ผู้กำกับฝีมือดีที่คลุกคลีอยู่ในวงการทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังภาพยนตร์และละครมากว่า 20 ปี โดยมีผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกอย่าง “ขุนกระบี่ ผีระบาด” (2547) หนังไทยซอมบี้ในตำนานที่ถือเป็นการร่วมงานกับ “สหมงคลฟิล์มฯ” เป็นครั้งแรกด้วย
ตามมาด้วยหนังตลกวัยรุ่นแหวกแนวกับส่วนผสมอันหลากหลาย ทั้งไซไฟ แอนิเมชัน ทะลึ่งทะเล้น และมนุษย์พันธุ์ประหลาดอย่าง “อสุจ๊าก” (2550) และหนังฟีลกู๊ดสู่วิถีแห่งความยิ่งใหญ่เพื่อช่วงชิงการเป็นแก๊งอนุบาลอันดับหนึ่งเรื่อง “อนุบาลเด็กโข่ง” (2552)
หลังจากนั้น ทวีวัฒน์เริ่มมาจับงานหนังแนวสยองขวัญจริงจังอย่าง “ทองสุก 13” (2556) ที่ทำรายได้ไปราว 37 ล้านบาท ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากในยุคนั้น ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าสู่แวดวงละครโทรทัศน์และมีผลงานจอแก้วเรื่องดังหลากหลายแนว อาทิ สายลับรักป่วน, พ่อครัวหัวป่าก์, นางนาคพระโขนง ฯลฯ และถึงจุดพีกสุดขีดในชีวิตการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เมื่อหนังสยองเรื่องดังอย่าง “ธี่หยด” (2566) และ “ธี่หยด 2” (2567) ออกฉายกวาดรายได้ถล่มทลายรวมกว่า 1,200 ล้านบาท
นอกจากผลงานการกำกับ ยังมีผลงานที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงรับเชิญ, กรรมการตัดสินเทศกาลภาพยนตร์ตลกโลก 2009, กรรมการฝ่ายวิชาการสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย (2553-2555) ฯลฯ
ปี 2567 เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “บริษัท 13 สตูดิโอ จำกัด” เพื่อผลิตภาพยนตร์แนวระทึกขวัญและสยองขวัญออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยจะประเดิมเรื่องแรกด้วยหนังผีวัยรุ่น “ATTACK วิญญาณเลขที่ 13” (2568)
ล่าสุด “เจ้าพ่อหนังสยองขวัญ” ที่น่าจับตามองที่สุดแห่งยุคนี้ได้กลับมาร่วมงานกับ “สหมงคลฟิล์มฯ” อีกครั้งกับภาพยนตร์สยองท่าใหม่เรื่อง “ท่าแร่” (2568) ที่จะเล่าเรื่องราวแห่งความเชื่อและความศรัทธา ณ ดินแดนชาวคริสต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในถิ่นอีสานของไทย
จุดเริ่มต้นโปรเจกต์นี้
เรื่องนี้ก็เป็นผลพวงมาจากการทำหนังเรื่อง “ธี่หยด 1-2” ครับ ตอนนี้เลยเป็นผู้กำกับหนังแนวสยองขวัญไปแล้ว ก็ได้รับการทาบทามจากหลายค่ายหลายฝ่ายที่จะให้ไปร่วมทำโปรเจกต์อื่นๆ จนกระทั่ง “คุณโอ๋” (จาตุศม เตชะรัตนประเสริฐ - โปรดิวเซอร์) จาก “สหมงคลฟิล์มฯ” ติดต่อมา แล้วก็ส่งเรื่องราวมาให้อ่านแบบไม่ต้องเกริ่นอะไรละ พออ่านจบผมว้าวเลย เพราะเป็นหนังที่เราอยากทำมาก เป็นโปรเจกต์ที่น่าสนใจ ตอนนั้นเปิดบริษัทของตัวเองแล้ว และมีโปรเจกต์หนังสยองขวัญรออยู่อีกหลายเรื่องเลย แต่เรื่อง “ท่าแร่” นี้มันพุ่งแซงทุกเรื่องขึ้นมาเลย พอได้อ่านบท อ่านพล็อตเรื่องแล้วเรารู้สึกตื่นเต้น เรื่องราวมันใหม่มากสำหรับเรา และคิดว่าในบรรดาหนังสยองขวัญในไทยน่าจะยังไม่มีแนวนี้ แล้วผมก็ถูกขู่มาด้วยว่าหลังจาก “ธี่หยด” ถ้าทำอะไรแล้วออกมาไม่ดีไม่ได้ละนะ ก็พอดีเลยกับเรื่อง “ท่าแร่” ที่ผมชอบพล็อตมาก แล้วได้คนท้องถิ่นจากจังหวัดสกลนครมาเขียนบทเอง ในการรีเซิร์ชข้อมูลไม่ได้เมกแน่ จนได้มาอ่านบทเราก็เห็นความเป็นไปได้หลายแบบมาก และหนังมันไปได้ไกลมาก รู้สึกว่ามันต้องทำแล้วครับเรื่องนี้ ไม่ทำไม่ได้เลย
อะไรในบทที่มันโดนใจ
บทมันเล่าเรื่องของบาทหลวงคริสตจักรที่มาปราบผี ซึ่งมันเป็นคัลเจอร์ที่เรารู้จักกันจากหนังฝรั่ง ซึ่งผมก็ชอบแนว “Exorcist” อยู่แล้ว แต่เรื่องนี้มันมาอยู่ในบริบทของไทย ซึ่งพอเราเข้าไปลองศึกษาดูแล้วเราก็ว้าวจริงๆ เพราะคนที่จะมารับหน้าที่ในการปราบปีศาจได้จะต้องถูกแต่งตั้งจากสำนักวาติกัน ซึ่งในประเทศไทยก็มีตำแหน่งนี้ แล้วก็มีเพียงไม่กี่คน ซึ่งเราไม่เคยรู้ เฮ้ย..มันมีอย่างนี้จริงๆ เหรอ คนทั่วไปอาจจะมองว่าเป็นเรื่องงมงาย มันจะมีได้ไง ยิ่งโดยเฉพาะในไทย แต่มันมีตำแหน่งนี้จริงๆ ซึ่งเราก็ต้องคิดต่อว่าแล้วมันจะไปต่อยังไงกับความเป็นหนังไทย ซึ่งในเรื่อง “ท่าแร่” มันไม่ได้มีแค่ความเชื่อเดียว มันมีเรื่องของสองความเชื่อเข้ามาคอลแลบกันเพื่อปราบปีศาจร้าย เรารู้สึกว่ามันแจ๋ว สิ่งที่คิดคือคงปราบผีไทยแหละแล้วมีหมอผีแขก หมอผีฮินดู แต่ไม่ใช่ มันแอดวานซ์มากกว่านั้นครับ มันมี “หมอเหยา” ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน หมอเหยาคือหมอที่เรียกขวัญ หมอที่ปราบโรคปราบสิ่งชั่วร้ายที่มารังควานชาวบ้าน หมอเหยาเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่เขานับถือผีปู่ย่า อันนี้คือแปลกและใหม่เลย เพราะว่าแค่เรื่องหมอเหยาก็สนุกแล้ว จนมาเจอบาทหลวงที่ถูกแต่งตั้งจากสำนักวาติกันให้มาปราบวิญญาณชั่วร้ายด้วย มันน่าทำ มันน่าสนุกเลย
ทุกคนคาดหวังหนังสยองสไตล์พี่คุ้ย ส่วนตัวเพิ่มเติมอะไรลงไปในบทเรื่องนี้บ้าง
เท่าที่รู้บทผ่านการพัฒนามาเกือบ 2 ปี มันถูกรีเซิร์ชมาหลายร่างจนผมได้มาอ่านร่างหนึ่ง จริงๆ แล้วผมก็ต้องศึกษาพวกเทรนด์หนังสยองขวัญตลอดทั้งไทยและเทศว่าบีตตอนนี้มันเป็นยังไง คนมันต้องการจังหวะไหน หรืออะไรที่เป็นความแปลกใหม่ เทรนด์ตอนนี้มันอยากได้หนังสยองขวัญแนวไหน เพราะว่าถ้าเราทำหนังแบบเดิม คนดูก็อาจจะรู้สึกว่าเคยดูแล้ว เราก็เลยต้องศึกษาว่าตอนนี้เทรนด์มันเป็นยังไง บีตในเรื่องเป็นยังไง ก็เลยต้องมีการปรับเรื่องให้มันกระชับขึ้น เพิ่มความดุเดือดเลือดพล่านมากขึ้น เพราะว่าจริงๆ หนังสยองขวัญมันเป็นกิจกรรมกลุ่มนะครับ ถ้าเรามาดูหนังสยองขวัญมันต้องกระตุ้นต่อมเราตลอด เราอยู่ในยุคของ Social ที่ทุกคนมีความรีบ ดู TikTok ดูแล้วอารมณ์ร้อน ทุกคนอยากจะดูอะไรที่มันสั้นๆ อยากดูอะไรที่มันฮุกเลย แล้วเดินเรื่องราวน็อนสต็อปทั้งเรื่อง นอกจากนี้ก็ศึกษารีเซิร์ชเรื่องราวในหนังเพิ่มเติมครับว่าหมอเหยาและบาทหลวงเขามีหน้าที่อะไรยังไง ต้องทำอะไรบ้าง ทุกคนน่าจะคาดหวังกันเยอะ คิดว่ามันจะต้องเป็นเหมือน “ธี่หยด” แต่จริงๆ มันเป็นอีกฌอง (Genre) เป็นอีกสไตล์หนึ่งเลยครับ มันเป็นหนังสยองขวัญจริงจังแต่มีคัลเจอร์ไทย และในเรื่องนี้มันเป็นบรรยากาศที่ช่วงก่อนคริสต์มาสที่ “ท่าแร่” บรรยากาศเย็นๆ มีเทศกาลแห่ดาว เหมือนหนังสยองขวัญวันหยุดที่คุณจะสยองไม่หยุดกับเรื่องนี้
บท “บาทหลวง” ทำไมถึงต้องเป็น “เจมส์จิ” (จิรายุ ตั้งศรีสุข)
“เจมส์จิ” นี่เป็นตัวเลือกแรกเลยที่เรานึกถึง เรามาคิดว่านักแสดงคนไหนที่ใส่ชุดบาทหลวงแล้วเท่ดูดี ก็มีเจมส์จิมาเบอร์หนึ่งเลย เราเลยติดต่อไปแล้วก็ได้คุยกัน รู้สึกว่าเจมส์มีความสนุกกว่าบทนี้ แล้วก็ทำการบ้านมาดีมาก ซึ่งตัวจริงเจมส์แกเป็นคนตลกมากเลยนะครับ แต่ต้องทำตัวให้สุขุมนุ่มลึกไปทั้งเรื่อง ผมว่าอินเนอร์ข้างในเขาลึกซึ้ง ในพาร์ตของการเล่า Backstory ของตัวละคร เจมส์ก็ถ่ายทอดออกมาได้ดีมากครับ หรือแม้กระทั่งบทของบาทหลวงที่ใจดีแต่ต้องต่อสู้กับปีศาจร้ายก็ทำได้ดีเช่นกัน
ด้าน “มีน พีรวิชญ์” ที่รับบทเป็น “หมอเหยา”
ผมเคยร่วมงานกับ “มีน พีรวิชญ์” มาตั้งแต่สมัยละครเลยครับ แล้วก็มาหนังเรื่อง “ธี่หยด 2” เราไปรีเซิร์ชข้อมูลเกี่ยวกับ “หมอเหยา” มาจนกระทั่งได้คุยกับคนเขียนบท มีเรฟในใจไว้ว่าน่าจะต้องเป็นหมอเหยาที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีความเป็นผู้ชาย แต่เวลาทำพิธีโดยปกติของหมอเหยาก็ต้องแต่งแบบผู้หญิงตามผีบรรพบุรุษอยู่แล้ว ก็พอดีได้เจอกับแม่หมอคนหนึ่งชื่อ “แม่หมอโอปอ” (หมอเหยาแห่งสกลนคร) ผมคิดว่านี่แหละหมอเหยาต้องลักษณะแบบนี้ คาแร็กเตอร์มีนคือได้เลย หน้าเหมือนแม่หมอโอปอทุกอย่าง การบ้านหนักก็ไปตกอยู่ที่มีน
คุยกับ “แพรวา ณิชาภัทร” ยังไงบ้าง น้องถึงยอมมาเล่นทั้งๆ ที่กลัวผีขั้นสุด
ก่อนอื่นเลยผมไม่รู้ว่า “แพรวา” ร้องเพลง “รักติดไซเรน” นะ ผมนึกว่า “บิวกิ้น-พีพี” ร้องซะอีก ใช่ครับ แพรวากลัวผีมาก ผมเห็นการแสดงน้องมาจากเรื่อง “เทอม 3” (2567) ผมเห็นความมีเอเนอร์จี มีความอะเลิร์ต มีความแสบ และเป็นสาวมั่น รู้สึกชอบคนคาแร็กเตอร์แบบนี้ แต่ในเรื่องนี้ตัวละคร “มาลี” ไม่ได้ต้องการเอเนอร์จีแบบตอน “เทอม 3” แถมยังต้องดูนิ่งๆ เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ถูกกับพ่อ แต่ต้องกลับมาหาพ่อที่ “ท่าแร่” ซึ่งแพรวาก็ตอบโจทย์ คือเราต้องการนักแสดงที่ต้องพูดอีสาน เราเริ่มแคสติงหลายคนแต่มันเริ่มห่างความเป็นอีสานออกไป เราก็ยังอยากจะได้คนอีสานที่พูดอีสาน การโต้ตอบไดอะล็อกที่ดูเป็นธรรมชาติ แล้วแพรวาพูดอีสานได้มีเสน่ห์มาก
ในการถ่ายทำมีตรงไหนที่กดดันกับมันที่สุด
เครียดทุกวันเลยครับ มันยากทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ผมว่าพิธีไล่ผีของ “หมอเหยา” อันนี้ยากมาก เพราะว่ามันเป็นพิธีของการไล่ผีอีกแบบหนึ่งที่เราไม่รู้จักเลย เราต้องรีเซิร์ชละเอียด พิธีกรรมที่เขาต้องทำแบบนี้ เขาต้องขึ้นรำตอนนี้ เครื่องคายต้องตั้งติดฝาบ้าน ห้ามเอาออกมา แล้วต้องมีทั้งหมอเหยา มีทั้งคนที่พูดภาษาภูไทเป็นต้องมาอยู่ในกองเพื่อทำให้มันถูกต้องที่สุดครับ แต่มันก็สนุกตรงที่เราได้ทำอะไรแปลกๆ และต้องเอาทุกอย่างเข้ามาบวกกับกระบวนการถ่ายทำ ตอนแรกภาพในหัวเราเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่เวลาพิธีจริงมันต้องเป็นอีกแบบหนึ่ง มันยากด้วยดีเทลหลายๆ อย่าง แล้วบวกกับในเรื่องมันจะเป็นซีนที่ปราบผีกันดุเดือด มีพวกงานสลิงด้วย มันนัวไปหมดจริงๆ
ต้องขอบคุณทีมงาน เพราะว่าหลายๆ ฝ่ายช่วยกันครับ มีทั้งฝ่ายจัดการ ฝ่ายผู้ช่วยที่จะต้องไปนั่งประสานงานแล้วก็ต้องบรีฟ แล้วก็ทีมนักแสดงด้วยนะครับที่ร่วมมือกันเต็มที่
เห็นว่าเรื่องนี้ต้องจำลองโบสถ์กันขึ้นมาเลย
ในการที่ทำกิจกรรมใดๆ เกี่ยวกับโบสถ์ในประเทศไทย เขาจะต้องทำบันทึกกิจกรรม แล้วก็ส่งไปทางน่าจะโรมหรือวาติกัน ทุกกิจกรรมเครือข่ายต้องรับรู้หมดว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นกิจกรรมในการถ่ายทำภาพยนตร์มันจะเป็นเรื่องยากนิดนึง เขาอาจจะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร บทในเรื่องนี้เป็นยังไง แล้วมันดันมีแอ็กชันในโบสถ์ มีเรื่องของการต่อสู้ มันเป็นเรื่องเซนซิทิฟตรงนี้
เราก็ไปหาดูว่าคนอื่นเขาทำกันยังไง สุดท้ายเขาก็ต้องเซตโบสถ์กันขึ้นมา ในเรื่องเราได้เรฟเฟอเรนซ์โบสถ์มาจาก “โบสถ์คำเกิ้ม” ที่จังหวัดนครพนม เป็นสถานที่อนุรักษ์มีความเก่าแก่จริง จะให้เราไปถ่ายในนั้นมันไม่ควรแน่นอนครับ ทีมอาร์ตก็พยายามสร้างออกมาให้ได้ใกล้เคียงที่สุด เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราอ้างอิงถึงที่นี่ เราก็คุยกันกับหลายๆ ฝ่าย ทักกันว่าการทำโบสถ์มันแพงนะ มันต้องเป็นล้านเลยนะ เอาไง ตังค์หมดเลยนะ หรือว่าเราสู้กันกลางทุ่งนา ไม่เป็นไรหรอก เป็นทุ่งนาก็ได้คนดูไม่ติดหรอก แต่มันไม่ได้ ในทางโปรดักชันมันเป็นภาพใหม่ เนื้อเรื่องมันมาทางนี้ เหตุการณ์ที่โบสถ์มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด ซึ่งมันนำพาสู่โศกนาฏกรรมและสุดท้ายมันก็จะกลับมาที่เดิม แล้วมันก็ระเบิดระเบ้อ ถ้าเป็นโบสถ์มันถูกทุกข้ออยู่แล้ว แล้วมันเอื้อต่อทุกอย่างด้วย ความสวยงาม ความกอทิก สถาปัตยกรรมที่ดูขลัง สุดท้ายเราก็เลยตัดสินใจสร้างโบสถ์กันเลย ลุย คือต่อให้เราส่งเรื่องราวไป ส่งข้อมูลไปขออนุญาตถ่ายแล้วเขาไม่ให้ถ่าย เขาก็ทำถูกต้องแล้วครับ
ในความเป็นหนังไทยการมีปอบ กินไส้ เครื่องใน ยังใส่สิ่งเหล่านี้ลงไปไหม
ผมก็โตมากับหนังผีไทย ผมไม่พลาดอยู่แล้วครับ ถ้ามันมีโอกาสจัดเลยครับ เราอยากจะเห็นคนกินไส้กินเครื่องเซ่น มีผีบีบคอที่ยังทำไม่ได้ เพราะว่า “พี่อุ๋ย นนทรีย์” ทำเรื่อง “นางนาก” แล้วผีไม่ยอมบีบคอ ทำให้มายด์เซตมุมมองของผีไทยเปลี่ยนไป ไม่บีบคอคนละ ผมอยากจะทำผีบีบคอแต่ยังหาจังหวะทำไม่ได้ อยากทำหมดเลยนะครับ ชอบครับ
เรื่องนี้ยกทีม “ธี่หยด” มาหมดเลย เป็นยังบ้าง
ในแง่ของการทำงานมันน่าจะไม่ต้องจูนอะไรกันแล้ว รู้ใจกันแล้ว แล้วทุกคนก็มีแพสชันที่อยากทำอะไรแปลกๆ แล้วรู้สึกว่ามันได้ทำ ตอนนี้มันโชคดีที่ทีมงานยังมีไฟและอยากทำงาน แล้วทุกคนสนุกกับบท เขาชอบความแปลกใหม่ กับทีมเดิมมันเป็นการจูนการทำงานที่ไวที่สุดเพื่อที่จะให้โปรเจกต์นี้มันรันได้ไว เวลามันเหมือนไม่ได้บีบนะครับ แต่มันจะเป็นแพตเทิร์นที่ต้องรีเซิร์ชหนักกว่าเรื่องอื่นๆ เรื่องนี้ต้องมาที่สกลนครเพื่อรีเซิร์ชทุกอย่าง สถานที่จริงเป็นยังไง เราจะต้องเอาสถานที่นี้ มาถ่ายที่นี่ได้ไม่ได้ เลยต้องใช้ทีมงานที่คุ้นเคยและรู้มือว่าให้ใครใช้ใครไปทำแล้วรับรองไม่ผิดหวัง
นอกจากจะนำเสนอความสยองแล้ว ยังสอดแทรกวิถีชีวิตของชุมชนนี้ด้วย
ผมก็เพิ่งมารู้อะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับ “ท่าแร่” ตอนทำเรื่องนี้นะครับ ได้เห็น “งานแห่ดาว” ได้รู้ว่ามีชุมชนคริสตจักรที่เยอะที่สุดในภูมิภาคอีสานหรือในประเทศไทย เรารู้สึกว่ามันแปลกใหม่ แล้วผมมาช่วงเดือนธันวาคมเป็นช่วงก่อนคริสต์มาส มันมีบรรยากาศอบอุ่น มีขบวนคาร์นิวัล มีงานแห่ดาว มีผู้คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ทุกคนน่ารักหมดเลยนะครับ บรรยากาศมันดูชิลๆ เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ของมัน
“ธี่หยด” เหมือนรถไฟเหาะ แล้ว “ท่าแร่” มีคำนิยามยังไง
เหมือนการขับรถไปในทางเปลี่ยวแล้วน้ำมันหมดนะครับ มันจะเป็นความหลอนแบบนั้น ทางข้างหน้าก็น่ากลัวแต่จะถอยหลังก็ไม่ได้ มันเป็นความเวิ้งว้าง เพราะว่าในเรื่อง “ท่าแร่” เราพูดถึงเรื่องบรรยากาศไม่ชอบมาพากล แล้วเผลอๆ คุณอาจจะเดินหลงทางไปขึ้นรถไฟเหาะก็ได้ เพราะเราก็ยังมีเสิร์ฟตรงนี้อยู่ครับ
ฝากผลงานทิ้งท้าย
โจทย์ผมคือทำหนังสนุก ก็อยากให้ทุกคนมาสนุกด้วยกัน หนังผีเป็นกิจกรรมกลุ่ม ให้ยกแก๊งไปดูกันทั้งพี่น้องเพื่อนฝูงนะครับ เราเชื่อว่าสิ่งที่เรานำเสนอน่าจะมีความแปลกใหม่ แล้วก็มีความสด มีการพูดถึงในเรื่องของความเชื่อต่างๆ แล้วเราจะนำเสนอในสิ่งที่ทุกคนจะได้ว้าวว่าเฮ้ย...มันมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยด้วย มีพิธีกรรมแบบนี้ด้วย เชื่อว่าใครได้ดูเรื่องนี้ก็ต้องอยากจะดูภาค 2 แน่ครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี