาก่อน จนมีเพื่อน จากเพื่อนก็กลายเป็นหุ้นส่วนกัน ทำธุรกิจด้วยกัน เปิดร้านที่นั่นมา 3-4 ปีแล้วครับ และก็มีบริษัทเอ็กซิบิชั่นที่ทำมาตั้งแต่ตอนเรียน

โมเม้นต์สุดท้ายเศร้าปนดีใจ

เดิมทีผมเป็นคนไม่ชอบการเป็นนักแสดงเลย เพราะเรามาในสายนักธุรกิจ มาในสายการเมือง ผมเป็นผู้ช่วย สส. ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย แต่ว่าเรามีความฝันตอนเด็ก เราชอบดูหนังมาก แต่ทำไมหนังไทยดีๆ แบบเมืองนอกไม่ค่อยมี หนังที่สร้างแรงบันดาลใจ ดูแล้วเปลี่ยนสังคม เปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนชีวิตคนได้ ไม่ค่อยมีมีแต่หนังตลก หนังที่ดูขำแล้วจบไป เราก็เลยคิดว่าแทนที่จะบ่น ก็ลองเข้ามาดูไหม เพราะตอนนั้นมีโอกาส คือเพื่อนพี่เอ-ศุภชัยไปเจอผมที่วัด เราจัดงานสอนธรรมะให้วัยรุ่นกัน เขาก็ถามว่าอยากเป็นพระเอกไหม เราก็บอกว่าไม่อยาก แล้วก็หนีเขาอยู่ 5-6 เดือน จนเรามาคิดว่าเรามีความฝันนี้อยู่ ลองดูสิ แทนที่จะบ่นอยู่ข้างนอก ลองเข้ามาดู เผื่อจะเปลี่ยนอะไรได้ พอเข้ามาปุ๊บก็ยังไม่ชอบ ด้วยบท ที่มีตบตี แย่งกันจนเล่นไป 2-3 เรื่อง ผมถึงได้เรียนการแสดง ได้เจอครูแอ๋ว (อรชุมา ยุทธวงศ์) ที่มาสอนให้เรา การสอนของครูแอ๋วคือให้เล่าชีวิตให้ฟัง เป็นยังไง ทำอะไร เอาหนังสือกลอนมาให้อ่าน คือเปลี่ยนแม้กระทั่งบุคลิก เพราะเมื่อก่อนผมเป็นคนพิธีการมาก ผมแต่งตัวไปเรียน ผมใส่เสื้อเชิ้ต กางเกงสแลค ติดกระดุมยันข้อมือตอนนั้นน้องๆ คนอื่นที่บ้านอย่าง ณเดชน์, มาริโอ้ เขาเรียนจบกันไปแล้ว เรามานั่งเรียน ครูก็บอกว่า “รู้ไหม...คนอื่นมาเรียน เขาแต่งตัวสบายๆ เสื้อยืดขาสั้นมามีแก จะเท่ไปไหน” แต่เราโดนสอนมาอย่างนั้น อาทิตย์ต่อไปก็พับแขนขึ้นมาหน่อย (หัวเราะ) จนค่อยๆ ปรับตัว แต่ผมเรียนกับครูแอ๋วผมไม่เคยใส่เสื้อยืดเลย แต่ว่าปลดกระดุมเยอะขึ้น ใส่กางเกงยีนส์บ้าง เสื้อใส่ในกางเกงตลอด เป็นคนที่มีกรอบ เพราะครอบครัวสร้างแพทเทิร์นให้เราไว้ เนื่องจากสายแรกที่เราคิดจะไป การปฏิบัติตัวแบบนี้มันถูกต้อง ไม่ว่าจะสายตำรวจหรือการเมืองก็แล้วแต่ การเจอผู้ใหญ่ ตามคุณพ่อไปคุยงานตั้งแต่อายุ 12 เราก็จะเห็นแต่แบบนี้อย่างเดียวในชีวิต ก็เลยรู้สึกว่าทุกคนคงทำตัวแบบนี้แหละ จนมาเป็นการแสดง จึงมีปัญหา แสดงอารมณ์ไม่เป็น เพราะเรารู้สึกว่าต้องเก็บอารมณ์ แสดงออกไม่ได้ จะโกรธอะไรก็ต้องนิ่ง แต่ละครมันไม่ได้ ทุกวันนี้ผมยังไม่เคยดูละครเรื่องแรกของผมเลยครับ “คุณชายตำระเบิด” รับตัวเองไม่ได้จริงๆ แต่เรตติ้ง 20 กว่า ออนแอร์ 100 ตอน แต่ผมไม่เคยดู จนมาถึงเรื่องที่ 3-4 ถึงได้เรียนกับครูแอ๋ว แล้ววันนั้นครูแอ๋วให้อ่านกลอนที่ให้อ่านประจำของรัชกาลที่ 6 ซึ่งผมลืมอะไรสักอย่าง ทำไม่ได้ดั่งใจ ระหว่างที่กำลังอ่านๆ ครูแอ๋วก็บอก “เอส ฉันว่าแกพอเถอะแกไม่มีอนาคตว่ะ” จากยืนๆ อ่านอยู่ ผมตัวสั่นล้มคลุกเข่า แล้วร้องไห้แบบตัวโยก โกรธตัวเอง ทำไมพยายามขนาดนี้ยังไม่ได้ แล้วระหว่างที่กำลังร้องไห้เสียใจที่สุด ครูแอ๋วบอกว่า “เนี่ยแหละ...ที่ฉันต้องการ” เราก็อ้าว!! คือตรงนั้นคือจิตวิทยาของครูที่ทำให้ทุกวันนี้ผมรักครูมาก คือครูแอ๋วไม่ได้สอนแค่การแสดง แต่สอนความเป็นคนให้ผม ให้ผมเป็นคนที่กลับมามีอารมณ์อีกครั้ง (หัวเราะ) คือจริงๆ เราเคยเป็นคนอารมณ์ร้อนมาก่อน เคยร่าเริง แต่มันถูกฝังลึกมาก แล้วเราดึงออกมาใช้ไม่เป็นวันนั้นครูเลยบอกว่าเอาอารมณ์นี้มาใช้สิ แล้ววันนั้นเป็นครั้งแรกที่ครูชมผม จากเสียใจที่สุด กลายเป็นดีใจอย่างที่สุด เพราะก่อนหน้านั้นผมไม่ได้เรื่องจริงๆ ผมเคยโดนทำโทษให้ไปวิ่งรอบสระน้ำบ้านพี่เอ 10 รอบ เราก็ไปวิ่งกลับมา 10 รอบบอก “เสร็จแล้วครับครู” ครูแอ๋วถาม “แกไม่โกรธฉันเหรอ ฉันให้ณเดชน์ไปวิ่ง มันวิ่งไป มันก็ตบใบไม้ไป มีอารมณ์โกรธ แกไม่มีอารมณ์เลยเหรอ” เราก็งง ทำไมต้องมีอารมณ์ ก็เราทำผิด ครูทำโทษก็ถูกแล้ว ผมเป็นอย่างนั้นจริงๆแต่หลังจากวันนั้นมาครูก็เลยสอนให้เราได้ง่ายขึ้น แล้วเราก็รับได้ง่ายขึ้น สนุกกับการเล่นละครมากขึ้นเรื่อยๆ จากเริ่มสนุก เริ่มชอบ จนตอนนี้กล้าพูดได้ว่าผมรักการแสดง

เป็นพระเอกหนุ่มที่ผ่านอะไรมาโชกโชนจริงๆ ค่ะ แต่ก่อนจะจากกัน แน่นอนว่าต้องให้หนุ่ม “เอส” อัพเดทผลงานกันหน่อย หลังจากจบ “สารวัตรใหญ่”จะได้พบหน้ากันอีกทีในเรื่องไหน? เจ้าตัวเผยว่ากำลังถ่ายทำละครเรื่อง “กุหลาบเกราะเพชร” ซึ่งคาดว่าจะได้ชมกันช่วงกลางปีนี้

“ในละคร “กุหลาบเกราะเพชร”บู๊หมัดมือจริงจังมากครับ คล้ายๆ กับเรื่อง “เล็บครุฑ” เพราะว่าค่ายเดียวกัน ค่ายนายบีเวอร์ ของ พี่โอลิเวอร์ บีเวอร์ ผมบู๊เองไม่มีสตั๊น ไม่มีสแตนด์อิน เพราะเขาถือว่าส่งเราไปฝึกแล้ว ฝึกเพื่อเป็นสตั๊นเลย เพราะฉะนั้นเขาจะได้ประหยัดเงิน (หัวเราะ) แต่ผมก็อยากเล่นเองด้วยครับ ชอบด้วย ละครทั่วไปอาจจะไม่ฝึกขนาดนี้ แต่ด้วยความที่เราอยากจะให้มันมากไปกว่าของเล็บครุฑ อย่างกระโดดทะลุกระจก การโดนเหวี่ยงลงพื้น เราเล่นเองหมด เพราะเราฝึกแล้วว่าทำยังไงไม่ให้เจ็บ เซฟตัวเองเป็น พอฝึกมาแล้ว พี่เวอร์เขาก็เลยเอาใหญ่เลย (หัวเราะ) การทำงานราบรื่นดีครับ แต่ความตลกคือ เรียกว่าตลกร้ายละกันผมต้องสู้กับน้องฮาน่า (ฮาน่า ลีวิส) เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องแรกในประเทศไทย ที่พระเอก-นางเอกสู้กันเอาเป็นเอาตาย เพราะเราเข้าใจผิดว่าเขาฆ่าพ่อเรา ผมต้องถีบหน้าน้องฮาน่า คือถีบจริงๆ โดนจริงๆ แต่ความแรงไม่ใช่ 100% ฮาน่าก็ฝึกสตั๊นมาด้วย ซึ่งเท่าที่ผมเคยบู๊มา ไม่นับสตั๊นนะครับ ไม่นับพี่ซี-ศิวัฒน์ด้วย เพราะพี่ซีเขาเหมือนเป็นครูสตั๊นไปแล้ว นอกนั้นทุกเพศที่ผมเคยบู๊ด้วย ผมยกให้ฮาน่าอึดที่สุด อย่างฉากที่ฮาน่าต้องเหวี่ยงผมออกมานอกหน้าต่าง เราก็ต้องล้มลงกับพื้นเพื่อความเซฟที่เราฝึกมาแล้ว เราต้องม้วนตัวเก็บ แต่ขาเรายังอยู่ข้างหลัง กำลังจะม้วนเก็บ ปรากฏว่าขาผมไปเตะหน้าน้องฮาน่า เข้าเบ้าคาง ปัง! กล้องจับได้พอดี กรามน้องเคลื่อนเลยครับ แต่เตะฝั่งขวานะครับ น้องบอกเจ็บฝั่งซ้าย สรุปกรามมันเคลื่อนแล้วกลับมาที่เดิม ทำให้เอ็นอักเสบหน้าบวมเลย หมอบอกต้องพักประมาณ 2 อาทิตย์ แต่ยังไม่ถึงอาทิตย์ดี ฮาน่าก็มาถ่ายฉากเดิมต่อเนื่อง เป็นอีกมูฟเม้นต์บู๊อีกคิวหนึ่ง อันนี้ฮาน่าต้องเหวี่ยงผมข้ามไหล่เขา คือเราก็ต้องกระโดดตัวช่วยด้วย ลอยเคว้งม้วนกลิ้งตัวลงมา เอาหลังกระแทกพื้น แต่ระหว่างลอยเคว้งขาข้างเดียวกันเลย ยังไม่ทันม้วนเก็บ ก็ปัง! ไปโดนเบ้าตาซ้ายน้องฮาน่า แล้ววันรุ่งขึ้นน้องเขารับปริญญา (หัวเราะ) ไปงานรับปริญญา เจอหน้าน้อง ก็บอกเขา “ช่างแต่งหน้าเก่งนะเนี่ย กลบเนียนเชียว”(หัวเราะ) ฮาน่าก็มองบนนิดนึง (หัวเราะ) แต่น้องเขาเป็นคนไม่บ่นเลย ตอนโดนคือเจ็บมาก น้ำตาไหล แต่เขาไม่บ่นสักคำ อดทนมาก ผมรู้สึกผิดมาก จากนั้นกลายเป็นผมผวา ไม่กล้า จนสุดท้ายต้องเรียกสติกลับมา เพราะฉะนั้นบอกเลยครับ ละครพี่เวอร์ที่เห็นโดนๆ กันนี่โดนจริงนะครับ(หัวเราะ)

หนักหน่วงกันจริงๆ ดูแววแล้ว คุณผู้จัด โอลิเวอร์ บีเวอร์ คงต้องรีบทำประกันชีวิตให้พระ-นางด่วนๆ แล้วล่ะค่ะ

กัลลัตตา

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ‘ยูโร’ นัดเดต ‘มุกดา’ หวานใน ‘MISSION 7’  พร้อมชวนดู ‘ไฟน้ำค้าง’ คืนจอ ‘ยูโร’ นัดเดต ‘มุกดา’ หวานใน ‘MISSION 7’ พร้อมชวนดู ‘ไฟน้ำค้าง’ คืนจอ
  • ‘ยูโร’ ชื่นใจคนรักรวมตัวเบิร์ธเดย์แน่นสนาม  ร่วมแข่งกีฬาปาร์ตี้อบอุ่นสุดเซอร์ไพรส์ ‘ยูโร’ ชื่นใจคนรักรวมตัวเบิร์ธเดย์แน่นสนาม ร่วมแข่งกีฬาปาร์ตี้อบอุ่นสุดเซอร์ไพรส์
  • ‘ริส-วิชญพงศ์’ขอลองวิชา ชิมลางกำกับหนัง ‘ริส-วิชญพงศ์’ขอลองวิชา ชิมลางกำกับหนัง
  • ‘ดีเจพุฒิ-พุฒิชัย’ และ ‘เอส กันตพงศ์’ เสริมทัพพิธีกร ‘คุยแซ่บ Show’ ‘ดีเจพุฒิ-พุฒิชัย’ และ ‘เอส กันตพงศ์’ เสริมทัพพิธีกร ‘คุยแซ่บ Show’
  • เหมือนตายแล้วเกิดใหม่! \'เอส กันตพงศ์\'เปิดใจวินาทีหมดสติหยุดหายใจกว่า 40 นาที เหมือนตายแล้วเกิดใหม่! 'เอส กันตพงศ์'เปิดใจวินาทีหมดสติหยุดหายใจกว่า 40 นาที
  • ช่อง 7HD คือครอบครัว ‘เอส-กันตพงศ์’ อัปเดตชีวิต-สุขภาพ ช่อง 7HD คือครอบครัว ‘เอส-กันตพงศ์’ อัปเดตชีวิต-สุขภาพ
  •  

Breaking News

'ประชาคมแพทย์'สวน'นรินท์พงศ์'ตอกหน้าข้อต่อข้อ แนะควรให้เกียรติไม่ใช่พูดเอาใจใครบางคน

บิ๊กอ้วน'รับทราบเหตุ‘ทหารไทย’ปะทะ‘ทหารกัมพูชา’แล้ว ‘ผบ.ทบ.’เรียกประชุมด่วน

ยังไม่สำเร็จ! ยาน SpaceX หมุนเคว้งกลางอากาศระหว่างทดสอบ

‘ภูมิธรรม’ยันไม่แทรกแซง ‘ดีเอสไอ’จับตัว‘ณฐพร’คดีฟอกเงิน

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved