ถือเป็นนักแสดงคุณภาพมากความสามารถอีกคนของวงการบันเทิงสำหรับ นุ่น-ดารัณ ฐิตะกวิน (รุ้งทอง ร่วมทอง) ที่เพิ่งจะมีผลงานละคร “สมบัติมหาเฮง” ทางช่อง 7 เพิ่งลาจอไป ล่าสุด“ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ถือโอกาสดีนัดแนะล้วงลึกเรื่องราวชีวิตพร้อมอัพเดทสถานะหัวใจกับสาวหล่อมาดเท่

“สำหรับผลงานตอนนี้ก็มีหลายเรื่องอยู่ ที่เพิ่งจะจบไปก็ สมบัติมหาเฮง ทางช่อง 7 วัยนี้ฮอตทุกคน (หัวเราะ) ก็สามารถรับหลากหลายช่อง โดยบทพ่อ-แม่มันจัดสรรได้ ในบางคิวบางวีคก็ไม่มีเรา ก็เลยมีการแชร์คิวกันซึ่งทุกกองเข้าใจได้ พอดูจำนวนเรื่องก็เลยจะดูเยอะหน่อย แต่โดยสัดส่วนเนื้องานเราไม่ได้มากมายเท่ากับตัวหลักอยู่แล้วค่ะแล้วนุ่นก็สามารถเล่นได้หลากหลายช่องด้วย เวลาไปเดินตามตลาดจะมีคนทักว่าอุ้ย!ดาราช่อง 7 ดาราช่อง 3 คือแล้วแต่เขาจะดูช่องไหนอยู่ ก็เลยจะเป็นดาราทุกช่องค่ะพี่ดูช่องไหนหนูเล่นช่องนั้นก็ขำๆ กันไป บทบาทส่วนใหญ่ก็ขยับเป็นคุณแม่แล้ว แต่ก็ยังไม่รีบไปคุณยายนะคะ มีบางเรื่องที่มีลูกแล้วลูกมีลูกเล็กซึ่งมีความสำคัญในเรื่องนั้น เราจึงกลายเป็นคุณย่า อันนี้พอรับได้”

หัวใจตอนนี้เป็นสีชมพูเห็นมีสาวหล่อ ‘คุณบี’ ข้างกายไปไหนด้วยตลอด?

“ไม่ได้มองว่าเขามาเฝ้านะมองว่าเขาใส่ใจทุกๆ เวลา ตรงนี้แหละที่ทำให้รู้สึก เพราะว่า 8 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยรู้เลยว่าเขาไปอยู่ตรงไหนยังไง ในขณะที่เราก็เดินหน้าของเราไปเหมือนลืมเขาไป ไม่ใช่ว่า ไม่อยากคิดถึงนะ แต่คือมันลืมไปเลย แต่พอเรามาเจอกันปั๊บเราก็มารู้ว่าเขาดูละครเราทุกเรื่องเขาเห็นเราในโซเชียลตลอด เห็นชีวิตเราตลอด

เชื่อในพรหมลิขิต?

“นุ่นกับบีจริงๆ เรารู้จักกันมาก่อนนุ่นแต่งงานอีกค่ะ เข้าวงการมาใหม่ๆ เล่นละครเวทีซึ่งบีเขาทำงานอยู่แดส เอนเตอร์เทนเมนท์เรียนจบเขาก็มาทำงานที่นี่เราโตกว่าเขา 5 ปี ก็มาเล่นละครเวทีเลยมาเจอกัน เรียกว่าเป็นกัลยาณมิตร มันอาจจะมีความพิเศษมีความรู้สึกดีต่อกันแต่ไม่เคยเป็นแฟนกัน มีอะไรก็ปรึกษาถูกชะตา ต่างคนต่างใช้ชีวิตไป แป๊บเดียว 8 ปีผ่านไป เราก็ไปเรียนผิดเรียนถูก แล้วจนได้มาเจอกัน มันก็เป็นเหมือนโลกเหวี่ยงค่ะเหมือนลิขิต นุ่นเชื่อเรื่องพรหมลิขิต ไม่ได้เชื่อมาก่อนแต่ชีวิตที่ผ่านมาอ้าวมันใช่นี่นา”

ลูกชายลูกสาวเปิดใจรับ ‘คุณบี’ ?

“เขาเป็นห่วงเด็กๆ มาก เขาห่วงมากกว่าห่วงเราอีก เพราะว่าเราดูแลตัวเองได้ แต่เขาดูแลเด็กๆ มาตั้งแต่ที่เราเลิกกับสามี ในบ้านก็ไม่ครบองค์ประกอบ เขาก็เลยผูกพัน 8 ปีที่ผ่านมาเขาก็เป็นห่วงเด็กมาก เขาเข้ากันได้ดี ลักษณะการเลี้ยงคือไม่ได้ให้ลูกติดใคร มันคือความผูกพันมากกว่าที่ไม่เคยจางหาย วันหนึ่งที่ไปเจอบีแล้วก็กลับมาถามลูก บีจากไปตอนที่ลูกคนโต“ไม้” อายุ 10 ขวบ และ “มุก” คนเล็กประมาณ 8 ขวบ มีอะไรก็จะเล่าให้ลูกฟังตลอด พอไปเจอบีก็มาเล่าให้ลูกฟัง ก็ถามถึงว่าน้าบีเป็นยังไงรู้สึกคิดถึงน้าบีนะ ท้ายที่สุดมาคุยกันเพราะว่าเราจะมาใช้ชีวิตร่วมกันก็เลยมาถามลูก เขาก็บอกว่าเขามีความคุ้นชินกับน้าบีอยู่แล้วแม่ไม่ต้องห่วง เขารู้ว่าน้าบีรักพวกเขาอยู่แล้ว ถ้าแม่เหนื่อยน้อยลงแล้วแม่มีความสุขเด็กๆ ก็โอเค”

หลักในการดำเนินชีวิตคู่?

“ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากว่าวันที่เราจากกันไปมันมีเหตุผลอะไร มีความผิดพลาดบกพร่องหรือว่าความไม่เข้าใจกัน เราเอาตรงนั้นมาคุยกัน และปัจจุบันเรียนรู้อะไรมาเปลี่ยนแปลงความเข้าใจตรงนั้นยังไงบ้าง น่าจะเป็นหลักของความผิดพลาดที่ผ่านมามากกว่าค่ะ”

พอเปิดตัวว่าคบกันคาดหวังกับฟีดแบ๊กอย่างไร?

“ไม่เคยคิดค่ะ คือในแต่ละทุกวันเวลาเราลงโซเชียลอะไรก็แล้วแต่เราลงความเป็นจริงไม่ได้คิดว่าจะสร้างภาพสวยงาม เราจะโพสต์ชีวิตส่วนตัวเรื่องลูก เรื่องไปเที่ยวเรื่องทำงานเป็นปกติอยู่แล้ว เราไม่ได้คิดว่าเราจะสร้างให้มันสวยงาม พอมีเขาเข้ามาเขาก็เข้าไปอยู่ในโพสต์ของเราซึ่งก็เป็นการดำเนินชีวิตในแต่ละวันก็เลยจะคุ้นชิน และไม่ได้คาดหวังว่าการที่เราลงรูปไปมันจะมีภาพลักษณ์ยังไง เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ อาจจะไม่ได้ถูกต้องทุกอย่างแต่จุดมุ่งหวังของเรา คือเราพยายามทำในสิ่งที่ดีที่ถูกอะไรที่ผิดพลาดเรายอมรับและแก้ไข บางทียังคิดว่าเราลงระบายอะไรลงไปบ้างก็ได้นะ คนจะได้รู้ว่าเราไม่ได้มีแต่สวยงามอย่างเดียว แต่คิดไปคิดมาคือเวลาที่โกรธมันเหมือนเราเอาสิ่งไม่ดีไประบายให้คนอื่นฟัง แต่เราก็ไม่ได้บอกว่าเราดีเสมอไปเอาแค่ที่ฟังแล้วได้ข้อคิดแล้วสบายใจมากกว่า”

แง่คิดดีๆ กับความรักครั้งนี้?

“กลายเป็นว่าหลายๆ คนออกมาเปิดเผยตัวเองในเรื่องของการรักเพศเดียวกัน ก็เลยรู้สึกว่าเขาคงมองเห็นความสวยงามของความรักมากกว่าเพศ รู้สึกดีใจในมุมนี้อยากจะบอกทุกคนว่าเราเคยเรียนรู้เรื่องครอบครัว หมอเคยบอกว่ามันไม่จำเป็นต้องจำนวนครบแต่มันคือบรรยากาศที่ดีในการเติบโตของเด็กแล้วเด็กจะเติบโตได้ดี ไม่ใช่ว่าต้องเอาหมากมาให้ครบกระดาน แต่มันต้องเดินให้สวยเดินอย่างมีสติก็พอแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องถูกเพศก็ได้

ถ้าเขารักจริงเขาหวังดีต่อคุณจริงๆ มันหายากมาก เวลาที่คุณมีความรักที่สวยงามแบบนี้อยากให้มองเห็นคุณค่าของมันมากกว่าการที่จะต้องถูกประเพณี มากกว่าการที่ผู้ใหญ่บอก ไม่ใช่ว่าจะดื้อกับผู้ใหญ่นะคะ แต่ต้องมีสติกับตัวเอง ท้ายที่สุดแล้วคนที่จะเดินไปได้อย่างสวยไม่ใช่คนรวย ไม่ใช่คนที่ทำถูกต้องตามที่เขาว่ากัน แต่มันต้องถูกต้องตามที่ตัวเองรู้สึกมีความสุข”