แรงบันดาลใจที่ทำให้คุณสร้างหนังเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบนี้ขึ้นมา แนวที่ฉีกหนังรอมคอม
มันเริ่มมาจากที่ตัวเอกของเรื่องอย่าง ซิงเนอ แล้วก็เรื่องราวของเธอ แต่ตอนดราฟต์คืบหน้าไป ผมกลับพบว่าตัวเองเริ่มสนใจเรื่องราวของโธมัสแฟนหนุ่มของเธอซะงั้น มันเลยกลายมาเป็นส่วนสำคัญว่าเนื้อเรื่องมันเกี่ยวกับไดนามิก ระหว่างทั้งสองคนที่การกระทำของทั้งคู่มันมักจะถูกผลักดันมาจากความสัมพันธ์ที่ชอบเอาชนะกันไปชนะกันมา
ผมเริ่มร่างภาพว่าเรื่องราวนี้ควรจบตอนไหน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ยังไง ผมต้องการให้หนังมันเกิดขึ้นที่โลกจริงๆ ในสังคมที่ผมได้เคยสังเกตในออสโล แต่ตัวละครเหมือนจะไปไกลเลย ทุกก้าวของซิงเนอมันเหมือนเป็นชาเลนจ์ที่ผู้ชมต้องติดตามเธอไปด้วยทีละก้าว
คุณตัดสินใจแคสต์คริสติน คูยาธ ธอร์ปมาเล่นหนังเรื่องนี้จากอะไร แล้วเธอช่วยขัดเกลา คาแร็กเตอร์ของซิงเนอยังไงบ้าง
ผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้คริสตินมาเล่นบทนี้ซิงเนอเป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ซึ่งคริสตินเป็นคนที่ทำให้ตัวละครนี้มีชีวิตขึ้นมาเลยมันซับซ้อนทั้งด้านกำลังและจิตใจเลย ต้องใช้ทั้งการรู้ไทม์มิ่งแบบในหนังคอเมดี้และการเคลื่อนไหวร่างกายที่เยอะมากถึงจะทำให้บทนี้ออกมาสมบูรณ์ ในขั้นตอนเตรียมการพวกเราได้ลองให้เธอแสดงแบบทั้งสองด้านของซิงเนอเลยด้วยโจทย์ที่ว่า คุณจะให้ภาพของตัวละครที่ไม่เคยแสดงธาตุแท้ของเธอเลยยังไง? เธอขี้โกหกและพยายามที่จะเป็นคนอ่อนน้อม
ทั้งๆ ที่เนื้อแท้เธอไม่ใช่คนแบบนั้นเลย อีกทั้งเธอยังชอบแสดงเวลาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมด้วย
คริสตินแสดงเป็นตัวละครที่สลับซับซ้อนแบบนี้ได้อยู่หมัด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องของคุณสมบัติทางกายภาพอื่นๆ อย่างร่างกายเธอเริ่มขยับท่าทางแปลกๆ น่าขนลุกในแบบที่บางครั้งจะเห็นได้ในหนังคอเมดี้ บางครั้งการซ้อมก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเตรียมงานเต้นแปลกๆ อยู่เลย ตอนนั้นพวกเราถึงขั้นพยายามจะใช้กระแสไฟฟ้าช็อตเบาๆ เพื่อกระตุ้นท่าทางที่คาดไม่ถึงเลยเสียด้วยซ้ำ แต่มันก็เป็นไอเดียที่ดูจะไม่เวิร์กอย่างแรง
กระบวนการและการคราฟต์อะไรบ้างที่ทำให้ท่าทางทางกายภาพกับหน้าของซินเนอเปลี่ยนไป
การแต่งหน้าเทียมเป็นเรื่องสำคัญมากในหนังเรื่องนี้ พวกเราใช้เวลาหลายเดือนในการออกแบบการเปลี่ยนแปลงของซินเนอในแต่ละขั้นตอน พวกเราพยายามที่จะทำสิ่งที่ทั้งสวยงามและน่าตกใจออกมา การร่วมงานกันของพวกเราสนุกมากเลย แบบในตอนที่โควิดระบาด พวกเราถ่ายหนังจบแบบแตกต่างจากตอนนี้มากด้วยการตั้งชื่อหนังเรื่องนี้ว่า Eer ซึ่งคุณลองไปหาในเนตดูก็เจอนะ
ผมคิดว่าพวกเราต่างหลงใหลกับการที่ร่างกายกับใบหน้านั้นสามารถเปลี่ยนไปได้มากขนาดไหน พวกเราพยายามที่จะหาทางทำให้ความผิดปกติของรูปร่างสามารถถูกมองว่าน่าตกใจและน่ามองได้ในเวลาเดียวกัน แล้วมันก็สนุกมากด้วยที่ได้เข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ด้วยหนังเรื่องนี้พร้อมกับตอนที่เดวิด โครเนนเบิร์ก เข้าร่วมด้วย ซึ่งผมมั่นใจเลยว่าเขาเนี่ย เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมสนใจในเรื่องอวัยวะเทียมและความน่าพิศวงของร่างกาย
หนังเรื่องนี้เหมือนจะผสมผสานความสง่างามเข้ากับองค์ประกอบอื่นๆ
คำกล่าวที่เกี่ยวข้องกับคำถามนี้ที่ผมจะเอามาตอบน่าจะเป็น “ผมชอบท่วงทำนองอันสวยงามที่เอ่ยถึงสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว” ผมต้องการที่จะบันทึกเรื่องนี้ที่เป็นเรื่องราวชวนอึดอัดในรูปแบบที่งดงามที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมต้องการที่จะถ่ายทำในช่วงฤดูร้อนอันสวยงามที่ออสโล แล้วก็ต้องการให้มันดูแล้วก็ให้ความรู้สึกว่ามันจะคงอยู่ตลอดไปเพื่อให้เกิดบาลานซ์ระหว่างเรื่องราวในยุคร่วมสมัยที่ในขณะเดียวกันก็พาดพิงถึงสิ่งที่ไม่มีวันตายอย่างเรื่องของความอิจฉาและความหลงตน พวกเราถ่ายทำด้วยเลนส์ 35 มม. แล้วในหนังก็มีดนตรีคลาสสิกเยอะมากด้วย เราหวังว่ามันจะสามารถถ่ายทอดหนังที่สวยงามซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งเลวร้ายได้
การสร้างบาลานซ์ระหว่างเรียลลิซึ่ม การเสียดสี คอเมดี้ และโศกนาฏกรรม
ในตอนแรกเริ่มผมไม่ได้จินตนาการเรื่องพวกนี้เลยนะ มันมาจากการเฝ้าสังเกตการณ์ของผมซึ่งถูกจัดการและยกระดับเพื่อคอเมดี้ เพื่อปมความขัดแย้ง แล้วก็เพื่อเนื้อเรื่องด้วย ผมหวังว่าตัวละครในเรื่องจะสร้างความคุ้นเคยและสมจริงขึ้นเมื่อตัวพลอตไร้แก่นสารขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนจะว่าผมจะกระหายมุขตลกร้ายด้วย ไอเดียที่แบบทั้งเจ็บปวดแล้วก็ตลกไปพร้อมๆ กันเหมือนจะเป็นอะไรที่ติดอยู่ในใจผมมาก ผมไม่ได้ตั้งใจสร้างโทนการเล่าเรื่องที่แตกต่างเลยนะ สคริปต์มันถูกขัดเกลามาเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นสิ่งที่ผมอยากจะเห็นบนจอภาพยนตร์
ทุกคนในเรื่องก็ร้ายกาจเท่ากันหมด ?
ผมคิดว่าตัวละครในเรื่องมีความสัมพันธ์กันมาก ก็แค่คนส่วนใหญ่สามารถตระหนักรู้ได้ด้วยตัวเองแล้วก็มีความละอายมากพอที่จะหยุดตัวเองไม่ให้หุนหันพลันแล่นเหมือนกับที่ตัวละครในหนังทำ ผมชอบที่เรื่องแต่งให้โอกาสในการใช้ชีวิตเป็นคนอื่นในแบบที่ไม่ต้องสนใจขอบเขตทางศีลธรรมซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แล้วเราก็ไม่ต้องกังวลผลที่จะตามมาด้วย ใน Sick of Myself ผมได้ลองสร้างตัวละครต่างๆ ที่น่าจับตามองมากๆ ไม่ใช่ตัวละครที่จะมีใครชื่นชอบมากนะ นักเขียนชื่อซอล เบลโลว์ เคยกล่าวไว้ว่า “การฆาตกรรมทางความคิดหนึ่งครั้งต่อวันช่วยไล่จิตแพทย์ให้ห่างออกไป” มันมีบางอย่างในคำพูดนี้
ที่พูดกับความต้องการของผมที่จะสำรวจการกระทำที่น่าอับอายและเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ในเรื่องแต่ง
ว่ากันในทางศีลธรรมแล้วเนี่ย หนังเรื่องนี้ไม่ได้ปล่อยให้การกระทำผิดของตัวละครลอยนวลจะว่าไปหนังเรื่องนี้ก็เหมือนเป็นนิทานสอนศีลธรรมด้วย ผมยินดีรับการตีความของหนังเรื่องนี้ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะออกความเห็นได้เต็มที่ แต่สำหรับผมนะ หนังเรื่องนี้มันเกี่ยวกับการหาอารมณ์ขันในแง่ที่ดาร์กของชีวิตและวัฒนธรรมสมัยใหม่
คุณอาศัยอยู่ที่ลอสแองเจลิสแต่ SICK OF MYSELF ถ่ายทำที่สแกนดิเนเวีย
ผมรู้สึกว่าได้มาเยือนอเมริกาเป็นเวลานานมาก แล้วก็ยังไม่มีแพลนว่าจะอยู่ที่ไหนดี ผมมีโปรเจกท์อยู่ที่อเมริกาซึ่งจะถ่ายทำในปีนี้เลยต้องอยู่ที่นี่อีกสักพักเลย แต่ผมก็ได้มีประสบการณ์ดีๆ ในการถ่ายทำที่นอร์เวย์กับสวีเดนด้วย ซึ่งก็มั่นใจว่าเรื่องที่ผมจะเขียนต่อไปจะมีเซตติ้งอยู่ที่สแกนดิเนเวียแน่อะไรก็ได้เลยที่เข้ากับไอเดียผม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี