ชมรมวิจารณ์บันเทิง ผนึกกำลังผู้สนับสนุนหลัก กระทรวงวัฒนธรรม  กรมส่งเสริมวัฒนธรรรม และ THACCA ประกาศผลรางวัลภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยมชมรมวิจารณ์บันเทิงครั้งที่ 33 ประจำปี 2567 อย่างเหนือความคาดหมายอีกครั้ง ด้วยการผลิกโฉมรูปแบบเนื้อหาการจัดงาน และหมวดหมู่ของรางวัล เพื่อมุ่งสะท้อนคุณค่าและเชิดชูบุคลากรทุกคนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย โดยลดประเภทของรางวัลเหลือเพียง 2 ประเภท ได้แก่ รางวัลภาพยนตร์ไทยแห่งปี และรางวัลภาพยนตร์สั้นไทยแห่งปี โดยจะไม่มีการประกาศผู้เข้าชิง และจะมี “รางวัลเกียรติยศจากคณะกรรมการ” Grand Jury Prize ที่จะประกาศและมอบในวันงานที่จะจัดขึ้นในวันพุธที่ 17 กันยายน 2668 นี้

เกษมศักดิ์ วงศ์ปัญญา หรือ เสือเตี้ย สนานจิตต์ บางสพาน ประธานชมรมวิจารณ์บันเทิง กล่าวว่า ในวาระ 38 ปี ของการก่อตั้ง ชมรมวิจารณ์บันเทิง และ 32 ปี ของการจัดงานประกาศรางวัลภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยมชมรมวิจารณ์บันเทิง ภายใต้แก่นแท้จิตวิญญาณตามวัตถุประสงค์ที่ก่อตั้งชมรม เพื่อมุ่งสร้างคุณค่าและเชิดชูบุคลากรทุกคนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย และเป็นกำลังใจให้กับคนทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังแบบเข้าถึงอย่างถ่องแท้ ซึ่งปีนี้ชมรมวิจารณ์บันเทิงได้มีมติให้มีการทดลองปรับเปลี่ยนการมอบรางวัล ด้วยการลดจำนวนรางวัลตามสาขาย่อย แต่เพิ่มจำนวนเรื่องที่ได้รับรางวัลสาขาใหญ่แทน เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการที่เห็นพ้องกันว่า อยากเป็นฝ่ายสนับสนุนภาพยนตร์ สรรเสริญให้คุณค่าในลักษณะเป็นเรื่อง ๆ ซึ่งแต่ละเรื่องย่อมมีบุคลากรและทีมงานร่วมกันรับรางวัลอยู่แล้ว

โดยรางวัลสำหรับภาพยนตร์ จะไม่มีการเข้าชิงสาขาได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และแยกเป็นสาขาย่อย เช่น ลำดับภาพยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม เหมือนที่ผ่านมา แต่จะเหลือแค่ 2 ประเภทรางวัล คือ รางวัลภาพยนตร์ไทยแห่งปี จำนวน 5  รางวัล และรางวัลภาพยนตร์สั้นไทยแห่งปี จำนวน 10 รางวัล โดยคัดเลือกและตัดสินจากคณะกรรมการ นอกจากนั้นแล้วยังมีรางวัล “เกียรติยศจากคณะกรรมการ” Grand Jury Prize ที่จะประกาศและมอบในวันงาน โดยผู้ที่รับรางวัลจะเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับคะแนนสูงสุดจากคณะกรรมการตัดสิน นอกจากนี้ยังคงรางวัลที่มีมาตลอดเป็นประเพณี ได้แก่ รางวัลเกียรติคุณแห่งความสำเร็จ เพื่อมอบให้แก่บุคลากรในวงการภาพยนตร์ไทยที่มีผลงานดีเด่นตลอดชีวิตการทำงาน

เชื่อมั่นว่าการมอบรางวัลของชมรมวิจารณ์บันเทิงนั้น ครอบคลุมทั้งการสนับสนุนบุคลากรในแวดวงภาพยนตร์ไทยในปัจจุบัน สะท้อนผ่านรางวัลภาพยนตร์ไทยแห่งปี รวมถึงสนับสนุนผลงานขนาดสั้นซึ่งถือเป็นแหล่งบ่มเพาะการเล่าเรื่อง และเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของศาสตร์ภาพยนตร์อันเป็นรากฐานสำคัญของวงการอย่างภาพยนตร์สั้นไทยแห่งปี และรางวัลให้กับผู้เคยทำคุณประโยชน์แก่วงการหนังไทยอย่างรางวัลเกียรติคุณแห่งความสำเร็จ

สำหรับเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผลรางวัลในปีนี้ภาพยนตร์ขนาดยาวและขนาดสั้น ใช้กฎเกณฑ์คล้ายกับของเดิม นั่นคือ ภาพยนตร์ขนาดยาวจะต้องเข้าฉายเชิงพาณิชย์ในประเทศไทยในปีนั้นๆ ส่วนภาพยนตร์ขนาดสั้นต้องมีการจัดฉายไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในประเทศไทย กรณีของภาพยนตร์สั้นจะต้องมีความสั้นอัน ได้แก่ ยาวไม่เกิน 1 ชั่วโมง โดยกรรมการจะเป็นผู้สรรหาภาพยนตร์มาพิจารณาเอง กล่าวคือผู้ทำภาพยนตร์ขนาดยาวและขนาดสั้นไม่จำเป็นต้องส่งภาพยนตร์มาเข้าประกวดแต่อย่างใด โดยมีทีมคณะกรรมการที่จะดูภาพยนตร์ทุกเรื่องตลอดทั้งปี จากนั้นจะนำไปพิจารณา ซึ่งเป็นไปเช่นเดียวกับการพิจารณารางวัลภาพยนตร์ขนาดยาวยอดเยี่ยมและภาพยนตร์ขนาดสั้นยอดเยี่ยมในอดีต นั่นคือ ในภาพรวม ภาพยนตร์จะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ มีศิลปะในการนำเสนอ สามารถเล่าเรื่องราวได้อย่างโดดเด่น คู่ควรกับการบันทึกให้เป็นภาพยนตร์แห่งปี ในฐานะตัวแทนของปีนั้น ๆ ในเชิงคุณภาพได้

นอกจากนี้ สำหรับรูปแบบในการจัดงานประกาศผลรางวัล ยังเพิ่มความพิเศษด้วยมีกิจกรรมฉายภาพยนตร์รางวัล “ภาพยนตร์ไทยแห่งปี” ประจำปี 2567 โดยเข้าชมฟรี ระหว่างวันที่ 13-17 กันยายน 2568 ณ โรงภาพยนตร์ Century The Movie Plaza ซึ่งหลังฉายภาพยนตร์จบของแต่ละรอบ มีกิจกรรมเสวนา Talk With Director ที่จะพูดคุยกับผู้กำกับ และตัวแทนจากทีมผู้สร้างภาพยนตร์ของเรื่องนั้นๆ มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับตัวภาพยนตร์ และหัวข้ออื่นๆ โดยมี Concept หัวข้อคือ “การเปลี่ยนแปลง” เพื่อให้เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของเวทีรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิงในปีนี้ ติดตามรายละเอียดทาง เฟสบุ๊คแฟนเพจ ชมรมวิจารณ์บันเทิง

ทั้งนี้งานประกาศรางวัลภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยมครั้งที่ 33 ประจำปี 2567 จะจัดขึ้นในวันที่ 17 กันยายน 2568ณ โรงแรม Avani Sukhumvit Bangkok ชั้น 7 โดยจะมีไฮไลท์การประกาศรางวัลพิเศษ Grand Jury Prize “รางวัลเกียรติยศจากคณะกรรมการ” จากภาพยนตร์ทั้งหมดที่ได้รับรางวัล“ในโอกาสนี้ ชมรมวิจารณ์บันเทิง ขอแสดงความยินดีกับบุคลากร และภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ได้รับรางวัลและขอขอบคุณกระทรวงวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรรม และ THACCA ผู้ให้การสนับสนุน” เสือเตี้ยสนานจิตต์ บางสพาน กล่าวปิดท้าย