พัชริดา วัฒนา (ชื่อเล่น แหม่ม) เกิดวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2510 ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เป็นนักร้องชาวไทย มีผลงานร่วมกับวงสาว สาว สาว เป็นบุตรสาวของนักร้องอาชีพ สุดา ชื่นบาน และยังมีน้องสาวต่างบิดาซึ่งก็เป็นนักร้องเช่นกันคือ โมเม-นภัสสร บุรณศิริ

แหม่มศึกษาที่โรงเรียนสตรีวรนาถบางเขน ตั้งแต่ประถมป.1-ป.4 ต่อมาย้ายไปเรียนที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยตั้งแต่ระดับประถม 5 ถึง มัธยม 6 (สายศิลป์-ฝรั่งเศส) และศึกษาต่อที่ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สาขาวิชาเอกภาษาอังกฤษ เข้าเรียนต่อในระดับมหาบัณฑิตทางด้านนิเทศศาสตร์ สาขาวิทยุ-โทรทัศน์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบการศึกษาในปี 2535

เธอเป็นสมาชิกวง สาว สาว สาว ร่วมกับสมาชิกหญิงอีกสองคนคือ เสาวลักษณ์ ลีละบุตร (แอม) และ อรวรรณเย็นพูนสุข (ปุ้ม) มีผลงานกับวงสาว สาว สาว ในช่วงเวลา 9 ปีมีผลงานเพลง 10 อัลบั้ม จากนั้นเธอมีในฐานะศิลปินเดี่ยวกับอาร์เอส 10 อัลบั้ม

เมื่อถึงจุดอิ่มตัวของวงสมาชิกแต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางที่ตนเองได้เลือกไว้ คงเหลือไว้แต่ตำนานของสาว สาว สาว และมิตรภาพระหว่างเพื่อนที่ไม่มีวันลบเลือน ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็น เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส ฝ่ายพัฒนาศิลปิน บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ในด้านธุรกิจ เธอเปิด Chasse’ Dance Studio เป็นสตูดิโอเปิดสอน การเต้น การขับร้อง การแสดง

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการการันตีถึงความนิยมในยุคนั้น ทาง“ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” จึงได้ร่วมเปิดใจ “แหม่ม-พัชริดา วัฒนา จากบทบาทนักร้องสู่การเป็นครูผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักร้องชื่อดังมากมาย

ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น

จำได้ว่าภาพของคุณแม่ที่พี่เห็น คือ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้องเพลงตอนกลางคืน สมัยนั้นคนในสังคมมองว่าเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน แต่สำหรับพี่มันเป็นอาชีพที่มีเกียรติ เราเติบโตมาได้ก็เพราะเงินจากการร้องเพลงตอนกลางคืนของคุณแม่ทั้งนั้นความภาคภูมิใจทำให้ช่วงนั้นทุกๆ วันพี่จะนั่งฟังเพลง และช่วยแม่ต่อเพลงใหม่เสมอ แล้วก็เริ่มร้องเลียนแบบ

เริ่มต้นก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง

พี่ไม่เคยมีความฝันจะเป็นนักร้องเลย การร้องเพลงเป็นกิจกรรมภายในครอบครัวมากกว่า แต่อยู่ๆ โอกาสก็เข้ามา คือ ตอนนั้นผู้บริหารค่ายเพลงรถไฟดนตรี ที่มีเพลงครองตลาดวัยรุ่นอยู่ตอนนั้น คิดจะสร้างกระแสเพลงป๊อปในแบบฉบับของคนไทย เลยมาทาบทามพี่ผ่านทางคุณแม่ (สุดา ชื่นบาน ) ทั้งๆ ที่พี่เพิ่งอายุ 14 เองนะ แต่คุณแม่อยากให้ลองทำดู ซึ่งพี่ก็คิดว่ามันท้าทายความสามารถของเด็กอย่างเราด้วย แล้วทางบริษัทเลยให้พี่ร่วมงานกับสมาชิกอีกสองคน (แอม-เสาวลักษณ์, ปุ้ม-อรวรรณ)ในนามของวง “สาว สาว สาว”

ชีวิตสาว (สาว สาว สาว)

พี่คิดว่ามันเป็นความสนุกในช่วงวัยรุ่นนะ ได้ทำทุกอย่างตามที่ตัวเองคิด และมีโอกาสในการออกแบบการร้อง แต่งเพลง เลือกเสื้อผ้าที่เป็นตัวของตัวเอง สามารถออกแบบชีวิต และงานที่แสดงตัวตนได้ชัดเจน การได้ทำงานตั้งแต่เด็กทำให้เราโตขึ้น
มีความรับผิดชอบทั้งงานและการเรียนไปพร้อมกัน ที่สำคัญที่สุดคงเป็นการที่พี่ได้เจอเพื่อน ซึ่งมันเป็นมิตรภาพที่ยังคงอยู่จนถึง
ทุกวันนี้

ความนิยมของ สาว สาว สาว

เรียกว่าเป็นความบังเอิญมากกว่าที่ยุคนั้นเป็นยุคใหม่ในวงการเพลง ซึ่งตลาดเพลงป๊อปกำลังได้รับความนิยม และเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพนักร้อง อีกอย่างช่วงนั้นไม่ค่อยมีนักร้องที่เป็นวงเท่าไรนัก พี่คิดว่าสาว สาว สาว เป็นเกิร์ลกรุ๊ปวงแรกของไทยเลยนะ (หัวเราะ) ด้วยแนวเพลงใสๆ ท่าเต้นติดตาคนดูเลยกลายเป็นความแปลกใหม่ทำให้คนสนใจพวกเรามากกว่า

จุดเปลี่ยนของวง

เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง ทุกคนย่อมมีทางเดินของตัวเองสาว สาว สาว ก็เช่นกัน อีกอย่างคือตอนนั้นเริ่มมีวงใหม่ๆก้าวเข้ามาเราจึงคิดว่าน่าจะให้แฟนๆจดจำภาพของวงในตอนที่ยังมีชื่อเสียงอยู่คงจะดีกว่า

ความรู้สึกหลังแยกทาง

แน่นอนว่าทุกคนต้องเสียใจอยู่แล้ว แต่พวกเราคิดว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนั้น ก็เหมือนเราย้ายบ้านไปอยู่ในชุมชนที่คนมารุมทึ้งเราพักหนึ่งแล้วก็ย้ายกลับมาบ้านของคนธรรมดา พี่ก็ทำตัวปกติ อีกอย่างก็เริ่มเบื่อลักษณะงานที่ต้องทำซ้ำเหมือนเดิมทุกวัน ถึงเราจะมีงานเยอะก็จริง แต่เนื้องานไม่ต่างกัน เลยหันมาคิดเรื่องอนาคตของตัวเองว่าหลังเรียนจบจะทำอย่างไรต่อไป”

ก้าวเข้าสู่ RS

พี่ได้มีโอกาสพบกับโปรดิวเซอร์ค่ายเพลงอาร์เอส และได้รับการทาบทามให้กลับมาเป็นนักร้องอีกครั้งเมื่อตอนอายุ 26 ปีซึ่งพี่มีทัศนคติว่า คนเราต้องเดินเส้นทางใหม่ๆ บ้าง ไม่มีอะไรจะต้องเสีย และทุกครั้งที่เริ่มก็จะไม่คาดหวัง แต่จะตั้งใจทำให้เต็มที่ พี่เรียนรู้ว่าการทำงานเบื้องหน้านั้น ต้องทำให้คนยอมรับผลงาน ต้องพัฒนาทักษะอยู่เสมอ และต้องรู้จักมองทุกอย่างให้รอบด้าน รู้จักวิธีแสดงอารมณ์ว่าต้องทำแค่ไหน อย่างไรจึงจะพอดี รวมทั้งวางตัวและจัดการชีวิตให้ดี เพราะคนในวงการบันเทิงก็คือคนของสังคม

ผันตัวเองมาเป็นครูได้อย่างไร

พอทำงานได้สักพักพี่รู้สึกของพี่เองว่างานวงการเพลงไม่มั่นคงเท่าไร จึงได้พัฒนาตัวเอง พัฒนาผลงาน จนก้าวขึ้นมาเป็นคุณครู พี่คิดว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่จะสานต่องานของเราได้ จะแตกต่างก็ตรงที่เมื่อก่อนเราอยู่หน้าม่านคอยทำให้ผู้ชมมีความสุข แต่ตอนนี้เราย้ายมาอยู่หลังม่านคอยผลักดัน และส่งเสริมให้ลูกศิษย์ได้ก้าวตามความฝันของตัวเอง และส่งเขาไปให้ถึงฝั่งฝัน

นักร้อง กับ คุณครู ความรู้สึกแตกต่างกันไหม

แตกต่างแน่นอนอาชีพครูสอนร้องเพลงทำให้มีเวลาส่วนตัวเพิ่มมากขึ้น และชีวิตสบายขึ้นเยอะ ตอนแรกบอกตัวเองมันง่าย แต่เมื่อเป็นครูมาสักระยะ มันไม่ง่ายเลย เราและนักเรียนต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ยิ่งเจอแบบไหนว่าแปลกแล้ว ทุกๆ แบบก็ทำให้เราเรียนรู้ไปด้วยกัน และรู้สึกดีมากที่เห็นเด็กมีพรสวรรค์หลายคน

คิดอยากจะหวนกลับมาร้องเพลงไหม

ทุกวันนี้พี่ก็ร้องเพลงทุกวันนะ แต่แค่ไม่ได้ออกอัลบั้มเป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้น การที่อยู่เบื้องหลังนำประสบการณ์ทั้งหมดของเรามาสอนน้องๆ ที่จะก้าวเข้ามาเป็นนักร้องที่ดีในอนาคต พี่คิดว่ามีความสุขที่สุดแล้ว แต่อนาคตไม่แน่นอนพี่อาจจะกลับมาร้องเพลงอีกครั้งก็ได้ (ยิ้ม)

เป็นไปได้ไหมที่สาว สาว สาว จะกลับมารวมตัวเฉพาะกิจ

จริงๆ ทุกวันนี้พวกเราก็ยังพูดคุยกันในฐานะเพื่อนอยู่ คือ คำว่าเพื่อนไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนมันก็ยังคงอยู่ แต่โอกาส
รวมตัวกันค่อนข้างยาก คือแต่ละคนก็ต่างมีหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง ถ้ามีโอกาสเหมาะๆ ที่จะรวมตัวเฉพาะกิจ ขึ้นคอนเสิร์ต ออกรายการ พี่ก็ยินดีนะ

สุดท้ายนี้อยากให้ฝากถึงแฟนๆ ของสาว สาว สาว

พี่ต้องขอบคุณมากๆ ที่ทุกคนยังคิดถึงวงสาว สาว สาว และยังคงถามไถ่ถึงกันตลอด ยังไงก็ฝากติดตามผลงานของสมาชิกในวงทุกคนด้วย ทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังนะคะ