หากย้อนเวลากลับไปช่วงปี พ.ศ. 2537 ซึ่งเป็นช่วงที่กระแสเพลงร็อคกำลังมาแรงช่วงเวลานั้นได้มีการนำเพลงทั้งลูกกรุง - และลูกทุ่ง กลับมาวาดลวดลายสีสันดนตรีใหม่ให้เป็นแนวร็อคและหนึ่งในผลงานที่หลายคนจดจำได้ดีสำหรับ “ร็อคตกมัน” กับการทำเพลงแนวเพลงลูกทุ่ง มาเรียบเรียงให้เข้ากลับดนตรีในยุคนั้นโดยศิลปินที่มีเสียงร้องที่สูงจนทุกคนต้องยอมรับกับ “ช.เอ ณ บางช้าง” แม้ผลงานเพลงจะได้รับการตอบรับที่ดีแต่อยู่ ๆ นักร้องคนนี้ก็หายตัวไปจากวงการ เหลือไว้เพียงเสียงเพลงให้คนจดจำ ณ วันนี้ คอลัมน์สตาร์เรโทร โดยทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า ได้รื้อฟื้นเรื่องราวของหนุ่มคนนี้พร้อมถึงเหตุผลการหายไป และวันนี้เขาได้กลับมาใหม่อีกครั้งกับแนวเพลงที่เขาตั้งใจตั้งแต่เริ่มต้น พร้อมล้วงลึกเรื่องราวประสบการณ์ดี ๆ ที่หลายคนนำบทเรียนการดำเนินชีวิตที่ผิดพลาดไปใช้ได้
เริ่มต้นเข้าวงการ
สมัยก่อนเริ่มต้นด้วยการร้องเพลงกลางคืน แล้วได้มีโอกาสรู้จักกับ พี่ต้อม เรนโบว์ ซึ่งตอนนั้นพี่เขาต้องรับผิดชอบเรื่องเพลงประกอบละครเรื่อง “สารวัตรใหญ่” ซึ่งเป็นเพลงที่ต้องใช้เสียงร้องสูงมากแล้วยังหานักร้องไมได้ เขาเลยไปสอบถามจากนักร้องนักดนตรีซึ่งก็แนะนำว่าพี่มีเสียงที่สูงมากน่าจะร้องได้ พี่ต้อมเลยมาหาแล้วเขาก็พาพี่ลากขึ้นรถเลย แล้วเปิดเพลงให้ฟังตอนนั้นเลย แล้วพาพี่ไปเข้าห้องอัดเลยโดยที่เรายังไม่ได้เตรียมตัว แต่พอเพลงได้อออกสู่สาธารณชนคนได้ฟังกันปรากฎว่ามีค่ายเพลงสนใจนั่นเลยทำให้พี่ได้มาออกเพลงอัลบั้มแรก
ออกอัลบั้มชุดแรก
ตอนนั้นมีค่ายเพลงสนใจซึ่งเราตัดสินใจทำกับค่ายเพลง “เอ็กซิท” เป็นค่ายเพลงเล็ก ช่วงปี พ.ศ. 2537 ตอนนั้นงานเพลงชุดแรกชื่อ “ร็อคตกมัน” ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีอัลบั้ม “ร็อคอำพัน” ออกมาด้วย ซึ่งของเขาจะเป็นแนวลูกกรุงมาทำเพลงร็อค ส่วนของเราจะเป็นเพลงลูกทุ่งมาทำเป็นเพลงร็อค
ผิดหวังจากการออกอัลบั้ม
“เมื่อเพลงอัลบั้ม “ร็อคตกมัน” ออกมากระแสตอบรับโอเคนะดีเลย แต่ว่ามันไม่ใช่แนวเรา เพราะตอนที่ค่ายเพลงเรียกเราไปคุยเขาบอกว่าจะให้ออกเทปแนวที่เป็นเราซึ่งเป็นร็อค แต่พอดีช่วงนั้นเขามีโปรเจคต์นี้อยู่แล้วหานักร้องไมได้เลยให้เรามาร้องแม้จะเป็นร็อคเหมือนกันแต่ก็ออกแนวลูกทุ่ง แต่เจ้าของบริษัทฯ มาอ้อนวอนพาไปกินภัตตาคารอย่างดี แล้วเขาบอกว่าให้ออกงานชุดนี้ก่อนแล้วจะทำอีกอัลบั้มให้ ตอนนั้นเราก็ยังเด็กก็เลยตัดสินใจทำต่อ แต่พองานเพลงออกมาแล้วงผลตอบรับดีนะ แต่ว่าไม่ใช่กลุ่มแฟนเพลงที่เราอยากได้ ไม่ใช่แนวของเรา มันเลยทำให้เราเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมจังหวะที่เราได้ออกเทปก็ไมได้ออกตามที่เราอยากจะทำเราเลยตัดสินใจหายไปแล้วไมได้ทำต่อ”
หายไปทำอะไร
“เราเลยเริ่มมาทำผับทำบาร์ของตัวเองแล้วก็ไปอยู่ต่างประเทศ ไปร้องเพลงที่ต่างประเทศแถวๆเอเชีย สิงคโปร์ อินโด มาเลเซีย ไปกับเพื่อนๆ ซึ่งสมัยก่อนยังไม่มีวงดนตรีไทยที่ได้ไปแสดงที่ต่างประเทศหรอก คุณภาพมันสู้ฟิลิปินส์ไม่ได้ แต่พี่โชคดีอย่างคือเรื่องภาษาอังกฤษดี ก็เลยได้ออกไปก็เป็นที่ฮือฮา อยู่ต่างประเทศก็ดังที่ต่างประเทศแฟนคลับเยอะ เพราะว่าเป็นวงคนไทย พอรู้ว่าเป็นวงคนไทยก็ตื่นเต้น เพราะว่าเขามีแต่ฟิลิปินส์อะไรอย่างนี้ คนไทยร้องได้ขนาดนี้เลยหรอ แฟนคลับเยอะ มีรถลีมูซีน มารับมีอะไรมารับ เราไปอยู่ที่นั่น 2 ปีกว่า เก็บตังมีเงินเยอะเลยตัดสินใจกลับประเทศไทย”
กลับมาทำอะไรต่อ
“กลับมาทำธุรกิจกลางคืนนี่แหละเพราะว่าถนัดเรื่องนี้อยู่แล้ว มาทำผับบาร์อยู่เรื่อยๆ แต่ว่าก็มีทำรายการทีวีด้วย ตอนนั้นทำ “จันทร์กะพริบ” และ “วิก07” อะไรพวกนี้ไปคุมเรื่องของดนตรี ภาคของดนตรี ทั้งหมด”
ตอนนั้นคิดอยากทำเพลงต่อไหม
“ก็อยากทำแต่ว่ามันไม่ง่ายไง เราไม่ได้อยู่ค่ายใหญ่เราอยู่ค่ายเล็กไง ก็ไม่เกิดนะลำบาก ในเมื่อเราทำแล้วไม่เกิดก็ไม่ทำดีกว่า ตราบใดที่เราไม่ได้ค่ายใหญ่มาสนับสนุนอะไรอย่างนี้ เราเลยผันไปทำเบื้องหลัง
ผันสู่การทำงานเบื้องหลัง
“มีโอกาสได้ไปอยู่ฝ่ายจัดการคอนเสิร์ตของอาร์เอส ซึ่งได้ประสบการณ์ดี แต่ถ้าพูดจริง ๆ คือเรามีประสบการณ์ตรงนี้อยู่แล้วเรา เราทำอีเว้นต์ ด้วยอะไรด้วย แล้วเราก็กลับไปทำก็ผับ ทำบาร์ ต่อจน บริษัท เจเอสแอล มาออกโปรเจ็กใหม่ขึ้นรายการใหม่ “กิ๊กกับดู๋สงครามเพลง” เขาเรียกให้ไปทำ มิวสิคไดเร็กเตอร์ ก็กลับไปทำตรงนั้น คือคัดนักร้อง แล้วดูเรื่องของเพลง เรื่องของดนตรีอะไรทั้งหมดของรายการ ณ ปัจจุบันก็ยังทำตรงนี้อยู่
กำลังมีผลงานเพลงใหม่
“ใช่ครับ คือช่วงที่เราเปิดร้านบางครั้งเราก็ขึ้นไปร้องเพลงเองจนหลาย ๆ คนถามทำไมพี่ไม่ทำเทปอีกไม่ ก็มีคนมานำเสนอเยอะเราก็เฉยๆ จนมาถึงเพลงที่เขาเอามาให้เพลง I Saddd (ไอแซ๊ด ซึ่งคุณเปลว่า วงฟักกลิ้งทอย เจ้าของเพลงเห็นใจคนโสด เป้ฯคนแต่ง วดนตรีจะได้คุณสราวุฒิ แสงบุตร วงโกอิ้งเพลน พอเราอ่านเนื้อ อ่านวิธีการคิดเราชอบ คือเขาใช้ภาษาอังกฤษผสม กับภาษาไทย มันลงตัว ถ้าแปลออกมามันก็คือเหมือนกับบอกถึงความเสียใจที่เธอทิ้งเราไป แต่ถ้าไม่แปลมันก็เหมือนกับคำด่าทอน ซึ่งผมปล่อยซิงเกิ้ลเพลงนี้ออกมาแล้ว ตอนนี้กำลังโปรโมตอยู่ครับ ซึ่งกระแสก็กำลังดีขึ้นเรื่อยๆ”
คาดหวังกับงานเพลงนี้ไหม
“การทำเพลงสมัยนี้กับการเป็นศิลปินมันไม่มีอะไรง่ายหรอก เพราะว่าไม่ได้ขายซีดีไม่ได้ขายอะไรแล้ว จะหวังว่าจะมารวยทางนี้มันไม่ใช่แต่เราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ ซึ่งเพลงเราก็ถูกใจ ถ้าเพลงไม่ถูกใจเราก็ไม่ทำเพราะว่าก่อนหน้านี้มีเพลงมาเสนอเป็นร้อยเราก็ไม่เอา เราไม่ทำยังไงก็ไม่ทำ พอมาเจอเพลงนี้มันโดนใจเลยชอบก็เลยทำ ก็เรียกได้ว่าเป็นการกลับสู่วงการเพลงอีกครั้ง เร็ว ๆ นี้ก็จะมีซิงเกิ้ลต่อไป แต่เราบอกว่าเราไม่ได้ทำอัลบั้ม เราจะทำเป็นซิงเกิ้ลตลอด คือหมายถึงว่าเมื่อก่อนเราทำเพลง 1 อัลบั้มคอนเซ็ปต์ต้องเป็นอันเดียวกันแนวเพลงจะต้องเหมือนกันอะไรอย่างนี้ แต่อันนี้มันเป็นคอนเซ็ปต์ส่วนตัวของผมก็คือว่าคนเรามีหลายอารมณ์ ณ เมื่ออารมณ์ผมออกไอแซดผมก็รู้สึกอย่างนั้น แต่ผมจะออกอีกเพลงผมอยู่อีกอารมณ์หนึ่งผมก็จะร้องเพลงอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมันอาจจะไม่เหมือนกันเลยก็ได้ เขาจะหาว่าแฟนเพลงสับสนหรือเปล่า ผมก็ไม่ได้มองตรงนั้น เพราะผมร้องไปตามอารมณ์ของผมโมเม้นต์นั้นผมมีอารมณ์นี้ผมก็อยากจะสื่อสารในแบบอารมณ์นี้ของผม”
เป็นเพราะว่าที่ผ่านมาในอดีตไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
“ใช่ เพราะตอนนี้ทำในสิ่งที่เราอยากทำเพราะว่าผลลัพธ์เราก็ไม่ได้หวังอะไรมากอยู่แล้ว ไม่ได้หวังว่าจะดังหรือไม่ดัง มันจะขายได้หรือไม่ขาย แต่เรามีความสุขที่ได้ทำมัน มันโอเคแล้ว มันเหมือนเป็นสิ่งที่เราไม่ได้ทำค้างคาไว้นานแล้ว เราได้ทำในสิ่งที่ที่เราอยากทำที่เหลือก็เป็นเรื่องของคนฟังที่จะยังไง บางคนอาจจะชอบเพลงไอแซด วัยรุ่นจะชอบแบบเพลงสอง หรืออาจจะไม่ชอบก้ได้”
มีช่วงที่แย่ไหม
“ช่วงที่เราทำผับ เราสะสมตังค์มาไปเปิดผับที่ใหญ่ที่สุดโครงการใหญ่มาก “มิวสิคแฟคทอรี่” แล้วก็โดนปิดเหมือนคู่แข่งลงขันแจ้งอะไรอย่างนี้ แล้วก็โดนทางการสั่งปิด อันนั้นเนี่ยะหมดเนื้อหมดตัว”
ผ่านมายังไง
“ก็ยากเหมือนกัน เราต้องขอบคุณ คุณศิริวัฒน์ แซนด์วิช เพราะว่าตอนนั้นหมดตัวเหมือนกันในยุค ปี 2540 เราอยู่ไม่ได้เพราะว่าเรามีสังคม และสังคมของเราค่อนข้างจะไฮโซ ค่อนข้างที่จะใช้ค่าใช้จ่ายเยอะ แต่อยู่ ๆ หมดตัวไปแบบกลางอากาศมันทำใจลำบาก ตอนนั้นก็แย่นะรู้สึกมากๆ ไม่อยากมีชีวิตเหมือนกันแต่พอไปดูสัมภาษณ์คุณศิริวัฒน์ ซึ่งเราโอโห้รวยเป็นพันล้าน แล้วเขามาขายแซนด์วิช เขาทำได้ยังไงเขาอยู่ได้ยังไง เขาปล่อยวางได้อย่างไร อันนี้คือสิ่งที่เราได้คิด เราแค่หลัก 10 เขาหลานพันล้านเขายังกลับมาได้ เขายังเริ่มต้นใหม่ได้แต่เราจะเริ่มต้นตรงไหน ในเมื่อเราไม่มีทุน”
ตอนนั้นพี่เริ่มต้นใหม่ยังไง
“เรามีเสียงเป็นอาวุธเป็นจังหวะที่เขาหานักร้องไปต่างประเทศพอดี เขาก็โทรมาหาเราเราเลยตัดสินใจไป เพราะอยู่ไม่ได้ เพราะเรราไม่เหลืออะไรแล้ว เพราะว่าถ้าเราอยู่แล้วคนในสังคมของเราเขาจะมองเรายังไง เราก็อาย มันก็เป็นวิธีเลี่ยง ไปเกือบ 3 ปี เก็บเงินเก็บทองได้หลายล้าน เลยกลับมาเมืองไทยมาทำผับเหมือนเดิม มาเริ่มต้นใหม่”
ตอนนี้ทำอะไรบ้าง
“ตอนนี้มีที่ระยองครับ มีร้าน “พลิ้ว” จะเป็นผับดนตรีสด มี “อินบาร์ ออนเดอะบีช” เป็นร้านอาหารนั่งชิวล์ๆ ริมหาด เปิดเพลงบอซซ่าสบายๆ ค่อนข้างประสบความสำเร็จ ตอนนี้เราเลยมีเวลามาเปิดร้านที่กรุงเทพ “วินเทจเฮ้าส์” และมีผลิตภัณฑ์ดูแลความงาม พวกสกินแคร์ ดูแล ผิวหน้า ผิวกาย ยี่ห้อ “นริทร”” ถ้าสนใจผลิตภัณฑ์สามารถติดต่อได้ในเว็บไซต์ www.narintron.com ”
สิ่งที่ได้ในวงการนี้
“ทุกอย่างนะ ประสบการณ์การใช้ชีวิต บทเรียนเมื่อสมัยก่อนจะบอกว่าพี่เป็นคนค่อนข้างแข็ง ขวานผ่าซาก เป็นไปตามวัย เมื่อได้เจอโลกมากขึ้นก็รู้จักที่ควบคุมตัวเอง รู้จักที่จะเลี่ยงบ้าง สมัยก่อนชนอย่างเดียว ไม่เคยกลัวใครในประเทศไทย แล้วมันก็แตกหักแล้วก็เสียหาย”
มองวงการตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
“ต่างจากเมื่อก่อนเยอะ คนเข้ามาเยอะจนจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ทำให้การแข่งขันสูงเข้าง่ายไปง่าย สมัยก่อนเข้ายากมาก แต่เข้าแล้วก็อยู่นานนะ แต่สมัยนี้เข้าง่ายแล้วก็ไปไว”
อยากให้แนะนำว่าทำยังไงถึงจะอยู่ได้นาน
“ถามว่าจะทำยังไงให้อยู่ได้นาน องค์ประกอบมันก็มีหลายอย่างนะ องค์ประกอบก็คือหนึ่งเอาเนื้องานของคุณเองก่อน คุณต้องพัฒนาเนื้องานของคุณเองให้ดีขึ้นไปเรื่อย นั้นหมายถึงว่า เป็นพัฒนาการที่กลุ่มเป้าหมายคุณต้องการด้วย ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการอย่างเดียว มันอาจจะแฝงสิ่งที่คุณต้องการไว้ด้วยส่วนหนึ่งแต่ผู้บริโภค ที่เขาต้องการเป็นหลัก สองอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของคอนเนคชั่น เรื่องของสื่อ เรื่องของอะไรอย่างนี้ ซึ่งมีหลายประเภททั้งสื่อดีและสื่อไม่ดี สื่อที่นิสัยดีและนิสัยไม่ดี แต่คือคุณต้องไม่ทะเลาะกับเขา เราต้องวางตัวให้เป็นกลางคือให้น่ารักเข้าไว้ก็จะไม่มีใครมาทิ่มแทงได้ ถ้าเกิดคุณอารมณ์ไม่ดีแล้วมาหงุดหงิดใส่สื่อ คุณก็อาจจะโดนสื่อหงุดหงิดใส่ แล้วคุณจะเดือดร้อน มีหลายคนที่หงุดหงิดสื่อตัวดังๆนางเอกดังๆ เก่งใส่สื่อยังไม่รออดเลยเห็นไหม ถูกไหมแค่นั้นคือการทำตัวให้เป็นกลาง ควบคุมตัวเองเป็นพี่เป็นน้องที่น่ารัก อะไรที่เราไม่อยากตอบเราก็หาวิธีเลี่ยงที่จะตอบ ไม่จำเป็นที่จะต้องด่าเขา หรือไปโวยใส่เขา มันอยู่ที่นิดหน่อยเท่านี้เอง”
หลักในการดำเนินชีวิต
“อย่าเอาใจเราเป็นหลักต้องใจเขาใจเรา คือทำอะไรก็ได้ให้มันแบบกลางๆไว้เราจะไม่เหนื่อยมาก”
พินิตา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี