วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ภูมิใจนำเสนอ “Joker: Folie À Deux - โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ อา เดอ” ภาพยนตร์ภาคต่อที่ทุกคนตั้งตารอกับวาคีน ฟีนิกซ์กลับมาสวมบทบาทอันน่าทึ่งอีกครั้งในบท "โจ๊กเกอร์" ที่เปลี่ยนโลกภาพยนตร์ไปตลอดกาล พร้อมควงคู่กับนักแสดงระดับโลก เลดี้ กาก้าในบท "ฮาร์ลีย์ ควินน์" คนรักและคู่หูที่เติมเต็มความบ้าคลั่งผลงานจากผู้เขียนบทฯ / ผู้กำกับฯ / ผู้อำนวยการสร้างฯ โดย ทอดด์ ฟิลลิปส์

“Joker: Folie À Deux- โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ อา เดอ” สานต่อความเข้มข้นจากภาคแรก แต่เพิ่มความซับซ้อนและมิติใหม่ด้วยองค์ประกอบดนตรีและการเต้นเข้ากับความบ้าคลั่งในแบบฉบับของโจ๊กเกอร์ผสมผสานกับการเดินทางสู่ความมืดมนของจิตใจที่เต็มไปด้วยความโกลาหล เผยให้เห็นถึงเคมีที่น่าจับตาระหว่างสองนักแสดงนำ และฉากอันน่าตื่นเต้นที่จะพาผู้ชมลงลึกสู่โลกที่คาดเดาไม่ได้โดย ทอดด์ ฟิลลิปส์ เผยว่า

คำถาม:หนังภาคนี้ช่วยเสริมเรื่องราวจาก Joker ภาคแรกอย่างไร

ท็อดด์ ฟิลลิปส์:คำตอบที่ง่ายที่สุดก็คือมันเป็นเรื่องราวที่ดำเนินต่อเนื่องมาโดยตรงครับ ภาคนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรกผ่านไปแล้วสองปี เป็นช่วงที่อาร์เธอร์กำลังรับผลจากอาชญากรรมที่เขาก่อขึ้น 

คำถาม:คุณกับสก็อตต์ซิลเวอร์สร้างโลกที่หม่นมืดให้อาร์เธอร์ในหนังเรื่องนี้ คุณค้นหาด้านสว่างได้อย่างไร

ท็อดด์ ฟิลลิปส์: สำหรับผม อาร์เธอร์มีด้านสว่างอยู่ในตัวมาตลอดนะครับ เขาเหมือนดอกแดนดิไลออนที่ชูช่อขึ้นมาผ่านรอยแตกบนทางเท้า แต่ปัญหาคือไม่มีใครเห็นแสงสว่างนั้นเลย ใน ‘Folie à Deux’ เราชอบที่ได้สำรวจว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีใครสักคนเห็นแสงนั้นขึ้นมาจริงๆ มันจะปลุกตัวตนของอาร์เธอร์ในแบบไหนขึ้นมา 

คำถาม:องค์ประกอบไหนในเรื่องนี้ที่คุณตื่นเต้นมากที่สุดสำหรับการกลับไปยังโลกของอาร์เธอร์

ท็อดด์ ฟิลลิปส์: ผมกับวาคีนรักอาร์เธอร์ตั้งแต่วันแรกที่เราถ่ายทำหนังภาคแรกเลยครับ ปกติแล้วพอถ่ายทำเสร็จ เรามักจะโล่งใจที่ถ่ายจบซักที บางครั้งเราอาจนับวันเลยว่าเมื่อไหร่มันจะจบ แต่ตอนทำภาคแรก เราไม่อยากให้มันจบเลยครับ ถ้าทำได้ ผมกับวาคีนคงอยากถ่ายทำต่ออีกสักสามเดือน ตัวละครอย่างอาร์เธอร์มีสิ่งใหม่ๆ ให้เราได้สำรวจอยู่ตลอด ดังนั้นสำหรับคำถามนี้คงต้องตอบว่าทุกอย่างเลยครับ เราตื่นเต้นไปกับทุกองค์ประกอบที่นำเรากลับมายังโลกของอาร์เธอร์

คำถาม:คุณทำงานร่วมกับวาคีนเป็นครั้งที่สองแล้ว คุณจะบรรยายถึงการทำงานนี้อย่างไร

ท็อดด์ ฟิลลิปส์: การทำงานร่วมกันระหว่างผมกับวาคีนมีพื้นฐานอยู่บนการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดครับ เราเริ่มคุยกันนานหลายเดือนก่อนการถ่ายทำ และก็ยังคุยกันต่อไปจนกระทั่งเราทำงานโพสต์โพรดักชันจนจบ ผู้กำกับทุกคนต้องทำงานร่วมกับนักแสดงหลักอยู่แล้ว หรืออย่างน้อยผู้กำกับที่ดีก็ควรทำอย่างนั้น แต่การทำงานร่วมกันระหว่างผมกับวาคีนก้าวข้ามจุดนั้นไปอีกระดับเลย 

คำถาม:ความสัมพันธ์ระหว่างอาร์เธอร์กับโจ๊กเกอร์ในหนังเรื่องนี้เป็นอย่างไรและมันได้พัฒนาไปจากภาคแรกอย่างไร

ท็อดด์ ฟิลลิปส์: ความสัมพันธ์ระหว่างอาร์เธอร์กับโจ๊กเกอร์ใกล้เคียงกับในภาคแรกครับมันเปราะบางแปรปรวนอยู่ตลอดเราไม่แน่ใจว่าโจ๊กเกอร์เป็นตัวแทนของอาร์เธอร์ตอนที่เขาถอดหน้ากากออกหรือตอนที่เขาใส่หน้ากากเข้าไปกันแน่ หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือโจ๊กเกอร์เป็นแค่ร่างเงาของอาร์เธอร์ หรือว่าจะเป็นในทางกลับกัน

คำถาม:เลดี้กาก้ากับการรับบทบาทเป็นลีเป็นอย่างไรบ้าง

ท็อดด์ ฟิลลิปส์: กาก้าเป็นเหมือนแสงอาทิตย์สำหรับผมมาตลอด เธอคล้ายมีเวทมนตร์อยู่ในตัว และนอกจากข้อเท็จจริงที่เห็นกันอยู่แล้วว่าเธอ “นำพาเสียงดนตรีมาด้วย” เธอยังได้นำเอาความเปราะบางมามอบให้ตัวละครลีและผมว่านั่นคือกุญแจสำคัญ เธอต้องดูเป็นตัวละครที่เปิดกว้าง เข้าอกเข้าใจ และเจ็บปวดบอบช้ำเช่นเดียวกับอาร์เธอร์

คำถาม:หัวหน้าฝ่ายต่างๆ ในเรื่องนี้เรียกว่าเป็นดรีมทีมได้เลย ทั้งลอว์เรนซ์เชอร์, มาร์ค ฟรีดเบิร์ก,แอเรียนน์ ฟิลลิปส์, เจฟฟ์ กรอธ, นิกกี เลเดอร์แมนน์, เคย์ จีออร์จิโอและสตีฟ มอร์โรว์ คุณช่วยพูดถึงการทำงานกับมืออาชีพผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้เพื่อทำให้วิสัยทัศน์ของคุณเป็นจริงได้ไหมครับ

ท็อดด์ ฟิลลิปส์: ผมว่าไม่มีอะไรเหมือนการทำหนังครับ มันคือการประสานงานกันในโครงการใหญ่ยักษ์อย่างแท้จริง สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการทำหนังมานานๆ ก็คือเราจะได้สร้างความสัมพันธ์กับคนเก่งๆ ในแต่ละสาขาและได้ทำงานร่วมกับพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมรู้สึกเป็นเกียรติในทุกๆ วันที่ไปทำงาน เพราะ “งาน” ของผมนั้นที่จริงแล้วคือการไปสังสรรค์กับบรรดาเพื่อนๆ ที่มีความสามารถและสร้างสรรค์ผลงานบางอย่างขึ้นมาด้วยกัน

คำถาม:ทำไมการทำหนังเพื่อการรับชมในโรงภาพยนตร์จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคุณ

ท็อดด์ ฟิลลิปส์: ภาพยนตร์มีจุดมุ่งหมายเพื่อการสร้างโลกที่ยิ่งใหญ่ตระการตา และเราควรจะได้รับชมมันผ่านหน้าจอที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จากเครื่องฉายและระบบเสียงที่มีคุณภาพระดับสูงสุดด้วย มันควรเป็นอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่าหนังจะไม่ “เวิร์ค” เมื่อฉายผ่านสตรีมมิง เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ทำงานตรงตามความตั้งใจแรกของผู้สร้างหนัง เพราะเวลาทำหนัง เรามักจะจินตนาการเสมอว่ามันฉายอยู่ในโรงหนังที่ (หวังว่า) เต็มไปด้วยผู้คน ปฏิกิริยาร่วมกันของกลุ่มคนดูคือ “ส่วนหนึ่ง” ของหนัง มันเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ซึ่งคุณไม่สามารถหาได้จากที่บ้าน ไม่ว่าจอทีวีของคุณจะดีแค่ไหนก็ตาม และนี่ยังไม่พูดถึงการบีบอัดไฟล์ที่ใช้กันในบริการสตรีมมิงเลยนะ