คุณรู้จักตัวเองดีแค่ไหน On the way with Chom สัปดาห์นี้จะพาไปพบกับ นี ชาลิสา ผู้ให้คำปรึกษาด้านโหราศาสตร์จิตวิทยาเชิงลึกและพลังงานบำบัด จะมาถอดรหัสดวงดาวเปิดประตู สู่การค้นพบและเข้าใจตัวเองในมุมที่ลึก ขึ้นเพื่อชีวิตที่สมดุลทั้งกายและใจ
จุดเริ่มต้นกับสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เกี่ยวกับอะไร ?
นี ชาลิสา : ต้องเท้าความก่อนว่างานประจำเป็นการสร้างคอมมูนิตี้ก็คือเป็นดูแลในส่วนของ Wellness ของ Wonderfruit แต่ว่าที่เป็นงานส่วนตัวเป็นงานส่วนตัวที่เราช่วยให้คนให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น เหมือนเป็นที่ปรึกษาด้านตัวตน โดยการที่นี้ก็ใช้หลายศาสตร์ แต่ครั้งนี้จะมาคุยกันในเรื่องของโหราศาสตร์ ซึ่งโหราศาสตร์ก็คือเป็นการศึกษาการโคจรของดวงดาว แล้วก็เป็นโหราศาสตร์ทางตะวันตก ซึ่งโหราศาสตร์นี้ได้เอามาผนวกกับการที่ให้เข้าใจในเรื่องของตำแหน่งของดวงดาวเพื่อสอดคล้องกับบุคลิกภาพ ตัวตนของคนนั้นนิสัยใจคอหรือแม้แต่พลังงานข้างใน ศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ ข้างในหรือแม้แต่ข้อดีข้อเสียที่เขามีข้างในว่าจริง ๆ แล้วมีอะไรอยู่ข้างในซ่อนอยู่ แล้วสามารถที่จะใช้พลังงานพวกนี้ให้มันเกิดสิ่งที่ดีที่สุดกับเขาได้อย่างไรบ้าง
โหราศาสตร์ซับซ้อนไหม ?
นี ชาลิสา : จริง ๆ แล้วมันมีความเป็นซับซ้อนอยู่นิดหนึ่งเหมือนกัน แต่ด้วยความที่แต่ละคนไม่มีใครเหมือนกัน เกิดมาก็คือจะมีพลังงานของตัวเองอยู่แล้ว พลังงานเหล่านั้นก็จะบ่งบอกได้ว่าแต่ละคนนิสัยยังไงในรูปแบบไหน สมมุติว่าเราเกิดมาเรา มีวันเดือนปีเกิด เวลาทางโหราศาสตร์ที่เป็นโหราศาสตร์ตะวันตก เรามองว่า วินาทีที่เราเกิดดวงดาวข้างบนวางตำแหน่งแบบไหนแล้วตำแหน่งนั้นมีผลอย่างไรกับเรา มีผลกับนิสัยใจคอ มีผลกับอนาคต หรือแม้แต่การใช้ชีวิตของคน ๆ นั้นที่ดำเนินมาที่มาอยู่บนโลกใบนี้ เรามองว่าถ้าเกิดสมมุติมนุษย์จิตของเราเป็นพลังงานในตัวของเรา เข้าใจกันว่าถ้าเราเกิดมิถุนายน เราจะต้องเป็นแคนเซอร์หรือไม่ก็อาจจะเป็นเจมีไนน์ แง่ของโหราศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นไทยฮินดูหรือว่าจีน สากลก็จะมีการคำนวณที่แตกต่างกัน แต่ว่าในแง่ของการที่เราเอามาใช้อิงกับหลักจิตวิทยาจะเป็นโหราศาสตร์ที่เป็นสากล ฉะนั้นตรงคือเราจะมองว่าถ้าเกิดสมมุติว่าเราเกิดราศีกรกฎ เราไม่ใช่มีแค่ดาวอาทิตย์อยู่ในนั้นดาวเดียว แต่ถ้าเกิดเราเข้ามาดูชาร์จที่เราเรียกว่า nature chart มันจะเป็นการที่เราเห็นพื้นของดวงดาวทั้งหมด ตอนที่วินาทีที่เราเกิดมันเป็นเหมือนกับเป็น snapshot จะเป็นธาตุ คือจริง ๆ ธาตุทั้งหมดที่หล่อหลอมเป็นพวกเราขึ้นมา ถ้าเกิดสมมุติว่าเราเข้าใจตัวเองแบบนี้ เหมือนอัตราตัวตนของเรามันจะแยกส่วนออกจากความเข้าใจว่าเราเป็นแบบนี้นะ ถ้าเกิดสมมุติเราเป็นคนขี้โมโห ทำไมเราเป็นคนขี้โมโหแบบนี้ แต่ถ้าเกิดสมมุติเราเข้าใจดาวเราจะมองเห็นว่าจริง ๆ แล้วที่มาของอารมณ์โมโหมันมาจากที่ไหน
หมายความว่าดวงดาวแต่ละดวงอาจจะมีผลต่อเรา ?
นี ชาลิสา : ใช่ มันเป็นพลังงานที่เชื่อมโยงกันเหมือนกับเราและดวงดาวความจริงแล้วเป็นหนึ่งเดียวกัน
คนที่อยากจะทำแบบนี้ต้องมีปัญหาหรือว่าต้องมีข้อสงสัย มีปมอะไรหรือเปล่าหรือว่าเป็นใครก็ได้ มีข้อจำกัดไหม ?
คุณนี ชาลิสา : การที่เรามาที่นี่เหมือนกับมีวัตถุประสงค์บางอย่างของการที่เรามาเกิด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เราได้รู้จักตัวเอง การรู้จักตัวเองกับการรู้จักเกี่ยวกับตัวเองไม่เหมือนกัน การรู้จักตัวเอง คือ การที่เรารู้จักตัวเองจริง ๆ โดยที่ไม่ได้มีองค์ประกอบอะไรคือการที่เราเข้าไปแล้วสามารถที่จะมีความสุขได้ด้วยตัวเอง เข้าใจแก่นแท้ในตัวเอง แต่การที่เรารู้จักเกี่ยวกับตัวเอง คือ สิ่งที่คนส่วนใหญ่พวกเราทุกคนรู้จักกันแบบนี้ เช่น เรารู้จักเกี่ยวกับตัวเองว่าเราทำอาชีพอะไร ชื่ออะไร พ่อแม่ชื่ออะไร มีสัตว์เลี้ยงชื่ออะไร ครอบครัวเป็นยังไง แต่ว่าการที่เราใช้คำว่า self-discovery มันคือการที่เราเข้ามาค้นพบตัวเองจริง ๆ ว่าเรามีแก่นอะไรอยู่ข้างใน แล้วหลังจากนั้นเป็นสิ่งที่ต่อยอดไปเป็นในเรื่องของพรสวรรค์ในเรื่องของทิศทางในการใช้ชีวิต เส้นทางที่จะเลือกเดิน อาชีพที่อยากจะทำหรือแม้แต่การเรียน เหมือนกับในแต่ละช่วงชีวิตจะมีจุดเปลี่ยนบางอย่างแล้วจุดเปลี่ยนนั้นเป็นจุดที่บางครั้งเกิดให้ตั้งคำถามขึ้นมาว่า เราเกิดมาที่นี่มันคืออะไร มาเพื่ออะไร ซึ่งลึก ๆ บางคนก็รู้อยู่แล้ว บางคนก็อาจจะไม่รู้
ฉะนั้นมองว่าคนที่จะจุดประกายให้เขาเริ่มเข้าใจตัวเองหรือเริ่มสนใจที่อยากจะเข้าใจตัวเองจะต้องมีจุดเปลี่ยนบางอย่างนิดเดียวก็ได้ว่า ทำไมชีวิตเราถึงเป็นแบบนี้นะ ทำไมสิ่งที่ได้ค้นพบหรือได้เจอหรือตลอดเส้นทางเริ่มมีการหักเห ทำไมเราเริ่มไม่มีความสุข จริง ๆ แล้วมันอยู่ที่ความสุขเป็นหลัก ความสุขและความสมดุล เชื่อว่าในเรื่องของพลังงานทุกวันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่องพลังงานเยอะมาก ถ้าเกิดเริ่มสังเกตจะเห็นเลยว่าหลัง ๆ ช่วงเวลาสัก 5-6 ปีที่ผ่านมา จะได้ยินคำว่า self เยอะมาก ในโลกของ wellness ในโลกของการเข้าใจตัวเอง ก็จะมีทั้ง self-love self-care self-discovery การกลับมารักตัวเอง กลับมาเข้าใจตัวเอง ดูแลตัวเอง รู้จักตัวเอง การรู้จักตัวเองแบบนี้คือการที่เชื่อว่าทุกคนตอนนี้เริ่มรู้แล้วว่าตัวตนเราสำคัญที่สุด เราไม่ได้พึ่งพาองค์ประกอบนอกตลอดเวลา ตราบใดที่เรายังไม่ได้รู้จักตัวเอง จะทำให้ชีวิตของเรามีพลังงานที่ส่งออกนอก พอเราส่งออกนอกก็ไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ที่เป็นรอบนอกได้ พอมันมีอะไรเกิดขึ้นข้างในเราก็รวน เพราะว่าเกิดกระทบทุกอย่างเข้ามา ถ้าเกิดข้างในเราแน่นแกร่งแล้วก็จะทำให้ผ่านพ้นช่วงต่าง ๆ ในเหตุการณ์ในชีวิตไปได้ ก็เหมือนกับการรักตัวเอง การดูแลตัวเองที่ทุกคนลุกขึ้นมาออกกำลังอยากที่จะเข้าใจตัวเองมากขึ้น สุขภาพที่แข็งแรงก็เกิดจากตัวเรา
คนที่เข้ามาส่วนใหญ่เข้ามาเพราะเรื่องอะไร ?
นี ชาลิสา : ส่วนใหญ่จะมีจุดเปลี่ยน จะมีคำถามกับตัวเองว่า เดินทางเส้นทางมาสักพักทำไมมันเหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างกับจิตของเขาเองความรู้สึกข้างในที่ลึกที่สุดเริ่มมีคำถาม อย่างที่บอกพอมีคำถามแล้วบางครั้งก็อาจจะอยากได้ตัวช่วย อยากได้คนที่สามารถปรึกษาได้ เช่น ปัญหาเรื่องการงาน ปัญหาหากับครอบครัว หรือแม้แต่บางครั้งที่ตื่นมาแล้วฉันมาทำอะไรที่นี่ ถ้าเราตัดทุกอย่างออกหมดไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่รู้เกี่ยวกับตัวเองทั้งหมด เรามีความสุขได้ด้วยตัวเองด้วยอะไรบ้าง Self-discovery เป็นการที่ให้เราค้นพบตัวเองก่อน พอค้นพบเสร็จ หลังจากนั้นจะเข้าใจตัวเองได้ยังไงเหมือนเป็นเส้นทาง เป็นการปัดทุกอย่างออกเพื่อให้เส้นทาง เหมือนเราค้นพบตัวเองแล้ว เราก็จะค่อย ๆ เดินทางเส้นทางนั้น เพื่อให้เข้าใจตัวเอง
ยกตัวอย่างว่าเราค้นพบอะไร แยกออกมายังไง ?
นี ชาลิสา : โหราศาสตร์ที่ทำให้เราได้ค้นพบตัวเอง มีวิธีการที่เราจะนำมาจำแนกกันได้ โหรศาสตร์มีหลายแบบจะเป็นการแบ่ง 12 ช่องตามหลักของโหราศาสตร์สากล 12 ช่อง ถ้าเกิดสมมติเราเจาะลึกจะมีความหมายใน 12 ห้องนี้ด้วย จะดูตำแหน่งของดาวจะดูว่าดาวแต่ละดวงเขาอยู่ในห้องไหนในช่วงเวลาที่คน ๆ นั้นเกิด เช่น ห้อง 1 เป็นเกี่ยวกับตัวตนของเรา เป็นนิสัยบุคลิกในแง่ของตัวตน ห้องที่ 2 เป็นในเรื่องของการเงิน เรื่องของสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็นเจ้าของ ห้องที่ 3 เป็นในเรื่องของการสื่อสาร เรื่องของการเดินทาง ห้องที่ 4 คือเรื่องของครอบครัว เป็นความหมายที่เบื้องต้นที่สุด ถ้าเราจะมองในแง่ของที่ลงไปในลึกลงไปในระดับจิตวิญญาณ ความหมายก็จะต่างกันออกไป เช่น ห้องที่ 4 อาจจะหมายถึงจุดที่มันแบบลึกที่สุดข้างในของเรา จิตวิญญาณข้างในที่มันกับจุดเบื้องลึกของเราคืออะไร
สมมติว่าเราได้วัน เดือน ปีเกิด กับเวลาตกฟาก แต่ว่าการตีความที่ช่วยให้เข้าใจก็ตีความได้ทั้งผิวเผินหรือว่าลึกขึ้น อาจต้องเจาะลึกผ่าน therapy หรืออะไรต่างๆ ?
คุณนี ชาลิสา : ใช่ ผ่าน therapy ก็ได้ ผ่านดาวเองก็ได้หมดเลย เราสามารถนำหลาย ๆ ศาสตร์มารวมกัน เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่ามีพลังงานแบบไหน ขึ้นอยู่กับเราว่าอยากที่จะบำบัดตัวเองในรูปแบบไหน
เราฝืนลิขิตฟ้าหรือพลังของดวงดาวได้ไหม ?
นี ชาลิสา : ดาวก็คือเรา และเราก็คือดาว เพราะฉะนั้นถ้าเราบอกว่าเราฝืนดวงดาว มันก็เท่ากับว่าเรากำลังฝืนธรรมชาติในตัวเอง ถ้าเราเข้าใจว่าดาวคือธรรมชาติของเรา เราจะไม่มองว่าดาวเป็นแค่วัตถุลอยอยู่บนฟ้าแบบไร้จุดหมาย แต่ดาวคือพลังงานอย่างหนึ่งที่สะท้อนธรรมชาติของตัวเราเอง
ประสบการณ์คนที่มาหามักเป็นแบบไหน ?
นี ชาลิสา : ส่วนใหญ่เขาจะมีคำถามบางอย่างในใจมาก่อน บางคนรู้สึกว่าตัวเองมีนิสัยบางอย่างที่ไม่เข้าใจ เช่น ความกลัว ขาดความมั่นใจ หรือไม่กล้าปฏิเสธใครเลย ทั้งที่จริง ๆ แล้วก็รู้สึกอึดอัดแต่พูดออกมาไม่ได้ แล้วเขาจะค่อย ๆ เล่า ค่อย ๆ ทบทวนไปพร้อมกัน การดูดาวในแบบของนีไม่ใช่การนั่งทำนายแล้วให้คนฟังเฉย ๆ ไม่ใช่ว่าถามว่าแม่นไหม แต่คือการนั่งคุยกัน เปิดพื้นที่ให้คน ๆ นั้นได้ค้นเจอตัวเองผ่านดวงดาวของเขาเอง เราแค่บอกเขา ลองแนะนำให้เขาไปทำในสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันเหมาะกับเขา ปรากฏว่ามันได้ผลมาก ๆ แล้วเขาก็พร้อมที่จะแสดงออกในการสื่อสารออกไป
เคยมีฟีดแบคไหมว่า โหราศาสตร์ ก็เหมือนเรื่องของการมู การดูดวง ?
นี ชาลิสา : ต้องบอกก่อนว่าบ้านเราให้คำว่ามู แต่ละคนก็ตีความแตกต่างกันออกไป เวลาพูดถึง มูเตลู จะเน้นในสิ่งที่เราเชื่อ เรามองไม่เห็น แต่สิ่งที่นำมาแชร์ในวันนี้ มันคือโหราศาสตร์ที่อิงกับความเข้าใจตัวเองในแง่ของบุคลิกภาพที่มีจิตวิทยาผสมด้วย มองว่าจะมูหรือไม่มูขึ้นอยู่กับเราว่าจะมองยังไง เชื่อแบบไหน และจะปฏิบัติตัวเองผ่านศาสตร์เหล่านั้นยังไงมากกว่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี