'ต้าห์อู๋'เปิดชีวิตเติบโตจากโรงงิ้ว เรียนโรงเรียนเอกชนแต่ต้องผ่อนค่าเทอม พร้อมเผยสิ่งที่เสียดายที่สุด

'ต้าห์อู๋'เปิดชีวิตเติบโตจากโรงงิ้ว เรียนโรงเรียนเอกชนแต่ต้องผ่อนค่าเทอม พร้อมเผยสิ่งที่เสียดายที่สุด

วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 12.24 น.
Tag :

“ต้าห์อู๋ พิทยา” วันนี้ขอย้อนเล่าชีวิตที่เติบโตมากับโรงงิ้ว  หาเงินจากอาชีพนักร้องกลางคืน สู่ศิลปิน T-POP ครองใจแฟนคลับ ด้วยความพยายามแบบไม่พึ่งโชคชะตา ด้วยเชื่อเสมอว่าตนเองเป็นคนไม่มีดวง ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่อง One31 ที่มี ดีเจพุฒ พุฒิชัย และ ชมพู่ ก่อนบ่าย เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

 มีแฟนคลับอินเตอร์เยอะมาก?


“ตอนนี้ใช้คำว่าทั่วโลกครับ มันหลายกลุ่มมาก ในไทยเราได้จากฐานซีรีส์ ละคร ฐานเพลง และติ๊กต๊อก ฝั่งจีนก็มาจากซีรีส์และต้าห์อู๋-ออฟโรดด้วย และแผ่ไปไกลมาก อเมริกา ละตินอเมริกา เกาหลี ญี่ปุ่น เขาเจอเราจากซีรีส์บ้าง ติ๊กต๊อกบ้าง”

อยากให้ย้อนชีวิตวัยเด็ก โตมาในครอบครัวแบบไหน?
“ครอบครัวทำโรงงิ้วครับ เป็นเจ้าของโรงงิ้ว ฐานะต่ำกว่าปานกลางอีก มีค่าใช้จ่ายเยอะกว่า เราโตมาหลากหลายสังคมมาก เพราะ ป๊ากับม๊าเวลาไปทำงาน เขาจะทำงานตั้งแต่ 1 ทุ่มถึงเที่ยงคืน เขาก็จะออกจากบ้านประมาณ 5 โมง ซึ่ง 5 โมงเป็นเวลากลับบ้านเรา เราไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไหร่ ทำให้เราได้อยู่ในหลายสังคมมาก โตมากับอาม่าเป็นคนเลี้ยง อาอี้เป็นคนเลี้ยงเสาร์อาทิตย์ ช่วงวันหยุดก็ไปโรงงิ้วกับป๊า ปิดเทอมก็ไปโรงงิ้ว ป๊าเดินทางไปเล่นทั่วประเทศเลย ขอนแก่น พิษณุโลก อะไรอย่างนี้ครับ”

 

ถือว่ากิจการโรงงิ้วดีมั้ยในยุคนั้น?

“เป็นขาลงครับ มันสิ้นสุดช่วงพีคไปแล้วเรียบร้อย เวลาคนจะจ้างก็คือศาลเจ้าจ้างเวลามีเทศกาล คนพวกนี้เริ่มค่อยๆ หายไป บุคลากรทางงิ้วเองก็ค่อยๆ อายุเยอะขึ้นเรื่อยๆ ป๊าก็เล่นด้วย ทำทุกอย่าง ป๊าเข้าวงการงิ้วตั้งแต่ 14”

 

ต้าห์อู๋เคยเล่นงิ้วมั้ยตอนเด็กๆ?

“เคยครับ ป๊าเขาจะจับเราแต่งหน้า สมัยก่อนเป็นทหาร ไม่มีร้องครับ เขาไม่ค่อยผลักดัน เวลาเรานั่งตีขิม เขาพยายามให้เราออกมา เพราะเขาคงรู้แหละ เขาอยากให้เรากลับไปเรียน ไม่ได้อยากให้เราไปอยู่ตรงนี้ เพราะเขาคงรู้ว่ามันคงไม่ได้อยู่อีกนาน ด้วยความเรามีพี่ชายสืบต่อแล้วด้วย” 

 

เวลาร้องเพลงงิ้ว ทำให้เราร้องเพลงเสียงสูงมากตอนนี้?

“ก็มีส่วนนะ เพราะหม่าม้าเป็นคนร้องเพลง คนที่ผมไปอยู่มาตามต่างๆ โตมากับป๊า ผมเจอมาหลายสังคมมากนะ ป๊าส่งเราให้เรียนโรงเรียนเอกชน เราจะเจอลูกคุณหนู แต่เราอยู่ปลายๆ เลย  ค่าเทอมผ่อนเอา อยู่บ้านก็อีกแบบนึง เวลาอยู่โรงงิ้วก็ปรับตัวให้เข้ากับเด็กแถวนั้น แล้วคนอยู่โรงงิ้วเขาเป็นจับกัง เป็นลูกอีสาน ผมฟังอีสานได้ทุกวันนี้ เพราะก่อนเขาเล่นงิ้ว เขาเปิดเพลงอีสานก่อน ก็ได้หลากหลาย”

 

มีพี่น้อง แต่อายุห่างกันมาก?

“พี่สาวห่างจากผม 15 ปี ตอนนี้เขาอายุ 42 - 43 แล้ว พี่ชายก็ห่าง 10 ปี เป็นลูกหลงครับ”

 

พออายุห่างกัน ทำให้การเติบโตในช่วงวัยเด็กเป็นยังไง?

“ผมเป็นเด็กอะเลิทมาก ไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นด้วย แต่ไม่เป็นไร เล่นคนเดียวได้ ผมอยู่บ้านกับอาม่าที่เลี้ยงเรามา อยู่กันแค่สองคนเลย เราจะรบกวนอาม่าตลอด เราชอบดูบู๊แอ็กชั่น อาม่าชอบดูละครดราม่า เราก็ไม่สนุก ช่วงนั้นอินคมแฝก เอาผ้ามาผูกแล้วตี อาม่าก็บอกให้ไปเล่นไกลๆ (หัวเราะ)”

 

เล่นอะไร เล่นคนเดียว?

“เล่นต่อสู้ อาม่าเป็นตัวร้าย แต่เขาจะด่าเรา เป็นระบบอัตโนมัติอยู่แล้ว เราก็ไม่กล้าเล่นมาก เพราะอาม่าดุ อาม่าตี แต่ชอบกวนประสาท กับพี่น้องก็ห่าง ไม่ได้เล่นกันเลย แต่ผมมีเพื่อนที่โรงเรียน มีเพื่อนที่หมู่บ้าน”

 

ทำให้เรามีความสามารถดนตรีที่หลากหลาย?

“ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย ผมอยากเล่นดนตรีมาก อยากมีแบนด์เป็นของตัวเอง  มีวงดนตรีเล่นดนตรียังไม่เป็นเลย แต่ตอบว่าเล่นได้ไปก่อน เอาคีย์บอร์ดตัวไม่ถึงพันมานั่งกดไปเรื่อยๆ แล้วเราเริ่มเล่นด้วยตัวเองได้ เราไม่รู้จะไปเรียนจากไหน ก็กดไปมั่วๆ จนเราเข้าใจว่าคอร์สมันกดแบบนี้ๆ แต่ความโชคดีเราเล่นกีต้าร์ได้อยู่แล้ว กีต้าร์ก็ฝึกเอง เลยเล่นได้”

 

เล่นดนตรีอะไรได้บ้าง?

“คีย์บอร์ด กีต้าร์ ขลุ่ยจีน ซึ่งเป่ายากมาก มันไม่ได้เป่าแล้วมีเสียงเลย ลมต้องถูก  สมมติมีโน้ตแค่ 6-7 ตัว จะไปเสียงสูงต้องเปลี่ยนลมใหม่ เรารู้สึกว่าเราเป่าไม่ได้แน่เลย แต่ป๊าเป็นคนที่เป่าเก่งมาก เป็นคนที่เล่นดนตรีได้ทุกชนิด เขาบอกขลุ่ยเป็นอีกอย่างที่เกือบจะยากที่สุด มันเป็นความทรงจำมาตั้งแต่เด็กว่าเราเป่าไม่ได้ แต่ตอนป๊าเสีย เราเอาขลุ่ยนั้นมา เพราะช่วงนั้นคุยกับแม่เยอะมาก ป๊าจีบหม่าม้าด้วยการเป่าขลุ่ยเพลงจีน ใส่เทป แล้วไปนั่งในห้องน้ำจะได้เป็นรีเวิร์ฟ ส่งให้คุณแม่ เรารู้สึกว่าช่วงนั้นหม่าม้าเศร้าจังเลย เราก็ลองจับดูแล้วลองว่าเราเป่าได้มั้ยสุดท้ายแค่ 2 ชม. มันเป่าได้ มันนั่งคิดได้ตอนนั้นว่าเขาก็คงอยากให้เราไปเรียนจริงๆ ถ้าวันนึงเราจับแล้วเราไปด้านศิลปินงิ้ว เราอาจไม่ได้มานั่งตรงนี้ เราอาจไปนั่งทำด้านอื่นมากกว่านี้หรือเปล่า ไม่เรียน แต่เขาก็ไม่ได้ถามด้วยนะว่าเราเรียนเก่งหรือเปล่า (หัวเราะ)”

 

พออยู่ในช่วงขาลง โดนทวงค่าเทอมบ่อยๆ ด้วย?


“ใช่ เพราะผมเรียนเอกชน ตอนนั้นค่าเทอม 13,000 มันต้องแบ่งจ่าย 3 ครั้ง แต่ว่าผมจ่ายเลทมากๆ ทุกครั้งตลอด เวลาทวงเขาจะมีใบมา และแต๊มมาว่าด่วนมาก ถ้าไม่จ่าย เราจะไม่ได้เข้าห้องสอบ” 

 

เลยไปหาอาชีพเสริมช่วย?

“เสริมคืออยากลองทำ อยากหาเงิน เรารู้ตั้งแต่เด็กแล้วว่าเงินไม่ได้หาง่าย เราไปขายของวันอาทิตย์ที่ตลาดนัดกับอาอี้ เขาก็ไปตั้งแผง เขาขายถุงน่อง ขายตามกระทรวง เขาเริ่มขายตั้งแต่ตี 5 จนถึงบ่ายสอง เขาขายของโน่นนี่นั่นเต็มไปหมด เราก็อยากลองหาเงิน เพื่อนชวนไปเสิร์ฟอาหารที่ร้านอู่ข้าวอู่น้ำ หรืออิมปลาเผา ไม่แน่ใจ ผมได้ค่าแรงชม.ละ 24 บาท จำได้ว่าทำนาน เช้าขัดถู ก่อนมาเสิร์ฟ มันเยอะมาก 10 ชม. 240 บาท”

 

เป็นไงเงินก้อนแรกหาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง?

“สลดครับ เหนื่อย (หัวเราะ) เหนื่อยมาก ผมเป็นเด็กตัวใหญ่ยกสบาย แต่ก็เหนื่อยนะ มีไปยืนขายของตามห้างด้วย ได้เยอะหน่อย ชม.ละ 40 บาท ฟีลตอกบัตร 10 โมงเช้า ออก 4 ทุ่ม”

 

ช่วงเป็นเด็กเสิร์ฟ ทำงานรับจ๊อบในห้าง มีความคิดแว้บมามั้ยว่าอยากเข้าวงการ?

“โอ้โห ไม่มีครับ ไม่มีจนถึงเข้ามหาวิทยาลัย”

 

ร้องเพลง ดนตรีได้ หน้าตาก็ดีซะด้วย?

“เรื่องหน้าตาผมขอเถียง เพราะผมเป็นเด็กอ้วนที่ไม่ได้หน้าตาดี มีสิวเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป ผมไม่เคยมานั่งมองว่าตัวเองหล่อ เพราะเราเห็นคนหล่อเยอะมาก สมัยนั้นพี่พุฒอย่างนี้ เราเห็นแต่ละคน เราเป็นเด็กอ้วน มีความคิดแค่ว่าแค่ร้องเพลงก็พอแล้ว ไม่น่าได้เห็นดาราอะไรกับเขา แต่ผมเป็นเด็กกิจกรรม ผมชอบร้องเพลง ชื่อวงแข็งโป้กแบนด์ คือแข็งแรง”

 

เลือกทำอาชีพเสริมคือไปร้องเพลง?

“ไปร้องกลางคืน ตอนอายุ 18 ร้านเล่นใหญ่ แถวรัชโยธิน จากผมร้องปัจฉิม เจ้าของร้านเขาได้ยิน บวกกับนักร้องสมัยนั้นเขาชอบไปร้องต่างประเทศ เราว่างพอดี เขาเลยเอาเราไปร้อง  ร้านแรกร้องหินเลย ร้องตรงข้ามม.มหิดล แล้วเด็กคณะดุริยางค์ เขาชอบมานั่งฟังดนตรี เราเกร็งเลยสมัยนั้น เราเด็กอายุ 18 เราไม่มีความรู้ ต้องตามเก็บเพลงสากล เพลงไทย โชคดีเราอยู่กับวงรุ่นพี่ อายุ 30 กว่า ตอนนั้นทำให้เรากล้าเวทีมาก เราเจอวงหนักๆ มาแล้ว เจอรุ่นใหญ่มาแล้ว พอเล่นให้เด็กมหาวิทยาลัย มันก็คือชิลมาก ผมร้องตั้งแต่รังสิต ไล่ยาวมาถึงแยกปทุมวัน ปิ่นเกล้าก็มี สมัยนั้นเป็นฟีลมันส์ๆ แต่ผมชอบร้องกลางคืนมาก 

 

ชอบร้องสไตล์ไหน?

“กักขฬะเลยครับ ผมเป็นคนร้องเพลงหลายแนวมาก แล้วแต่ร้าน ถ้าร้องแบบร้านนักศึกษาจะเป็นอีกแบบ ร้องร้านผู้ใหญ่ก็เป็นอีกแบบ ตามสถานการณ์ ถ้าสาวเล็กเด็กน้อย ก็จะร้องเพลงเต๊าะก่อน”

 ช่วงนั้นก็ฮอต ทำรายได้สูงสุดเท่าไหร่?

“วันนึง 7 พันนะ วันนึง 3 ร้าน ผมซื้อบิ๊กไบก์มาเพื่อวิ่งงาน หัวค่ำ รอบดึก รอบดึกสุดๆ”

นอกจากร้องเพลงกลางคืน วันนึง 3 ร้าน กลางวันรับจ้างไลฟ์ขายของ?

“ใช่ ผมนำ 1 ก้าวนะ สมัยนั้นไม่ค่อยมีคนไลฟ์นะ ส่วนใหญ่จะไลฟ์ในแพตฟอร์ม ขายของออนไลน์อันนึง สีส้ม แบรนด์เขาจ้างเราไปไลฟ์ ได้เงินเยอะมากนะ ชม.ละ 3 พัน ก็อเมซิ่งเหมือนกัน แต่สมัยนั้นยังไม่มีคนไลฟ์ บวกกับเราพูดไม่หยุด เราไลฟ์ต่อเนื่อง 3 ชม. มันก็มันส์ ยอดขายถล่มทลาย”

เลยไม่ต้องพึ่งเงินครอบครัว?

“คนก็จะสงสัย ได้เรียนมั้ย หลับครับ (หัวเราะ) เวลาเรียนไปหลับเอา แต่ผมถือคติว่าเราต้องทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆ เร็วๆ เพื่อที่เราจะไปแคปปิตอลเกมส์”

ดูแลตัวเองได้ตั้งแต่ตอนเรียน แต่กว่าจะเป็นต้าห์อู๋ ไม่ง่าย?

“ใช้ชีวิตมหาวิทยาลัย มีรุ่นพี่เขาเรียนม.เกริก เป็นมหาวิทยาลัยจีน ทางจีนก็มาเปิดออดิชั่นทีนี่พอดี เราก็ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่เราเคยดูรายการแข่ง เราจะไปแข่งครับ ผมก็จะไปครับ ไปเลย เรียบร้อย พูดจีนไม่ได้ เขาให้แนะนำตัวเป็นภาษาจีนได้มั้ย เราไม่ได้เตรียมตัวมา ก็มาใหม่ ไปรอบนี้ก็เตรียมเป็นเพลงจีน แล้วแนะนำตัวเป็นภาษาจีน ตอนนั้นเขียนเป็นคาราโอเกะภาษาไทย เขาก็เห็นในความพยายาม เราเป็นคนเดียวเลยที่มาแบบอิสระ น่าจะมีผมแค่คนเดียวที่ได้เข้าร่วมรายการ ไปเทรน”

ได้ไปโกอินเตอร์แล้วเกิดอะไรขึ้น?

“ช่วงถ่ายทำรายการ มันเกิดโควิดพอดี เป็นช่วงที่เราต้องกลับมาพักก่อนเขาจะส่งเราบินไปถ่ายที่ฉางซา แต่เราไม่สามารถทำวีซ่าไปได้แล้ว แต่เพื่อนสองคนเขาไปได้นะ เพราะเขามีบริษัท เขาอยู่กับช่อง 3 คนนึง แต่เราไม่สามารถไปได้ เราก็ยอมรับความจริง ไปไม่ได้ก็ไปไม่ได้ เราก็กลับมาตั้งต้นทำงานใหม่” 

ตอนไปก็ไม่มีทุนทรัพย์มากมาย ถึงกับขายทรัพย์สินก่อนไป?

“ใช่ครับ รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์ รอบแรกไม่เท่าไหร่ พอกลับมาได้ไปอีกรอบคือที่เซี่ยงไฮ้ มันหนักเหมือนกัน มันยาวกว่า กลายเป็นว่าต้องเทรนอีก 4 เดือน แล้วรอบนี้มีดราม่าที่ไม่ให้มีรายการเซอร์ไวเวอร์ ก็ต้องกลับมาอีกแล้ว”

ท้อหนัก เห็นเพื่อนถ่ายรายการ ตัวเองไม่ได้ถ่าย ก็ร้องไห้น้ำตาไหล?

“เราแค่รู้สึกว่า โห อีกก้าวเดียวเอง เราจะได้ทำสิ่งที่เราอยากทำเราเห็นเพื่อนที่เทรนมาด้วยกัน เขาไปกันแล้ว แต่ไม่เป็นไรวะ ยอมรับความจริง”

 แต่ไม่ถอดใจ มีแรงไปประกวดอีกเวที?

“ชื่อว่าลาสไอคอน พิธีกรหล่อมาก ตอนนั้นถึงตอนนี้ 5 ปี พี่พุฒไม่เปลี่ยนเลย”

ดึงออฟโรดที่ไม่ถนัดเต้นขึ้นมา เขาไม่คิดว่าคะแนนอันดับหนึ่งจะเลือกเขาเป็นพาร์ตเนอร์ จนตอนนี้กลายเป็นคู่พาร์ตเนอร์ที่ดีเลย ตอนนั้นได้คะแนนโหวตสูงสุดรู้สึกยังไง?

“ผมมีความคิดมาตลอดว่าเราเป็นดาราไม่ได้หรอก ไม่มีคนชอบหรอก วันนั้นที่เราไป เราไม่ได้อยากเป็นที่หนึ่งนะ เราไม่ได้อยากชนะ แต่เราแค่อยากทำตามความฝัน เราอยากขึ้นเวทีร้องเพลงสักเวทีว่ะ อยากรู้ว่าตัวเราไปได้ถึงไหน เราแค่อยากทำโชว์ มันคงกลายเป็นธรรมชาติ เป็นแพสชั่นของเราจนคนเห็น และชื่นชม เชียร์เรา”

วันไฟนอลไม่ได้มา เพราะเป็นโควิด แต่ก็ได้รับคะแนนโหวตสุงที่สุด เป็นคะแนนโหวตออแกนิคด้วย พอลาสไอคอนเสร็จก็ออกมาเป็นศิลปินลาสวันกัน แล้วก็ร้องเพลงกับพี่โต๋ เพลงจีนที่เสียงสูงมากๆ หลายคนโดนตกจากรายการนี้ ตอนเขาติดต่อไปให้ร้อง รู้สึกยังไง?

“ผมดีใจมาก ใจฟูมากๆ แม่ผมดีใจมาก เรารู้สึกว่าพี่โต๋เก่ง แต่ละคนที่ไปออก มันถูกเขาเลือกมาแล้ว เขาเล่นสด ซ้อมนิดเดียวแล้วก็ไปถ่ายเลย”

พอดวงเปิดแล้วเปิดยาว ได้ประกวด เป็นศิลปิน ได้เดบิวต์ เล่นซีรีส์ ดังมากๆ ซีรีส์รักไม่รู้ภาษา เล่นคู่กับออฟโรด?

“เราทำงานด้วยกันมาตั้งแต่ลาสวันอยู่แล้ว เราสนิทกันมากๆ อยู่แล้ว พอได้เล่นซีรีส์ด้วยกัน ตอนนั้นจำความรู้สึกได้ว่ามันท้าทาย มันต้องมาทำงานกันซึ่งเหลือสองคนแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง เพราะมันใหม่สำหรับทั้งคู่ แต่ออฟโรดเป็นรุ่นพี่ เขาแสดงมาก่อนแล้ว เข้าวงการก็โตมากับผมเลยนะ เหมือนอีกคนหนึ่งที่เราเดินจากความฝันสู่ชีวิตจริง ก็มีออฟโรดเลย ตั้งแต่วันแรกที่แข่ง ก็กลายเป็นว่าเราเจอเขาแล้ว เราอยู่ทีมเดียวกันแล้ว ไม่รู้ด้วยความบังเอิญหรืออะไร แต่ตั้งแต่วันนั้นจนตอนนี้เราก็ยังอยู่ด้วยกัน พูดแล้วย้อนกลับไปมันก็ตื้นตันเหมือนกันนะ จากวันนั้นจนวันนี้ก็ 4-5 ปีแล้ว อยู่กับเขาทุกวันเลย”

ต้าห์อู๋ถูกชะตาออฟโรดตั้งแต่ตอนนั้นเลยมั้ย?

“มันไม่ได้คิดด้วยซ้ำ ตอบตรงๆ ไม่รู้ว่าเลือกแล้วจะไปยังไงต่อ รูปแบบการแข่งขันคืออะไร แต่คิดว่าถ้าเราจะเลือกเซฟใครสักคนก็คือออฟโรด เพราะรู้สึกว่าคนอื่นเอาตัวรอดได้หมด”

ออฟโรดแบ็กกราวน์ชีวิตคล้ายๆ ต้าห์อู๋ เป็นคนช้าที่สุดเรื่องเต้น เรื่องร้อง ต้าห์อู๋คงอยากดึงน้องขึ้นมา อยากบอกอะไรพาร์ตเนอร์?

“โห อยากบอกว่าดูเราตอนนั้นกับตอนนี้สิ ไม่รู้จะพูดอะไร แค่ดีใจที่มีกันและกันเสมอ” 

งานเยอะ ทำงานหนักมาก เวลาพักผ่อนไม่ค่อยมี?

“ผมถ่ายซีรีส์ ออกอีเวนต์ อัดเพลงด้วย ซ้อมคอนเสิร์ตด้วย เรานอนน้อยมากๆ กลายเป็นไม่สบาย กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผมกระพริบตาถี่มาก กล้ามเนื้อกระตุก มีงานถ่ายสายตา สู้กับไฟทุกอัน ช่วงคอนเสิร์ตพอดี เราต้องถ่ายรูปเป็นพันๆ รูป มันก็ค่อนข้างหนักมาก”

วันที่ประสบความสำเร็จ แต่กลับต้องสูญเสียคุณพ่อตลอดกาลจากอุบัติเหตุ?

“ตอนนั้นช็อก เป็นเรื่องไม่คาดคิดกับการที่เราสูญเสียใครสักคนจากอุบัติเหตุ แล้วมีเรื่องเข้ามาหลายเรื่อง เกิดอะไรขึ้น ต้องทำอะไรต่อ และจะเป็นยังไงต่อไปบ้าง ป๊าเป็นคนที่มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบค่อนข้างเยอะเหมือนกัน มันกลายเป็นเราแล้ว เราจากเป็นลูกก็ต้องกลายเป็นช้างเท้าหน้าไปเลย สิ่งที่น่าเสียดายคือสิ่งที่เราเตรียมไว้ให้คุณพ่อคุณแม่ เพราะจริงๆ ปีนั้นป๊ากับม๊าจะเล่นงิ้วปีสุดท้ายแล้ว เขาเตรียมแขวนนวมแล้ว เตรียมออกมาใช้ชีวิตแล้ว น่าเสียดายตรงที่เขาทำงานหนักเพื่อเรามา 45 ปี เหมือนเขาปลูกต้นไม้มากำลังจะได้กินผลแล้ว แต่เขาไม่ได้อยู่กิน”

 ก่อนเกิดอุบัติเหตุ ได้คุยได้ชื่นชมกับความสำเร็จเรามั้ย?

“ป๊าอยู่ทันช่วงประสบความสำเร็จของเรา ป๊าก็อยู่ตั้งแต่วันที่เราล้มลุกคลุกคลานมาจากจีน เขาบอกว่ากลับบ้านนะลูก ยังโชคดีที่เขายังได้เห็นเราในหลายๆ อันแล้ว”

วันทราบข่าว ตอนนั้นทำอะไรอยู่?

“อยู่ชายแดนไทย-พม่าครับ ไปดูค่ายทหาร”

 คุณพ่อได้รับหนังสือจากกระทรวงวัฒนธรรมเพื่อพิจารณาเป็นศิลปินแห่งชาติด้วย ณ ตอนนั้น?

“ใช่ สาขาศิลปะพื้นบ้าน เราก็แบบ ป๊าไม่เห็นเล่าให้เราฟังเลย มันน่าเสียดาย ในงานศพป๊า คนมาเยอะมาก คนในวงการงิ้ว ทุกคนชื่นชมป๊าหมดว่าเขาคือบุคลากรที่มีคุณภาพ เขาทำทุกอย่าง เขารู้ทุกเรื่องจริงๆ แล้วรู้ลึก เขาเป็นตัวจริง เราเสียดายป๊าในฐานะพ่อ แต่คนก็เสียดายเขาในฐานะคนที่มีคุณค่า แต่มันก็หลายอย่าง ความโชคดีของผมคือผมไม่ได้เสียใจเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่ได้เกิดมากับเขา เพราะว่าประโยคสุดท้ายที่เราคุยกัน คือป๊าทำบุญให้เรา ในแชต เราก็ส่งเซลฟี่ไปให้ อันนี้คือสิ่งที่สอนเราเลย ที่ผมไม่เศร้าสุดๆ ในชีวิต เพราะว่าผมแสดงความรักกับคุณพ่อคุณแม่ตลอด เขารับรู้ว่าเรารักเขา รับรู้มาเสมอว่าลูกคนนี้โตมาได้ใคร” 

ตั้งแต่เสียคุณพ่อ ไปไหนมาไหนพาคุณแม่ไปด้วยตลอด?

“ใช่ครับ เพราะป๊ากับม๊าอยู่ด้วยกันตั้งแต่อายุอายุ 20 ไม่เคยแยกจากกันสักวัน ประโยคที่เสียใจกับม๊าที่สุด คือม๊าขับรถไม่เป็นด้วยซ้ำ มีอะไรป๊าทำให้หมด มันคือสิ่งที่เราวาดฝันไว้เลยว่า เราเตรียมอะไรไว้ให้หมดแล้ว ป๊ากับม๊าจะมีความสุขแล้ว แต่ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว เรื่องราวเป็นแบบนี้ก็เป็นแบบนี้”

ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว?

“2 ปีแล้วครับ อยากบอกป๊าว่า ป๊าไม่ให้เลขลูกมาเลยนะครับ ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว  ยังแซวกับหม่าม้าว่านี่ตั้งแต่ส่งขึ้นสวรรค์ไปแล้วไปลับเลย ผมก็คุยเล่นกับหม่าม้า ไม่อยากให้เครียด ม๊าบอกว่าคิดถึงป๊าว่ะ เราก็บอกว่าตอนม๊าเผากงเต็กไป ม๊าส่งแม่บ้านไป เขาไปตกหลุมรักแม่บ้านในกงเต็กหรือเปล่า (หัวเราะ) เพราะมีตุ๊กตาเผาไปด้วย เขาเลยไม่ลงมา ม๊าบอกถ้าลงมาจะด่า เราก็เลยบอกว่านี่ไง ม๊าจะด่าป๊า ป๊าเลยไม่กล้ามาแล้ว เป็นฟีลรักและคิดถึงตลอด แต่เขาอยู่ในหัวใจเราแล้ว เรารู้ว่าคุณค่าที่เขาส่งมาให้เราคืออะไร มันเลยไม่ได้รู้สึกว่าเขาหายไปแล้ว หายไปเลย”

 เล่นขลุ่ยจีนคิดถึงป๊า?

“ใจลึกๆ ไม่ค่อยกล้าฟังดนตรีอะไรพวกนั้นสักเท่าไหร่ เพราะมันทำให้เราคิดถึงมากๆ”

เขาไม่มาเพราะเราทำงานร่ำรวยแล้ว?

“มีช่วงนึงเหมือนกันนะ เคยฝันครั้งนึง มันยิ่งใหญ่มาก อเมซิ่งมาก ตอนนั้นฝันว่าเรากลับไปอยู่ในบ้านเก่า ประตูก็เปิด เราเห็นป๊าเตะเรา เราก็ถามว่าป๊าเตะเราทำไม เราก็เตะป๊ากลับ แล้วสักพักก็กลับไปอยู่ในความเงียบ เป็นความอบอุ่นที่รู้สึกได้ แล้วก็กอดกัน แล้วก็จบแค่นั้นเลย ยิ้ม หลังจากป๊าเสียไป 3 หรือ 6 เดือน นานเหมือนกัน เราพยายามเชื่อเรื่องพวกนี้ว่ามันจะกลับมาเจอกันบ้างมั้ย หรือแค่ได้รู้ว่าเห็นอยู่ก็โอเคแล้ว มันเป็นยังไง เราไม่เคยสัมผัสประสบการณ์แบบนั้น แต่พอเจอแบบนี้ จริงหรือไม่จริงไม่รู้ มันเป็นความรู้สึกข้างในลึกๆ ที่ตอบตัวเองได้ว่า เราจากกันด้วยความสุข และยังมีกันอยู่ข้างในเสมอ ก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว”

ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow วันและเวลาใหม่ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.30-12.30 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top