เรียงคิวเฉิดฉายแจ้งเกิดเป็นพระเอกเลือดใหม่ของทางช่อง 3 ได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากหนุ่มอิน-สาริน ปูทางได้อย่างงดงาม เปิดโปรแกรมซีรี่ส์ลูกผู้ชาย กับเรื่อง “ภูผา” คราวนี้เป็นเวลาของ “ซัน-รังสิ สานกิ่งทอง” บ้าง กับบทบาทพระเอกในเรื่อง “เพชร” ที่กำลังฮอตในหมู่ผู้ชมละคร ส่วนตัวตนของหนุ่ม “ซัน” เป็นอย่างไร วันนี้เราพาตัวมาให้ทำความรู้จักกันค่ะ
เมื่อค้นพบสิ่งที่ชอบ
เมื่อก่อนเรื่องของวงการบันเทิง เป็นเรื่องที่ไกลตัวผมมากครับ แต่ว่าก่อนที่จะเข้ามหา’ลัย ผมดูหนังแล้วรู้สึกชอบ ก็มีเอาไปคุยกับเพื่อนว่าเราอยากจะทำแบบนี้ ดูหนังแล้วได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเลยอยากจะเป็นผู้กำกับ แล้วตอนที่เรียนอยู่อเมริกา ผมไปเรียนไฮสคูลที่นั่น 5 ปี ตั้งแต่ ม.2 จนจบม.6 ได้กลับไทยมาพัก เพื่อหาประสบการณ์ ก็ได้มีโอกาสฝึกงาน ตอนแรกฝึกงานกับบริษัทของที่บ้านก่อนครับ เป็นธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้า แต่รู้สึกว่าเราไม่ชอบ ไม่ใช่ทาง คือถามว่าทำได้ไหม ก็ได้ แต่ไม่ชอบ เลยไปฝึกงานกับ GTH เขาก็มีหนังเปิดกล้องพอดีเรื่อง “รัก 7 ปี ดี 7 หน” อยู่กองถ่ายแล้วรู้สึกว่าใช่เลย ชอบมาก เลยขอพ่อเรียนด้านนี้เลยครับ และได้กลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย ตอนแรกก็วางแผนไว้ว่าเดี๋ยวจะกลับไปเรียนต่อมหา’ลัยที่นู่น คือสมัครเรียนเรียบร้อยแล้วนะครับ เรียนเกี่ยวกับธุรกิจ แต่พอได้เปลี่ยนแนว ก็เลยเลือกทางนี้และอยากจะมาอยู่ที่เมืองไทย โชคดีที่ว่าพ่อแม่เคารพการตัดสินใจของเรา เพราะเขารู้ว่าเราทำในสิ่งที่เรารักก็เลยให้เรียน ซึ่งตอนแรกที่เข้าไปเรียน รู้สึกชอบเลยนะครับ (ยิ้ม) ตั้งแต่คลาสแรกเราก็ตื่นตาตื่นใจ ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว นอกจากเวลาที่เล่นกีฬา รู้สึกชอบกล้องถ่ายรูป ชอบการกำกับ ยิ่งได้เรียนรู้ไปก็รู้สึกว่ามันสุดยอดมาก เลยยิ่งชอบ
มีหนังสั้นโปรเจกท์เยอะเลยครับที่ทำส่งอาจารย์ และมีส่งประกวดด้วย แต่ว่าไม่ได้รางวัล ผมเป็นคนที่ทำหนังหลากหลายแนวครับ พอเขียนบทหรือว่าทำหนังอะไรออกมาสักเรื่อง มันก็จะกลายเป็นเรื่องครอบครัว เป็นเรื่องพ่อลูก บางทีเราก็อยากจะตีกรอบออกไป แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมาเรื่องเดิม เหมือนเป็นปมในใจหรือเปล่าไม่รู้นะ (หัวเราะ)แต่ว่าซันก็ไม่ได้มีปัญหาครอบครัวอะไรนะครับ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเราอยากให้ครอบครัวเห็นว่าเราทำได้ อยากให้ยอมรับในความสามารถของเรา
เส้นทางกว่าจะมาเป็น 1 ใน 3 พระเอกซีรี่ส์ลูกผู้ชาย
ผมมีโอกาสได้รู้จักกับ “พี่ปิ๊ก-ชาญฉลาด” เขาทาบทามไว้ตั้งแต่ตอนที่เข้ามหา’ลัยแล้วครับ แต่ด้วยความที่เราคิดว่าเรื่องวงการเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก และไม่คิดว่าเราจะทำได้ หรือว่าเข้ามาอยู่จุดนี้ เพราะเป็นคนขี้อายด้วย อาจจะกล้าแสดงออกมากขึ้น เพราะว่าได้ไปอยู่ต่างประเทศ แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ในบางครั้ง (ยิ้ม) ตอนที่พี่ปิ๊กเสนอมา เราก็โอเครับงานเล็กๆ น้อยๆ ไปก่อน เป็นงานโฆษณา เพราะรู้สึกว่าเรายังไม่พร้อม ขอเรียนก่อน เราชอบเรารักที่จะเรียน โชคดีที่พี่ปิ๊กก็ให้โอกาส พร้อมแล้วค่อยว่ากัน และเขาก็ไม่ทิ้งเราเลย ก็มีผ่านเข้ามาในวงการบ้างระหว่างเรียน 4 ปี แล้วพอเรียนจบ รู้สึกว่าอยากจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง แต่ว่าเรื่องการแสดงยังเป็นเรื่องไกลตัวอยู่ ไม่ได้คิดว่าอยากจะเล่นละคร หรือว่าเข้ามาอยู่จุดนี้ แต่ก็ลองกลับเข้ามาดู เผื่อจะมีอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง คือเราก็อยากจะทำอะไรที่มันสามารถช่วยเราในด้านที่เราอยากเป็นผู้กำกับ พอเข้ามาก็ได้ไปเรียนแอ๊กติ้ง เข้าคอร์สต่างๆ จนมีแคสซีรี่ส์ลูกผู้ชาย เป็นการแคสละครครั้งแรกของซันด้วย แล้วคนแคสเยอะมาก สามร้อยกว่าคน ไม่คาดหวังเลย เพราะว่าประสบการณ์เรายังไม่มี เรียนการแสดงมาก็นิดหน่อย แต่เราอาศัยว่าเราชอบทางด้านนี้ในระดับหนึ่ง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วเราชนะใจกรรมการและทีมผู้จัดได้ยังไง อาจจะมีเถียงกันเยอะหน่อยไหม (หัวเราะ) เพราะว่าเราก็หน้าใหม่ ไม่ได้เป็นคนตัวสูง หน้าตาก็ไม่ได้เรียกว่าดีที่สุดในสามร้อยกว่าคน และที่สำคัญคือมีเด็กในช่องไปแคสเยอะมาก เราเป็นโนเนมใครก็ไม่รู้ พอรู้ว่าติด 20 คนสุดท้ายก็ได้เข้ามาดู มาเวิร์กช็อปเพื่อเลือก 3 คนสุดท้าย แต่เขาก็ยังไม่บอกด้วยนะครับว่าเราจะได้เล่นเรื่องไหน คือเป็นการเวิร์กช็อปทั่วไป เพื่อที่เขาจะดูว่าคนไหนมีเสน่ห์ มีแววเหมาะกับบทไหน จนสุดท้ายมารู้ว่าเราได้นะ และได้เล่นเรื่อง “เพชร” เป็นเรื่องที่ 2 ในซีรี่ส์ลูกผู้ชาย
ความเหมือนและต่างของ “เพชร” กับ “ซัน”
พระเอกเขาเป็นคนที่ทำเพื่อคนอื่น เสียสละ ซึ่งเหมือนเราตรงที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น คิดถึงตัวเองเป็นคนสุดท้าย นี่คือสิ่งที่คล้ายครับ แต่ว่าที่ไม่คล้ายเลยคือเรื่องชีวิตของเขา ที่เราเกิดมาไม่ได้เจอสภาพแวดล้อมแบบนั้น ในเรื่องเขาจะอยู่ในสังคมที่มีคนติดยาตีกัน ชีวิตเขาติดลบมาก พ่อก็ขี้เมา ต้องดูแลน้องกับย่าทำทุกอย่างในบ้าน
เรียนรู้เรื่องการแสดง
ซันเป็นคนที่ชอบสังเกตครับ ชอบเก็บรายละเอียด หยิบจับเอาจากสิ่งที่เราเคยเห็น แล้วเหมือนซันเป็นคนที่ซึมซับได้เร็ว เป็นคนที่ไม่ค่อยพูด ส่วนใหญ่จะถามคำตอบคำ แต่ชอบสังเกตคน ชอบเก็บรายละเอียด เลยมีภาพในหัว ตอนแรกต้องปรับตัวเยอะครับ เพราะว่าเราไม่เคยเล่นละคร แล้วอีกอย่างคือเราเรียนทางด้านหนังมา หนังกับละครมันเหมือนเป็นคนละศาสตร์ สำหรับซันคือใหม่หมดเลย แล้วเราก็เป็นคนที่ชอบดูหนัง ไม่เคยดูละคร ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยดูละคร (ยิ้ม) เราไม่ชอบดูอะไรยาวๆ เลยต้องมาศึกษาใหม่ แต่โชคดีที่ทีมงานทุกคน นักแสดงที่เล่นด้วยทุกคนเขามีประสบการณ์เยอะอยู่แล้ว “พี่ชาย-ชาตโยดม” ที่เล่นเป็นพ่อ และ “แม่ตุ๊ก-ดวงตา” ที่เล่นเป็นย่า เราได้เรียนรู้จากเขามาเยอะมาก จะสอนเราตลอด ไม่กดดันเลย เขาเอ็นดูเรามากกว่า รวมทั้ง “พี่แมน-เมธี” ผู้กำกับก็ช่วยเราเต็มที่ เขาเข้าใจว่าเราเป็นนักแสดงหน้าใหม่ เขารู้ว่าเราบกพร่องตรงไหนก็จะช่วย
เปิดใจให้กับละคร
เปิดใจมากขึ้นครับ แต่ถามว่าอินกับละครมากขึ้นไหม ยังไม่ค่อยอินครับ (ยิ้ม) ถ้าจะบอกว่าเมื่อก่อนเราอคติกับละครเลยก็ว่าได้ เรารู้สึกว่าดูละครแล้วมันก็คือละคร เราอาจจะไม่ใช่คนพูดเยอะ แต่ละครจะพูดเยอะ เลยห่างไกลจากตัว ไม่อิน หนังเรียลกว่าและเป็นคนละศาสตร์ แมสเสจอาจจะเหมือนกัน แต่เมื่อเราก้าวเข้ามาสายละครแล้ว เราต้องเปิดใจรับมันให้ได้ ช่วงแรกจะยากเพราะมันใหม่ และที่สำคัญคือการออกเสียง การใช้เสียง ละครจะต้องโปรเจกท์เสียงให้รู้สึกว่าคนดูอยู่ใกล้เรา ให้ทุกคนได้ยิน แต่ในหนัง เสียงไม่ต้องโปรเจกท์ออกมา
ยังคงเดินตามความฝัน
ความฝันของผม ถ้าไม่พูดถึงว่าอยากจะมีครอบครัวที่อบอุ่น และมีความสุขนะครับ ก็คืออยากจะเป็นผู้กำกับ อยากทำหนัง อยากเปิดเป็นโปรดักชั่น ตอนที่เรียน ได้ทำหนังผี ทั้งที่เมื่อก่อนจะกลัวผีมาก แต่พอได้ลองทำแล้วกลับชอบ รู้สึกว่าการที่เราได้หลอกคนดูว่าเดี๋ยวมันต้องหลอนตรงนี้ ผีจะมาแบบนี้มันเป็นเสน่ห์อยู่ในตัวเอง ก็เลยคิดว่าหนังผีเป็นอีกแนวที่อยากจะทำครับ
ฝากติดตามผลงาน
“เพชร” เป็นเรื่องแรกที่ผมเต็มที่กับมันมาก ยอมรับว่ากดดัน แต่ว่าตั้งใจทำให้ดีที่สุด และพอได้เห็นทิลเลอร์ ได้เห็นซีนเล็กๆ ก็รู้สึกว่ามันดีนะ ไม่ได้ชมตัวเองนะครับ แต่ว่าองค์ประกอบทุกอย่างมันดี รู้สึกว่าภูมิใจที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งในผลงานชิ้นนี้ อยากจะฝากผลงานซีรี่ส์ลูกผู้ชาย ตอน “เพชร” ไว้ด้วยนะครับ เป็นเรื่องแรกที่ซันได้เข้ามาเล่นเป็นพระเอก ทุกคนทุ่มเทกับโปรเจกท์นี้มากๆ สนุกและครบรสแน่นอน สำหรับแฟนๆที่อยากใกล้ชิดกัน ก็สามารถเข้ามาคุยกันได้ที่ไอจี@sn_rangsi นะครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี