หายหน้าไปพักใหญ่ จนแทบไม่มีผลงานออกมาให้แฟนคลับได้เห็น ล่าสุดพระเอกหนุ่ม “สน-ยุกต์ ส่งไพศาล” กระโดดมาเล่นชิมลางจอเงินเรื่องแรกในชีวิตอย่าง “ช่อง ส่อง ผี...เดอะ เรียล โกสต์ส” ค่าย “แอพช็อต” กำกับโดย ต้อง-พงษ์วัฒน์ ตันนุกูล เมื่อมีโอกาส พูดคุยกับเจ้าตัวจึงต้องร่ายยาวนิดให้แฟนๆ ได้หายคิดถึง แถมมีข่าวว่าเจ้าตัวกำลังจะหมดสัญญากับต้นสังกัดอย่างเอ็กแซ็กท์อีก 3 เดือนข้างหน้า ลองมารอดูหนทางอินเตอร์ของเขาในอนาคตกัน

มาถามถึงภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตก่อน

“ในเรื่อง “ช่อง ส่อง ผี” ผมรับบทเป็น ดล จะเป็นคนนิ่งๆ ใกล้เคียงกับตัวของผม แต่ดลจะซับซ้อนกว่าผมตรงที่เขามีความทรงจำอะไรบางอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไรซึ่งใครอยากทราบว่าดล มีปมอะไรต้องลองไปช่วยสนตีตั๋วดูหนังและหาคำตอบกันนะ”

ฉากที่ยากที่สุดในเรื่อง

“เป็นฉากฝนตกต้องไปถ่ายในบ้านร้าง ทีมงานที่เซตฉากค่อนข้างทุลักทุเล ส่วนผมเป็นฉากที่ต้องเห็นอะไรแปลกๆ อยู่รอบตัว ฉากนี้ต้องใช้จินตนาการในการแสดงเยอะมาก ก่อนถ่ายทำต้องถามผู้กำกับ พี่ต้อง-พงษ์วัฒน์ ว่าต้องการอารมณ์แบบไหน วันนั้นค่อนข้างเหนื่อยกับการใช้สมาธิเยอะพอสมควรครับ แต่เรื่องนี้ผมคิดว่าทีมนักแสดงเก่งมาก โดยเฉพาะนักแสดงรุ่นพี่ เดวิด อัศวนนท์ อยู่ในกองเขาเป็นคนเฮฮาสนุกสนาน แต่พอเข้ากล้องปุ๊บกลายเป็นอีกคนไปเลย ส่วนนางเอกอย่าง ซูริ-ซูซานน่า เรโนล และ ฟีฟ่า-เปรมอนันต์ ศรีพานิช คู่นี้ถึงจะเพิ่งเข้าวงการไม่กี่ปี แต่ทั้งคู่มีความตั้งใจในการทำงานมาก ทำให้รู้สึกไม่เหนื่อย ไม่เข้าใจตรงไหนจะถามผู้กำกับทันที เขาเอาใจใส่งานมาก”

เล่นหนังเรื่องแรกในชีวิตจากจอเล็กมาสู่จอใหญ่

“การเล่นหนังเรื่องแรกในชีวิต ถามว่าทำไมผมถึงตัดสินใจเล่นหนังเรื่องนี้ เหมือนเอาชื่อเสียงมาเสี่ยงหรือเปล่า เพราะค่ายที่ผมร่วมงาน ด้วยก็เป็นค่ายใหม่ ผมว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องค่ายว่าจะเก่าหรือใหม่ ผมมองว่าคนเราถ้าไม่มีก้าวแรก เขาก็คงไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ฝีมือตัวเองนะครับ ที่ผมรับเล่นเรื่องนี้เพราะผมชอบบทและเนื้อหาของหนังมากกว่า อ่านจากบทตอนแรกมันมีความแปลก และมีปมที่น่าสนใจ เพราะเนื้อหาของเขาไม่ใช่แนวหนังผีทั่วไปที่ตามอาฆาตแก้แค้น หนังเรื่องนี้มีกลิ่นอายฝรั่ง สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริง เป็นเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับลัทธิในต่างประเทศด้วยครับ และบรรยากาศในการถ่ายทำเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่น่าลอง”

ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ไปถ่ายหนัง-ละคร คนเลยคิดว่าหายหน้าไป

“ก่อนหน้านี้ผมเร่งถ่ายละคร “สัตยาธิษฐาน”ของช่อง 3 อยู่ครับ ถ่ายเป็นปี เพราะเป็นพีเรียดด้วย เลยมีความยากจากในหลายๆ ฉากและโลเกชั่นละครเรื่องนี้ถ่ายนานมาก แถมมีฉากใหญ่ๆ ค่อนข้างเยอะ มีคนเล่นมากมายซึ่งบางอย่างเหนือการควบคุมกว่าจะลงตัวกันได้เรื่องนี้ผมรับบทเป็น ทาส ก่อนเข้าฉากมีทาตัวให้ดำด้วย ด้วยความที่เล่นเป็นทาสต้องถอดเสื้อตลอด ผมเลยต้องค่อนข้างดูแลตัวเอง เข้าฟิตเนสครับ แต่พอถ่ายเรื่องนี้ก็ดำเป็นจุดๆก็ว่าได้ (หัวเราะ)”

ถอดเสื้อดูเป็นจุดขายหรือเปล่าไปอีก

“เล่นเป็นทาสเนอะ ก็ต้องถอดเสื้อ เป็นปกติ จะใส่เสื้อก็คงจะต้องผิดแผกไป (อมยิ้ม) เลยทำให้ผู้จัดอย่างพี่ไก่-วรายุทธ บอกว่าต้องดูแลตัวเองเยอะๆ นะ เพราะเรื่องนี้ต้องฟิตหุ่นเยอะๆ ตอนถ่ายผมก็ต้องดูแลตัวเองเพิ่มน้ำหนัก เพราะอยากให้ตัวเองดูดี น้ำหนักตอนถ่ายก็น้อยกว่าตอนนี้ประมาณ 2-3 กก. สำหรับเรื่องนี้ผมอยากให้ไปดูกันและได้สัมผัสถึงบรรยากาศแบบผีหยองๆ ด้วยครับ”

เห็นว่าใกล้หมดสัญญากับต้นสังกัดอย่าง เอ็กแซ็กท์ แล้ว

ยังมีสัญญาเหลืออีกประมาณ 2-3 เดือน เดี๋ยวจะมีเข้าไปคุยกับทางช่องว่าเขาต้องการแบบไหน ผมยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลยครับ ด้วยความจริง ผมเกิดมาจากที่นี่ และที่ผ่านมาเอ็กแซ็กท์ก็ใจดีกับผมมาก ให้ผมร่วมงานกับคนอื่นได้ ผมเลยไม่ได้ซีเรียสอะไรครับ ผมมองความเป็นพี่น้องกัน เป็นเหมือนครอบครัวที่ผูกพัน และละเอียดอ่อน ของแบบนี้ก็ไม่ต้องปรึกษาใคร เรื่องนี้คงต้องรอคุยกับทางผู้ใหญ่เองอีกทีครับ

มีงานอื่นอีกไหม นอกจากมีงานซีรี่ส์ที่จีน

“เร็วๆ นี้ จะเปิดกล้องซีรี่ส์เรื่องใหม่ที่เล่นกับทางจีน แล้วก็จะมีกับช่องวัน อีกครับ แต่จะเป็นเรื่องอะไรยังบอกไม่ได้ครับรอให้ทางช่องแจ้งดีกว่า พอถ่ายละครจบจากช่อง 3 สักพักก็ถ่ายทำหนังต่อ พอหนังเสร็จ ผมก็มาถ่ายกล้องต่อเนื้อหาเป็นเรื่องราวความขัดแย้งระหว่าง2 ตระกูลใหญ่ ซีรี่ส์เรื่องนี้มีกลุ่มนายทุนจากจีนมาจ้างคนไทยทำ นักแสดงเป็นคนไทยและถ่ายทำที่ไทย แต่ไปฉายที่ประเทศจีน ตอนถ่ายทำก็พูดภาษาไทยได้ พอถึงเวลาไปออนแอร์ที่จีน แต่ละมณฑลก็ใช้คนละภาษากัน ทางทีมงานก็จะไปใส่ภาษาจีนเองอีกที”

ความรักก่อนหน้านี้เห็นว่าแฮปปี้

“ปีที่แล้วผมมีคุยๆ กับฝรั่งอยู่ อย่างที่ทราบกัน แต่พอเขากลับประเทศของเขาก็ไม่ได้คุยกันต่อ ตอนนี้ก็ยังโสดอยู่ครับ ผมรู้สึกว่าเวลาผมมีความรัก ผมมักจะทุ่มเทเลย ไม่ได้โฟกัสกับเรื่องงานเท่าไหร่ เลยขอเน้นทุ่มเทไปที่เรื่องงานก่อนเพราะผมเองอยากพัฒนาตัวเองให้มากกว่านี้ผมอยู่ในวงการมา 10 ปีแล้ว เลยไม่อยากย่ำอยู่กับที่ครับ ตรงจุดไหนที่จะเป็นก่อนหรือหลังก็ค่อยๆ เรียงลำดับ เพราะของแบบนี้ผมเชื่อว่าเดี๋ยวพรหมท่านก็ลิขิตให้มาเอง”

ตรงจุดไหนที่ทำให้ยังไปไหนไม่ไกล

“ผมว่าเป็นเรื่องของดวงด้วยนะ ผมรู้สึกว่าจังหวะตัวผมเองไม่ดีเท่าไหร่ อะไรที่ควรได้ก็ไม่ได้อย่างละครบางเรื่อง เราไม่สามารถรับได้เพราะติดงานอื่น แต่กลายเป็นว่าเรื่องนั้นกลับดัง ตรงนี้เองทำให้ผมอยากเลือกรับงานมากขึ้น เพราะไม่อยากมานั่งเสียใจทีหลัง”

ทางพ่อ-แม่เร่งรัดให้แต่งงานอะไรไหม

“ทางบ้านไม่เร่งรัดอะไรอยู่แล้ว แต่ผมเองเคยตั้งเป้าเอาไว้ว่าอยากมีลูกก่อนอายุ 35 ปี ตอนนี้ผม 30 แล้ว แต่ตอนนี้ขอทำงานไปก่อน รออีกสัก 5 ปี แล้วค่อยว่ากันครับ”

ท้ายสุดอยากฝากอะไรบ้าง

“ก็ตอนนี้ผมทำมาในหลากหลายอาชีพแล้วก็ถือว่าเกินกว่าที่จะเป็น แต่หนทางยังไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมีงานที่จะทำอินเตอร์ หรือจะค่อยๆ พัฒนาฝีมือไปในทางที่อยากจะทำอีกเยอะ ก็คอยเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ”

ยุทธนา นารี