แม้ว่าครอบครัวจะเป็นนักดนตรี แต่ใช่ว่าลูกสาวจะต้องได้ก้าวสู่การเป็นนักร้องได้ง่าย ๆ เสมอไปเหมือนดังชีวิตการก้าวเข้าสู่วงการเพลงของ “เอ๋” นรินทร ณ บางช้าง ร็อกเกอร์หญิงยุคแรกของเมืองไทย ที่กว่าจะได้เข้าสู่การเป็นนักร้องจับไมค์จนมีชื่อเสียงเธอต้องผ่านด่านของ ช.อ้น ณ บางช้าง บิดาบังเกิดเกล้าที่เป็นเจ้าของวงดนตรี เดอะฟ๊อกซ์ มาก่อน
เพื่อพิสูจน์ถึงการเป็นนักร้องระดับมืออาชีพอย่างแท้จริง และด้วยใจรัก และพรสวรรค์ รวมทั้งพรแสวงทำให้เธอมีวันนี้ แต่ชีวิตของร็อกเกอร์สาวคนนี้ไม่ได้เดินด้วยกลีบกุหลาบดังที่ตั้งใจไว้
เมื่อวันหนึ่งเธอประสบกับโรคร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด คอลัมน์สตาร์ เรโทร ครั้งนี้เราจะย้อนไปทำความรู้จักและ ล้วงลึกเรื่องราวในอดีตพร้อมมุมมอง แง่คิด และกำลังใจในการดำเนินชีวิตของผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อ“เอ๋”- นรินทร ให้ฟังกัน
เริ่มต้นเข้าวงการ
“ตอนนั้นเราเป็นนักเรียนพี่เอ๋เข้าวงการเร็ว เราเรียนหนังสือไปตามปกติแต่เราเห็นคุณพ่อ (ช.อ้น ณ บางช้าง)ซ้อมดนตรีทุกวัน ๆ ตอนนั้นเรานั่งทำการบ้านข้างวงดนตรีก็ร้องเพลงตามเขาได้หมด พอวันหนึ่งนักร้องนำออกก็เลยไปขอเขาร้องเพลง ป๊าเลยถามว่าแน่ใจหรือว่าจะทำได้ เราเลยขอลองวันนั้นป๊าเลยบอกว่าให้เวลา 2 ชั่วโมงร้องเพลง Heart of Glass ของวงบลอนดี้ ให้ได้และถ้าทำได้ก็จะให้ร้องเพลง เพราะตอนนั้นป๊าเขาคิดว่าเราคงทำไม่ได้ และเราเองยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอด้วย ซึ่งเราไม่เคยฟังเพลงนี้มาก่อนแล้วตอนนั้นเราอายุแค่ 14 ปี ซึ่งป๊าจะไม่ชอบให้มายืนร้องเพลงกางเนื้อบนเวทีเพราะนักร้องมีหน้าที่ถ่ายทอดอารมณ์ถ้าเรายังเอาแต่ต้องเนื้อไม่มีอารมณ์ร่วมในการร้องเพลงมันก็ไม่ใช่นักร้องที่สมบูรณ์ แต่ผลปรากฏว่าพอป๊ากลับมาถึงเขาก็ลืมไปแล้ว เขาไม่คิดว่าเราจะเอาจริงแต่เราทำได้เราเลยได้เข้ามาเป็นนักร้องนำวงเดอะ ฟ็อกซ์ แล้วไปเดินสายร้องเพลงตั้งแต่ตอนนั้น”
เริ่มเป็นที่รู้จัก
“มาเริ่มเป็นที่รู้จักจริง ๆ ตอนอยู่แกรมมี่ตอนนั้นเราอายุ 18 -19 ปี ราว ๆ นี้ ก่อนหน้านี้มันเป็นช่วงที่ยังไม่มีค่ายเพลงแกรมมี่ฯ จะมีแค่ EMI ไนท์สปอต ซึ่งเขาก็มาขอให้เราไปออกอัลบั้มแต่เราก็ปฎิเสธมาตลอดเพราะกลัวว่าจะไม่ไดร้องเพลงที่เราชอบ เนื่องจากที่ผ่านมาเราไม่ร้องเพลงไทยเลย สุดท้ายช่วงหนึ่งเป็นช่วงที่ป๊าอยากเลิกเล่นดนตรีเพราะเขาจะหันมาทำธุรกิจใหม่และกลัวเราจะเคว้งเลยเอาพี่ไปฝากเพื่อนที่วง Butterfly แล้วก็ได้พาเราไปเข้าแกรมมี่และได้ออกอัลบั้มในที่สุดเป็นงานเพลงชุดแรกชื่อ “ดอกไม้ จดหมาย ความรัก” เปิดตัวด้วยเพลง “พ่อฉันซ่าส์” เป็นเพลงที่เปิดตัวเลยว่าพ่อบรรเลง ฉันร้องเอง เลยทำให้คนรู้จักตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา”
เป็นร็อคเกอร์หญิงคนแรก
“ตอนนั้นต้องเดินสายแต่อัลบั้มชุดแรกเรียกได้ว่ามีแฟนเพลงเฉพาะกลุ่มมากเพราะพี่เป็นผู้หญิงยุคแรกที่ร้องเพลงร็อคแล้วแหกแข้งแหกขาร้องเพลง เป็นแบบฮาร์ดคอร์เสียงดัง ซึ่งสมัยนั้นงานเพลงส่วนใหญ่จะเป็นแบบเรียบ ๆ อย่าง “สาว สาว สาว” ซึ่งเราจะฉีกแนวมาเลย ทำให้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่รับได้ และอีกกลุ่มที่รับไม่ได้ ว่าผู้หญิงอะไรดูห้าวหาญเหลือเกิน”
โดนกระแสคนรับไม่ได้
“ตอนนั้นเรารู้สึกเฉย ๆ ไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับการที่คนรับได้หรือไม่ได้ เพราะพี่มีความรู้สึกว่าคนเราชอบอะไรไม่เหมือนกันอยู่แล้ว มันก็เป็นไปได้ที่คนจะไม่ชอบเรา มันก็แค่นั้นเอง แต่พองานเพลงชุด 2 ต้องบอกก่อนว่าสมัยนั้นออกอัลบั้มครั้งหนึ่งจะห่างกัน 2-3 ปี เพราะงานเพลงจะเป็นอนาล็อกหมด ไม่ใช่ดิจิตอลแบบทุกวันนี้ พอชุดที่ 2 เขาเลยเปลี่ยนมาให้เราเป็นวาไรตี้มากขึ้นเลยทำให้มีเพลงที่คนชอบมากขึ้น “ขออภัยไว้ก่อน” เป็นแนวลาตินหลากหลาย ทำให้กระแสตอบรับดีขึ้นมาก จนมีงานเพลงชุดที่ 3 “ฝันนั้นเป็นจริง” มีเพลง “กลับมาสักครั้ง” ค่ะ”
เข้าสู่วงการละครเวที
“ต้องบอกว่าก่อนทำงานเพลงชุดที่สองเรามีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสวงการละครเวทีและได้แสดงเรื่อง “สู่ฝันอันยิ่งใหญ่” เป็นเรื่องแรกแสดงที่โรงละครแห่งชาติ ตอนนั้นเป็นเวอร์ชั่นแรกซึ่งเป็นโปรเจคต์ของคณะละคร28 มันเป็นช่วงรอยต่อระหว่างอัลบั้มชุดที่ 1 กับชุดที่ 2 อย่างที่บอกว่าการทำเพลงในยุคนั้นแต่ละอัลบั้มจะห่างกันมาก ระหว่างนั้นเราก็จะเครียดเพราะว่ามันเหมือนกับที่ผ่านมาเราออกงานคอนเสิร์ตร้องเพลงทุกวัน แต่พอมาอออกอัลบั้มทำไมเราไมได้ร้องเพลงทุกวันมีงานบ้าง ไม่มีบ้าง มีวันว่างเราก็เครียดช่วงนั้นคณะละคร 28 เปิดออดิชั่น พอดี พี่ “หนูเล็ก” บุรณี รัชไชยบุญ ซึ่งเขาคอยดูภาพลักษณ์ของเราในการเป็นศิลปินตั้งแต่งานเพลงชุดแรก เขาเป็นคนชักชวนซึ่งตอนที่ทำอัลบั้มเพลงชุดแรกพี่หนูเล็กจะพูดตลอดว่าเธอน่าจะมาเป็นนางเอกให้ชั้นนะ ตอนนั้นเราไม่เข้าใจหรอก เพราะไม่รู้จักการแสดงเลยด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร แต่ด้วยความที่นิสัยเราห้าวมาก โผงผาง ตรงไปตรงมา พอเราไปเวิร์คชอป ออดิชั่นตอนนั้น คุณยุทธนา มุกดาสนิท เป็นคนกำกับ เขาก็เลือกเราขึ้นมา
เราต้องเรียนเรื่องการแสดงเยอะมากตอนนั้นหลายเดือนอยู่ พอเราเล่นเรื่องนั้นจบชื่อเสียงของเราก็โด่งดังในเรื่องของการแสดงเยอะมาก ต่อมาเราเลยได้เรียนรู้เรื่องการทำงานเบื้องหลังแล้วชอบ โดยเฉพาะการทำงานสเตจ เพราะเรารู้สึกว่ามันจริงดี มันไม่เหมือนละครทีวีหรือหนังที่ถ่ายข้ามไปข้ามมา เราชอบบรรยากาศในการทำงานมันต้องอาศัย ความรัก ความสามัคคีกันจริง ๆ และก่อนทำชุดสองเราก็เลยเริ่มหันมาทำงานเบื้องหลังรายการโทรทัศน์ด้วย โดยเรียนรู้ทุกสิ่งพี่ “แหม่ม” พิไลวรรณ บุญล้น เป็นคนฝึกฝนวิชาให้ จนเราทำได้หมดทุกอย่างเราเลยกลายเป็นคนเบื้องหลังมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่ช่วงที่ห่างจากงานเบื้องหน้าเราก็มาทำงานประจำเป็นสต๊าฟอยู่ เจเอสแอล”
เข้าสู่ช่วงวิกฤติของชีวิต
“เป็นช่วงที่เข้าสู่ชุดที่ 4 ตอนนั้นปล่อยเพลง “ยังรอ” ออกมาแล้วพี่ก็ป่วยเป็น “ไวรัสบีลงตับ” มารู้ตัวตอนอาการโคม่า คุณหมอบอกว่าถ้ามาถึงมือหมอหลังจากนี้ 2 ชั่วโมงเราก็เสียชีวิตเพราะที่ผ่านมาเราไม่รู้ว่าเราป่วย ซึ่งสาเหตุอาจเพราะเราทำงานหนักแล้วติดเชื้อตอนนั้น เรากำลังจะขึ้นรับรางวัลเพลงยอดเยี่ยม แต่ไม่ได้ขึ้นเพราะสลบไปก่อน ตอนนั้นมีข่าวลงหนังสือพิมพ์จากที่เราตัวเล็ก ก็กลายเป็นตัวใหญ่มาก คุณหมอสั่งห้ามทานโปรตีนเพราะตัวเรากำลังจะตาย ทานแต่แป้ง ของหวาน ถือเป็นช่วงวิกกฤติชีวิตของเรา เราอยู่อย่างลำบาก ต้องเช่าออฟฟิศตัวติดกับห้องน้ำ เพราะคุณหมอไม่ให้เราเดินขึ้นลงบันได ทำงานไม่ได้ พูดไม่ได้ ห้ามนั่งรถเพราะจะกระแทกแล้วตับอาจจะแตกได้ ทำให้เรารู้สึกแย่มากพักงานเป็นปี ช่วงนั้นเราอายุ 30 แล้ว”
ผ่านพ้นช่วงเวลานั้นได้อย่างไร
“เราได้กำลังใจจากครอบครัว เพื่อนฝูง และตัวเอง พี่เชื่อว่าถ้าคนเราไม่มีกำลังใจ กำลังใจที่เหลือก็จะไม่มีผลแต่ถ้าเรามีกำลังใจสิ่งที่เหลือก็จะเป็นแรงเสริมเป็นพลัง เราก็ต้องอดทน พอเราไปเช็คร่างกายหลังสุดคุณหมอบอกว่าเราหายขาด เพราะโรคนี้จะหาย 3 แบบ คือหายแบบตัวเองเป็นพาหะ แบบที่ 2 แบบดาราทั่วไปคือ ถ้าร่างกายทรุดก็จะกลับมาเป็นอีก นั่นคือหายไม่จริง แต่พี่หายแบบที่ 3 คือไม่เป็นพาหะ 100% และจะไม่กลับมาเป็นอีก เพราะเราใช้ชีวิตตามที่คุณหมอสั่งทุกสิ่งทุกอย่าง รักษาอยู่เป็นปี”
กลับเข้าสู่วงการเบื้องหลัง
“หลังจากหายขาดแล้วตอนนั้นเราก็กลับมาทำงาน ทำเบื้องหลังรายการทีวีเป็นมิวสิคไดเร็กเตอร์ให้กับรายการ “กิ๊กดู๋สงครามเพลง” และทำเบื้องหลังละครเวที มีแสดงบ้าง และเปิดร้านอาหาร วินเทจ เฮ้าส์ ที่ซอยรามคำแหง 150 เพิ่งเปิดได้ไม่นาน มีร้านอาหารที่ระยองชื่อ “check in bar on the beach” มีร้านสปาที่พัทยา ชื่อ “ชาโคว์ สปา บาย นรินทร”
ย้อนคิดถึงเรื่องราวในอดีต
“พี่เป็นคนไม่ค่อยคิดถึงอดีตสักเท่าไร โชคดีละครเวทีที่พี่เล่น “สู่ฝันอันยิ่งใหญ่” มันจะมีคำพูดที่สามารถนำมาใช้ได้กับชีวิตจริงซึ่งตอนนั้นเราเพิ่งอายุแค่ 20 ปี คำพูดที่บอกว่า “จงมองไปข้างหน้า อย่าหลงระเริงกับความรุ่งเรืองในอดีตที่ผ่านมา” คือให้เราอยู่กับปัจจุบัน สิ่งที่ผ่านมาแม้จะรุ่งเรืองสักขนาดไหนก็กลับไปไมได้ ชีวิตเราต้องก้าวไปข้างหน้าอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งเรามีโอกาสที่จะซึมซับกับเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่เด็กเลยทำให้เรามีวิธีคิดในทางที่บวกเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่รู้สึกว่าแย่จังเลย คิดถึงสมัยนู้น เราจะดำเนินชีวิตในช่วงเวลาปัจจุบันและวันข้างหน้าไปทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะมีปัญหาหรืออะไรมาพี่ก็จะเชื่อเสมอว่า พระเจ้าย่อมให้สิ่งที่ดีกว่าอยู่เสมอ ต่อให้บทเรียนนี้เป็นบทเรียนที่หนักที่สุด แต่เพราะพระเจ้าต้องการสั่งสอนเราว่าอย่าเหลิง อย่าหลงระเริง ดังนั้นเวลาเกิดอะไรขึ้นก็ตามพี่จะไม่มองว่าเป็นเรื่องทุกข์หรืออะไรเลย ตื่นมาเราหัวเราะทุกวัน ถามว่ามีความทุกข์ไหมก็มีตามธรรมชาติแต่เรามีวิธีในการกำจัดทุกข์ในใจของเรา หรือมองทุกอย่างที่พบเจอให้มันสบาย”
มองวงการบันเทิงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
“มันก็พัฒนาไปเรื่อย ๆ นะต่างจากสมัยก่อนเยอะพี่ว่ามันดีนะมีตัวเลือกเยอะดี มันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา คลื่นลูกใหม่มาก็เป็นไปตามปกติ ถ้าเราไม่รู้จักยอมรับหรือเปิดใจ เราก็จะอยู่ได้ไม่นาน ซึ่งพี่ไม่ใช่คนแบบนั้นเลย พี่ยังฟังเพลงเด็ก ๆ วัยรุ่นใครร้องเพลงดี ๆ พี่ก็ชอบเราไม่เคยคิดว่าตัวเราเองเป็นใคร เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีอาชีพทางนี้เท่านั้นเอง”
คำแนะนำสำหรับเด็กรุ่นใหม่
“ต้องจริงจัง และจริงใจ กับสิ่งที่ตัวเองทำในทุกอย่างถ้าเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจไม่หลงอะไรง่าย ๆ เสมอต้นเสมอปลาย มีวินัยทุกอย่างก็จะดีเอง ตอบแทนคนดูอย่างที่เขาสนับสนุนมาให้เรามีทุกวันนี้ได้ พี่จะสอนทุกคนเสมอว่าไม่ว่าคุณจะดังขนาดไหน อย่าลืมวันแรกวันที่คุณมีความใฝ่ฝันอยากทำงานด้านนี้ พอวันที่เรามีชื่อเสียงแล้วอย่าเบื่อที่จะร้องเพลงของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นพัน ๆ ที เพราะถ้าวันใดวันหนึ่งถ้าไม่มีใครร้องเพลงของคุณได้คุณจะน้ำตาเช็ดตาตุ่มใช่เช็ดหัวเข่า เพราะวันแรกคุณร้องเพลงคุณอยากให้คนส่วนใหญ่ร้องเพลงของคุณได้ ถ้าวันใดคุณเบื่อที่จะร้องเพลงถ้าวันหนึ่งคุณออกเพลงซิลเกิ้ลใหม่แล้วคนฟังร้องตามคุณไม่ได้แล้วคุณจะเศร้า ฉะนั้นต้องอยู่ที่การทำตัว เพราะบางทีเพลงอาจจะไม่เท่าไร แต่ตัวคุณดังมากเพราะคุณเป็นคนที่น่ารัก เขาก็พร้อมที่จะสนับสนุน”
ฝากถึงแฟน ๆ ที่ติดตามผลงาน
“อยากขอบคุณสำหรับคนที่เคยติดตามผลงานกันมาตั้งแต่ก่อน เพราะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจของเรา เพราะเราผ่านพ้นช่วงวันเวลาที่เคยมีคนกรี๊ดมานานแล้วเราอยากให้ช่วยกันสนับสนุนเด็ก ๆ ดี ๆ ค่ะ”
พินิตา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี