“อาร์ม สีทอง” เคยเขียนคอลัมน์ “ขุดขึ้นมาคุย”ของนักร้อง-นักแสดงหนุ่มหล่อที่ไม่ได้เป็นรองใคร แม้จะในยุคนี้ก็ตามที แต่เป็นเพราะสิ่งล้อมรอบตัว ทำให้เขาเลือกจะ “อยู่อย่างศิลปิน” มากกว่าที่จะเลือกเดินในเส้นทางของอาชึพ “นักแสดง”
นั่นเป็นการเขียนเพียงเพื่อแนะนำตัวเท่านั้น และวันนี้ “Retro” ขอนำเรื่องส่วนหนึ่งของเขามาเขียนอีกครั้ง ด้วยการตั้งข้อสงสัยของผู้ที่สนใจในชีวิต “คนมายา” ที่เหมือนสูญหายไป
สิวะ แตรสังข์ แรงโรจน์โดดเด่น ด้วยความเป็นนักร้องมาก่อน กับการรวมตัวของกลุ่ม กับวง “ฟ้าใหม่”
ด้วยใบหน้าที่มักจะยิ้มแย้มแจ่มใส เขากลายมาเป็น “ศิลปินเดี่ยว” ที่โด่งดังในระดับแถวหน้า จากอัลบั้มเพลงที่มีเป็นของตัวเอง และการก้าวเข้ามาในวงการหนัง วงการละคร
อยากบอกว่า “อ๊อด”-สิวะ ดังเป็นพลุแตก แต่เขากลับไม่ “ฉวยโอกาส”นั้น เหมือนกับดาราสมัยนี้ ที่มีผู้จัดการเป็นตัวกำหนด
เพลงประกอบละครเรื่อง “ทองเนื้อเก้า” และ หนังเรื่อง “กว่าจะรู้เดียงสา” กับอัลบั้มเพลงของเขาเอง “สิวะ”
เขาไม่ไขว่คว้า “โอกาสแห่งความดัง”นั้น นั่นคือการเลือกทางเดินที่ความต้องการใน “อิสระของความคิด” ทำให้ ความเป็น “ศิลปิน”เดี่ยว เหนือกว่า สิ่งที่ต้องถูกกำหนดเป็นกฎเกณฑ์และกติกา
เขาเข้าไปผูกพันกับผู้หญิงที่ชื่อ มาช่า วัฒนพานิช ดาราที่ร้อนแรงสุดแห่งยุค...
หลังจากนั้น สิวะ แตรสังข์ เริ่มสนุกกับแสงสี ที่ล่อหลอกให้ลุ่มหลง จนอยากจะบอกเลยว่า “ลืมตัวในหน้าที่ของ ศิลปินที่มีชื่อเสียง”
แล้วนั่นคือความจริงที่ปรากฏ สิ่งที่เคยมี อะไรที่ “เคยได้” กลับสูญหายไป แม้แต่ตัวเขาเอง ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย สุดท้าย มีคนเห็นเขาที่ญี่ปุ่น และส่งข่าวบอกต่อกันว่า เขาไปที่นั่นเพื่อ
ขายตัว..!!
น้อยคนที่จะรู้ว่า “ดาราไทย” เดินทางไปญี่ปุ่นหลายคนมาก โดยเฉพาะคนที่ไป นอกจากจะไม่มีงานชุกเหมือนอย่างเคย มักจะคิดว่า น่าจะเป็น “เส้นทางทำกินได้”
แต่หลายคนที่รู้ จะต้องรู้ว่า ญี่ปุ่น เป็น “แหล่งทำกินของสาวไทย” ที่ไปเปิดร้านอาหาร เป็นแม่บ้าน หรือเป็นคนทำงานเหมือนในประเทศอื่นๆ
การที่ผู้ชาย อาจจะต้องมี “ความเกี่ยวข้องกับผู้หญิง” ไม่ว่าจะเป็นในเมืองไทย หรือในประเทศไหน นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่ใครไปก็ “ต้องได้สัมผัส”
ตอนที่ สิวะ แตรสังข์ หายไปในประเทศนั้น นานจนคนลืม ไม่มีใครนึกถึงเขาอีก นอกจากคนที่ “เคยรักเขา”
เรื่องราวในชีวิตของ สิวะ แตรสังข์ น่าจะเป็นเรื่องที่นำมาสั่งสอนเยาวชนรุ่นใหม่ได้ โดยเฉพาะศิลปิน ไม่ว่า จะเป็นนักร้อง-ดารา
และด้วยการตัดสินใจ เดินในเส้นทางของ “สมณะเพศ” ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กับชีวิตที่เขาเดินผ่านมา อยากบอกเลยว่า เรื่องของเขานั้น น่าศึกษาอย่างยิ่ง
ในยามที่ ผู้สืบทอดศาสนาพุทธหลายราย กำลังทำในสิ่งที่ ชาวพุทธ ต้องการคำตอบ...
และนี่คือคำตอบ “คำต่อคำ” ของอดีตนักร้องหนุ่ม ที่ได้ชื่อว่า วันที่เขาอยู่ในวงการมายานั้น มีความวุ่นวาย ไม่ได้แตกต่างอะไรกับคนในวงการวันนี้
*****************
นมัสการถามคำถามจากท่าน
**อะไรทำให้ท่านเบื่อทางโลก และหันมาทางธรรม เรื่องของงานที่หายากขึ้น หรือเรื่องของสื่อในยุคนั้น
“เริ่มต้นจากปี2554ที่น้ำท่วมหนักที่กทม. ได้ไปหลบน้ำท่วมที่โรงแรมทาวน์อินทาวน์ซึ่งมีเพื่อนอพยพครอบครัวไปพักที่นั่นชั่วคราว ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการร่ำสุราทุกวันและตลอดทั้งวันเป็นเวลาเกือบสองเดือน แต่ก่อนหน้านั้นก็ดื่มหนักติดต่อมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี จนกระทั่งวันหนึ่งมีเพื่อนรุ่นน้องแวะมาหาที่โรงแรมแล้วชวนมาเที่ยวที่ถ้ำวัวแดง 3 วัน มันมีเหตุการณ์หลายๆอย่างจะเรียกว่าประจวบเหมาะหรือมันบีบบังคับก็ไม่ทราบได้ ก่อนหน้านั้นประมาณ 1ปี ได้ไปเฝ้าไข้น้าซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็ง แล้วได้เห็นวงจรของคนที่ป่วยโรคนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้เหมือนกับจะปลงอะไรบางอย่างได้ในระดับหนึ่ง และได้รู้ว่า ”เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายปฏิเสธสารอาหารนั่นคือสัญญาณชีวิตของคนเริ่มอ่อนลงขั้นน่าเป็นห่วง” สังเกตตัวเองมาตลอด6เดือนว่ากินข้าวได้น้อยมาก น้อยขนาดที่ว่าอาหารกล่องไมโครเวฟตามร้านสะดวกซื้อ ผมต้องแบ่งกิน 3 มื้อต่อหนึ่งกล่องจึงจะหมดแล้วทั้งวันก็กินแค่นั้น วันไหนกินข้าวได้หมดจานในหนึ่งมื้อถือว่าสุดยอด ซึ่งมีน้อยมาก กินมากกว่านั้นก็จะอ้วกออกมา ทำให้นึกถึงตอนที่น้าใกล้จะเสียก็เป็นแบบนี้ก็เลยสำนึกว่าระบบภายในเราคงแย่มากๆแล้ว อยากเลิกเหล้าที่กินมาตลอด30กว่าปีแต่ก็ใจไม่แข็งพอเพราะเพื่อนฝูงส่วนใหญ่ก็ดื่มเหล้ากันเยอะ พอน้องมาชวนก็เลยตั้งใจว่าจะมาอดเหล้าสัก3วันแล้วก็จะกลับไปลุยต่อ แต่พอมาถึงที่นี่แล้วมันมีเหตุการณ์ให้อยู่ต่อ ซึ่งจะขอยกไว้เพราะเรื่องมันยาว เอาเป็นว่าตั้งแต่วันที่3พ.ย.2554ถึงตอนนี้ก็ยังอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปไหนเลย ไม่มีปัญหาเรื่องงาน ไม่มีปัญหาชีวิต ไม่ได้อกหัก มีเพียงเรื่องเดียว(ในตอนนั้น)คืออยากงดเหล้าเป็นข้อใหญ่
** ท่านคิดบวชก่อน หรือคิดทันที
หลังจากวันที่ 5 พ.ย.2554 เพื่อนต้องกลับกทม. แต่มีเหตุการณ์บางอย่างทำให้เราตัดสินใจอยู่ปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ จนถึงอีก4เดือนจึงตัดสินใจบวช
** ท่านบวชเมื่อไร กี่พรรษาแล้ว
บวชเมื่อ 24 ก.ค.2555 พรรษาที่ 2
** คิดว่าจะบวชตลอดไปไหม
ณ.วินาทีนี้ยังไม่คิดเรื่องสึก
**ความรู้ทางโลก
-จบแค่ปวช.ช่างไฟฟ้า แล้วมาต่อที่รามฯเหลืออีก90หน่วยจะจบแต่มาเข้าวงการเสียก่อนเลยทิ้งการเรียนทำให้ไม่จบปริญญาตรี ส่วนในทางธรรมจะเน้นปฏิบัติมากกว่าปริยัติเพราะไม่ได้หวังในสมณะศักดิ์ทั้งหลาย ความเห็นส่วนตัวคืออยากเข้าใจในแก่นธรรมะจริงๆมากกว่าเรียนท่องจำ
** ก่อนหน้าที่จะมาบวชนั้น มีผู้บอกว่าท่านไปทำงานที่ญี่ปุ่น ไปตอนปีอะไร และก่อนหน้านั้นนานหรือไม่
-กลับจากญี่ปุ่นประมาณปี2536-2537 หลังจากกลับมาได้2-3ปีก็บวชพระไปแล้ว1ครั้ง(ญาติผู้ใหญ่ชื่อแป๊ด พระประแดงก็ไปนะ) ตอนนั้นก็ยังมีงานแสดงอยู่เลยบวชได้แค่19วันจากที่ตั้งใจไว้ว่า7วันตามสมัยดารานิยม หลังจากสึกก็ออกมาทำธุรกิจส่วนตัวบ้างและรับงานแสดงบ้าง
**ทำอะไรก่อนหน้าจะบวช
กลับจากญี่ปุ่นประมาณปี2536-2537 หลังจากกลับมาได้2-3ปีก็บวชพระไปแล้ว1ครั้ง(ญาติผู้ใหญ่ชื่อแป๊ด พระประแดงก็ไปนะ) ตอนนั้นก็ยังมีงานแสดงอยู่เลยบวชได้แค่19วันจากที่ตั้งใจไว้ว่า7วันตามสมัยดารานิยม หลังจากสึกก็ออกมาทำธุรกิจส่วนตัวบ้างและรับงานแสดงบ้าง
**ความรู้สึกเกี่ยวกับข่าวฉาวพระ
-ตอนแรกรู้สึกสลดใจและอับอาย แต่ตอนนี้รู้สึกสงสารคนพวกนั้นหรือเหล่านั้นมากกว่า เพราะที่ๆพวกเขาจะไปหลังจากละโลกนี้แล้วมันน่ากลัวอย่างสรรหาคำบรรยายมิได้ เรื่องแบบนี้มีมาตั้งแต่สมัยพระพุทธองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่ และมันต้องเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้
**เรื่องของตำแหน่งพระที่ต้องใช้เงินซื้อ
ไม่ขอตอบ แต่รู้สึกสังเวชกับเรื่องพวกนี้และไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้
**เรื่องของศาสนาอื่นที่โจมตีศาสนาพุทธ
โดยส่วนตัวแล้วนับถือศาสดาของทุกศาสนา เพราะท่านเหล่านั้นได้บำเพ็ญเพียรบารมีมากเหลือเกินกว่าจะค้นพบคำสอนมาสั่งสอนสาวก แต่เมื่อศาสนานั้นๆไม่มีศาสดาอยู่ ศาสนานั้นๆก็ย่อมถูกเผยแพร่ออกไปโดยสาวกทั้งหลายซึ่งบางทีอาจถูกบิดเบือนไปเพื่อผลประโยชน์บางอย่างไม่เว้นแม้แต่ศาสนาพุทธ แต่ในท้ายที่สุดความจริงก็จะปรากฏ ในเมื่อเราเองยังถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะสูงสุด จึงไม่แปลกที่เขาจะเทิดทูนศาสดาของเขา แท้จริงแล้วพระพุทธองค์ก็มิได้สั่งให้ยึดติดกับตัวท่าน มิให้เราสร้างรูปเหมือนของท่านหลังจากที่ท่านปรินิพพาน แต่ให้ยึดพระธรรมของท่านเป็นหลักต่างหาก พิธีการทั้งหลายมาบิดเบี้ยวเพราะเราได้ผสมผสานศาสนาพุทธเข้ากับกับความเชื่อดั้งเดิมตั้งแต่พระพุทธศาสนายังไม่เข้ามาในแถบนี้ ผสมผสานกันลงตัวเป็นพุทธแบบไทยๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แต่นั่นก็ยังไม่เลวร้ายเท่ากับการบิดเบือนหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างที่เราเห็นกันอยู่เพราะมีเรื่องลาภสักการะเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งก็มิใช่เรื่องแปลก เพราะมันก็เคยเกิดขึ้นในสมัยของพระพุทธองค์ด้วยซ้ำ พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่ามันจะต้องบังเกิดขึ้น เรื่องบางเรื่องผมถือว่าเป็นอจินไตย รู้ไปก็เท่านั้น ดิ้นรนไปก็เท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับจิตของเรา ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปไม่เว้นแม่แต่ศาสนาของพระองค์ เพราะฉะนั้นเราควรดูที่ตัวเรานั่นแหละจึงจะเป็นการดีที่สุด “ธรรม ได้เท่าที่เราทำ”
( อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่าง คือ พุทธวิสัย –ฌานวิสัย-กรรมวิสัย และโลกวิสัย )
**.รูปที่ถ่ายบนหน้าผา ส่งความหมายถึงอะไร
ภาพที่เห็นนั้นไม่มีอันตรายเลย เป็นเรื่องของมุมกล้องครับและก็ให้เห็นเฉพาะคนที่สนิทมากๆเท่านั้นครับ
**.นอกจากพระพุทธเจ้าแล้วมีใครเป็นไอดอล
ผมบูชาพระอริยะทุกรูป เพราะทุกท่านมีหลักการสอนที่ไม่เหมือนกันซึ่งเราสามารถเก็บเกี่ยวเอาความรู้จากทุกๆองค์ได้ตามจริตของเรา แต่ถ้าจะให้พูดถึงองค์หนึ่งก็คือ “พระอุตตมะมหาเถระ”หรือ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” หนึ่งในห้าพระอรหันต์ผู้ที่นำศาสนาพุทธมาเผยแผ่ที่ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นคณะแรก ตั้งแต่พ.ศ.235(สองร้อยสามสิบห้า) ก่อนที่จะมีประเทศไทยเสียอีก
**.สมาธิ- จงกรม- ธุดงค์ ท่านเลือกปฏิบัติอย่างไร
-ผมเพิ่งพรรษาที่2 ยังบอกไม่ได้ว่าอะไรเป็นที่สุด หนทางที่จะเดินยังอีกยาวไกลครับ แต่ก็จะปฏิบัติไปเรื่อยๆจนกว่าจะพบจริตของตัวเอง
**.หลักที่ใช้สอนฆราวาส
พยายามนึกถึงตอนที่ตัวเองยังไม่ได้บวชว่าตอนนั้นเราคิดอย่างไร แล้วอธิบายสิ่งที่เรารู้ ณตอนนี้อย่างง่ายๆตามหลักความน่าจะเป็น ผสานกับการอ้างอิงพระไตรปิฎกที่ได้อ่านมาเป็นหลัก บางทีก็มีกระทู้ธรรมะจากครูบาอาจารย์พระอริยะที่จำได้มาเสริมครับ
**.อีกข้อที่ข้ามมา(ได้ยังไง) เรื่องสีกา
-ไม่มี”ห่วง”ใดๆทั้งสิ้น ลูก เมีย สีกา ไม่มีเลยครับ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นใจเสียเหลือเกิน
....จริงๆแล้วรายละเอียดสนุกๆมีเยอะมาก ทั้งก่อนบวชและตอนบวชแล้วแต่มันพิมพ์ไม่ไหว พี่ทั้งสองสนใจจะทำพ็อคเกตบุคหรือเปล่าหนอ?????....555555
และนี่คือคำตอบ “คำต่อคำ” ของอดีตนักร้องหนุ่ม ที่ได้ชื่อว่า วันที่เขาอยู่ในวงการมายานั้น มีความวุ่นวาย ไม่ได้แตกต่างอะไรกับคนในวงการวันนี้
เป็นคำตอบซึ่งแม้แต่ พระหนุ่มรูปงามที่มีสมญานามว่า “อาวุธปัญโญ” จากสำนักสงฆ์ ถ้ำวัวแดง จ. ชัยภูมิ ก็ไม่แนใจด้วยซ้ำในเส้นทางเดินสายนี้
ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า
(ใช้ภาพที่นั่งหน้าผา เป็นภาพหลัก และภาพเมือ่สมัยแสดง กับตอนสอนเด็กเป็นภาพรอง สีแดง จะตัดออกเมื่อจัดอาร์ตแน่นเกินไป)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี