วันอาทิตย์ ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
กับบทบาทที่ท้าทายความสามารถ จนต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพราะอยากถ่ายทอดออกมาให้ทุกคนเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครจริงๆ “ฟ้า-ษริกา สารทศิลป์ศุภา” นักแสดงนำหญิงหนึ่งเดียวในดงชายล้วนของภาพยนตร์ส่งท้ายปีสุดยิ่งใหญ่ “มือปืน” จากฝีมือของผกก. สุดปัง “พุฒิ-พุฒิพงษ์ นาคทอง”
เริ่มต้นกับการรับบทในเรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง ?
“เรารับบทชื่อ “ทราย” เป็นแฟนของ “เพชร” ที่เป็นมือปืน ณ ช่วงเวลาในไทม์ไลน์ของเรื่องมีความจำเป็นต้องเข้ากรุงเทพมาทำงานกับอาชีพเด็กเลาจ์”
ในเรื่องนี้มีความยากง่ายยังไงบ้าง ?
“ก็ยากนะคะ ด้วยไทม์ไลน์มันเป็นช่วงเรื่องราวในปี 2542 มันก็ย้อนยุคหน่อย มันก็ยากนะ อย่างเช่นอาชีพเด็กเลาจ์ มันก็จะมีระบบระเบียบในการทำงานในยุคนั้น เราก็ได้มีการรีเสิร์ชถึงอาชีพนี้ จริงๆ แล้วก็มีการเรียนยิงปืนด้วยเพื่อความปลอดภัย เพื่อเซฟตัวเอง เพราะว่าถ้าต้องจับปืนเข้าฉาก มันก็ต้องมีความระมัดระวังตัวและความปลอดภัยไปด้วย ก็เรียกว่าเป็นการทำการบ้านเยอะมาก มันจะมีเรื่องความสัมพันธ์เยอะ เรียกว่าเป็นเหยื่อของความสัมพันธ์ของคนอื่น”
ได้ร่วมงานกับผู้กำกับคนนี้(พี่พุฒิ) ครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง ?
“เป็นการร่วมงานครั้งแรก แต่เราเจอกันมาหลายครั้งแล้วในข้างนอก เราเคยได้ยินว่าการทำงานของเขาเป็นผู้กำกับที่ทำงานแบบไหน เราก็เลยโอเค ค่อนข้างสบายใจว่าเค้าเป็นคนที่เปิดรับและชอบพัฒนาตัวละครไปกับนักแสดง เราก็จะมีโอกาสได้คุยกับเขาเยอะก่อนจะถ่ายทำ แต่สุดท้าย เขาก็จะมีภาพชัดเจนว่าต้องการอะไร หรือเวลาเขาเขียนบทไปแล้ว คาแรกเตอร์ของตัวละครจะเป็นประมาณไหน เราต้องพยายามคุยกับเขาเพื่อให้ภาพมันตรงกัน แต่เวลาเรามีปัญหาเราก็จะคุยกับเขาและทำความเข้าใจเหมือนกัน พอได้พูดคุยแล้วมันก็ทำงานง่ายขึ้น”
ทำความเข้าใจตัวละครนี้ยังไงบ้าง ?
“คือเราเป็นคนที่เริ่มจากบท เราก็อ่านก่อนว่าเขาจะพูดจายังไง ทุกคนจะมีสำเนียงตัวเองจากวิถีชีวิตของแต่ละคน เราก็จะดูว่าเขาคุยกันยังไง พูดจากันยังไง หรือเรื่องการใช้ชีวิตของเขาเป็นยังไง มันก็จะเป็นการสื่อความเป็นคนได้ บางทีเราจะมีคำถามเยอะ ถ้าเราไม่เข้าใจมีความสงสัยว่าทำไมเขาต้องพูดแบบนี้ ทำไมทำแบบนี้ ทำไมตัดสินใจมาเป็นแฟนมือปืน แต่ในสถานการณ์นั้นเราต้องไปสร้างแบคกราวน์ให้กับทุกการกระทำ เพราะมันสำคัญมาก แม้ความสัมพันธ์กับตัวของ “ทราย กับ เพชร” และตัวละครทุกตัวที่อยู่ในนั้น ซึ่งมันอาจจะไม่ได้เล่า แต่เราก็ต้องรู้เพื่อที่จะมีแบคกราวน์และสร้างความทรงจำร่วมกัน การเจอหน้ากันหรือพึ่งมาเจอกัน จริงๆ มันเป็นการสร้างแบคกราวน์เพื่อที่จะมาประกอบให้เป็นตัวละครที่เขาอยากได้”
ตัวละครนี้ให้อะไรกับเราบ้าง ?
“เราว่ามันได้เรียนรู้เรื่องของความเข้มแข็ง เพราะว่าตัวละคร “ทราย” เขาเข้มแข็งมาก ถึงแม้ว่าในเรื่องเขาจะแตกสลายมากในหลายฉาก แต่ถ้าคนได้ดูก็จะเห็นว่าทำไมเขาถึงแตกสลายและเลือกแบบนั้น แต่ถ้าเราเป็นเพื่อนเขาเราจะบอกว่าออกมาอย่าใช้ชีวิตแบบนั้นเลย เธอไม่ควรจะต้องเจออะไรแบบนี้ แต่หลายครั้งตัว “ทราย” ตัดสินใจทำอะไรไปด้วยความรัก ไม่ใช่แค่รักตัวเองแต่เป็นการรักคนคนหนึ่งและไม่มีทางเลือกและเขาเลือกปกป้องตัวเองด้วยการสร้างเกาะหรือสร้างอะไรอย่างหนึ่งเพื่อป้องกันตัวเอง ซึ่งเขาเข้มแข็งมาก การตัดสินใจของเขามันอาจจะไม่สมเหตุสมผลเลย แต่สำหรับเราเขาเลือกที่จะพูดและทำออกไปในชีวิตของเขา คือเขาแข็งแรงมาก”
ความเข้มแข็งของเรากับตัวละครมันประมาณไหน ?
“ก็คือต่างกันเยอะมาก ต่างกันเยอะเลย เพราะว่าจิตใจเขาเข้มแข็ง แม้สภาพร่างกายเขาอาจจะไม่ได้ แต่ถ้าผู้หญิงคนนึงเจอสถานการณ์แบบ “ทราย” และได้ดูในหนัง ถ้าจินตนาการว่าต้องเจอชีวิตแบบนั้น มันคือยากมากกับทางเลือกในการใช้ชีวิต เพราะมีน้อยแล้วทางเลือกในการตัดสินใจหรือความรู้สึกมันแทบจะไม่มีทางเลือก คือมันค่อนข้างหนักที่จะเจอ และมันไม่ปกติด้วยทั้งอาชีพมือปืนการเป็นเด็กเลาจ์ และมีคนตายรอบตัวซึ่งมันไม่ปกติ”
มีใครแนะนำไหม ต้องเข้ามาร่วมงานกับทีมนี้ ?
“ก็มี “พี่นัท(ณัฏฐ์ กิจจริต)” อาจจะไม่ได้แนะนำมาก แต่เขาก็จะบอกเหมือนเป็นคนกลางมากกว่า เพราะว่าอย่างตอนแรกเขาอาจจะไม่ได้คุยกับเราโดยตรงแต่คุยผ่านทางพี่นัท แต่พอเจอกันในช่วงเวิร์คช็อปก็คือคุยกันได้เลย อะไรที่สงสัยก็จะมีการทำการบ้านมีการคุยได้เลยช่วงหลัง”
การร่วมงานกับกองถ่ายนี้เป็นยังไงบ้าง ?
“ทีมงานน่ารักมาก ทุกคนเรียกว่าเหมือนเป็นเพื่อนพี่น้องที่เห็นหน้ากันมานาน คือเราสบายใจที่จะอยู่กับการทำงานกับพวกเขา ที่จริงอาจจะเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้อาจจะไปเจอกันข้างนอก จะมีความคุ้นเคยกันบ้าง ก็เลยไม่มีความเกร็งเท่าไหร่”
ประทับใจอะไรบ้าง กับหนังเรื่องนี้ ?
“ความประทับใจก็คือ ความเป็นกันเองของทุกคน มันทำให้เรากล้าแสดงออก กล้าพูดกล้าทำ กล้าแสดงความคิดเห็นกับตัวละคร มันสามารถแชร์ความคิดได้และเขาก็รับฟังและเขายินดีที่จะปรับหรือช่วยเหลือเรา เพราะสุดท้ายแล้วมันต้องทำออกมาให้ตรงกับทางผู้กำกับเขาต้องการมากที่สุด ซึ่งต่างคนก็ต่างแชร์กับทีมนักแสดงและทีมงาน การได้คุยกันมันก็ถือว่าดี”
ผู้ชมจะได้รับอะไรจากเรื่องนี้บ้าง ?
“แค่อยากจะให้เขาได้ไปคุยกันต่อว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งในหนังและเรื่องที่เขาคิดว่าที่มันมาจากประสบการณ์ หรือมีเรื่องคุยกับเพื่อนสนุกๆ ว่าทำไมมันเกิดแบบนั้นแบบนี้ เพราะเราตั้งใจวางเรื่องแบบนี้ เพื่อต้องการให้เขามีความแสดงความคิดเห็น และเรียนรู้ชีวิตของคนคนหนึ่งในอาชีพนี้”
และอีกหนึ่งหนุ่มกับคำว่าครั้งแรกจากภาพยนตร์เรื่อง “มือปืน”(2568) “อาร์-อรรถกร บุญเพ็ง” นักแสดงชายที่ผันตัวจากงานเบื้องหลังมาสู่งานเบื้องหน้าแบบตัวเต็มและเป็นครั้งแรก กับพาร์ทการแสดงแบบเต็มตัว
อยากให้พูดถึงคาแรกเตอร์ตัวละครในเรื่องนี้ ?
“ตัวละครที่รับในเรื่องนี้ชื่อ “สำลี” ก็เป็นคนที่อยู่ในแกงค์มือปืน แต่เด็กสุดจะเป็นน้องของ “พี่แหลม กับ พี่เฟย” หน้าที่หลักๆ คือคนขับรถพาพวกเขาไปทำภารกิจต่างๆ แล้วพอเสร็จภารกิจก็จะพาพวกเขาขับรถกลับมาที่กบดานอย่างปลอดภัย เรื่องนี้คือตื่นเต้นมากเป็นการรับบทที่ต้องเล่นจริงจังเป็นเรื่องแรก เพราะปกติเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของพี่พุฒิอยู่แล้ว ก็จะมีออกมาอย่างละนิดละหน่อย แต่พอมาเรื่องนี้รับบทเต็มตัว ตื่นเต้นมากๆ แล้วก็ยากมาก”
จากเบื้องหลังสู่เบื้องหน้าเป็นยังไงบ้าง ?
“คือมันอาจจะได้เปรียบนิดนึง เพราะว่าเราอยู่เบื้องหลังมันจะรู้ Process ว่ามีอะไรบ้าง แต่พอเอาเข้าจริงต้องมาแสดงเอง มันมีดีเทลเยอะยิ่งกว่าเราทำเบื้องหลัง คือต้องมีการเข้าเวิร์คช็อปการแสดงการไปฝึกยิงปืน แล้วก็ต้องไปแชร์ไอเดียกับผู้กำกับและนักแสดงท่านอื่น เพื่อให้รู้ว่าการตัดสินใจหรือการกระทำของตัวละครมันเมคเซ้นส์และมันเข้ากับแบคกราวน์ของตัวละครยังไง”
มันเข้าถึงตัวละครยากไหม ?
“ในส่วนของบท “สำลี” ถ้าพาร์ทสนุกสนานตลกก็ไม่ได้หนีตัวเราไปเยอะ เพราะเราเป็นคนขี้เล่น ชอบแกล้งคนอื่น ชอบเล่นมุก ก็ใกล้เคียง แต่ความยากคือพาร์ทที่มันหนักๆ คือพาร์ทตัดสินใจอะไรยากๆ หรือว่าดราม่า อันนี้ยอมรับว่าไกลตัวเหมือนกัน ก็พยายามทำการบ้านแล้วก็พยายามทำแบบเต็มที่”
ได้ทำการบ้านยังไงบ้างกับเรื่องนี้ ?
“ก็ไปสร้างแบคกราวน์ตัวละครแล้วก็ไปแชร์ความคิดกับทางพี่พุฒิ พอเรามีแบคกราวน์มันก็จะง่ายขึ้นในแง่ของการเล่นหรือประโยคต่างๆ ที่เราต้องพูด หรือการตัดสินใจต่างๆ ที่เราจะทำ เพราะสิ่งที่ทำมันส่งผลต่อไปเหตุการณ์หลังจากนี้ เพราะว่าถ้าเราเก็ทตรงนี้แล้วมันก็จะรู้สึกได้ว่าการตัดสินใจทำแบบนี้เพราะอะไร เขาคิดอะไรเขาทำสิ่งนี้เพื่ออยากได้อะไรกลับมา ก็คือหาเหตุผลของตัวละคร”
กดดันไหม กับการมาเล่นเรื่องนี้ ?
“กดดันมาก กดดันจริงๆ เพราะว่าถ้าการมาเล่นจริงๆ ดีเทลมันเยอะมาก ความยากอีกอย่างหนึ่งคือเราเป็นเบื้องหลังมาก่อนแล้วพอเราไปเล่นเอง เวลาเงยหน้าขึ้นมาสายตาที่เราเห็นคือพี่น้องของเราหมดเลย แล้วก็ต้องพยายามตัดตรงนั้นเพื่อที่จะไม่ให้เสียสมาธิ เป็นความยากอีกเรื่องหนึ่งเหมือนกัน แรกๆ ก็พยายามปรับอยู่ประมาณหนึ่ง แต่พอได้เริ่มกระบวนการถ่ายทำไปก็เริ่มโอเคเริ่มจูนตัวเองได้มากขึ้น เพราะว่าถ้าเป็นซีนปกติ ถ้าจะหลุดมากที่สุดก็จะหลุดกับพี่พุฒิ เพราะว่าบางทีไปโดนเส้นเขามันก็จะขำออกมา เราก็จะถามว่าได้ไหม แล้วยังไงต่อ ซึ่งเขาจะเป็นคนที่หลุดง่ายจริงๆ”
ตัวละครนี้ให้อะไรกับเราบ้าง ?
“ทำให้เรามีสติมากขึ้น คือพาร์ทที่สนุกสนานมันใกล้เคียงกับตัวเรามันก็คือเหมือนเราใช้ชีวิตง่ายๆ จนบางทีเราไม่ได้นึกถึงความเฟิร์สเคสอะไรบางอย่าง แต่พอเราเป็นตัวละคร “สำลี” มันทำให้เราได้เห็นสถานการณ์อะไรมากขึ้นและเหตุการณ์อะไรบางอย่าง หรือว่าเราเจอเหตุการณ์ที่มันต้องตัดสินใจยากจริงๆ เราควรจะต้องมีสติมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะต้องทำมันออกมาให้ได้ดีแค่ไหนคิดว่าเป็นเรื่องนี้”
ติดใจกับการมาลุยงานเบื้องหน้าไหม ?
“ก็ติดใจครับ สนุกครับ เพราะเรารู้สึกว่าการแสดงอ่ะ มันขึ้นชื่อที่มันจะไม่ได้เป็นตัวเอง เพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่าเราตื่นมาจะได้เป็นใคร จะได้เป็นตัวละครที่อยู่ในตัวหนังสือที่เราเขียนมาไหม แต่เราต้องมาถ่ายทอดตัวหนังสือเหล่านั้นออกมาเป็นภาพและเสียง ก็รู้สึกสนุกก็ถ้ามีโอกาสเข้ามาอีกก็อยากจะชาเลนท์ตัวเองเหมือนกัน”
มีการติดคาแรกเตอร์ตัวละครออกมาไปบ้างไหม ?
“ถ้าติดคาแรกเตอร์ออกมาอาจจะไม่มี แต่ถ้าติดออกมาคือความนอยด์มากกว่า อย่างเช่นบางทีเราถ่ายไปแล้วเรารู้สึกว่ามันน่าจะทำได้ดีกว่านี้ เราก็จะเก็บมาคิดว่าทำไมตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น เราน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ทางพี่พุฒิเขาจะบอกว่าทำได้แล้ว ซึ่งเราจะไปถามกับคนอื่นนะ เขาก็บอกประมาณนี้แหละ ขัดกับสิ่งที่เรามองตัวเองแล้วคิดว่าถ้าเราไปได้อีกนิดนึงมันก็จะดีมากกว่านี้ มันจะติดค้างในเรื่องแบบนี้มากกว่า”
พูดถึงความประทับใจของกองนี้หน่อย ?
“ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องที่มันเป็นซีนใหญ่ ที่ใช้คนเยอะๆ อย่างฉากรำวงที่ให้ชาวบ้านบริเวณนั้นมาร่วมด้วย คนเยอะมากประมาณ 600 คนได้ ก่อนจะเข้าฉากเราก็ไม่ต้องบรีฟอะไรเยอะเลย ให้บอกว่าเหมือนมาเที่ยวงานวัดทุกคนก็เป็นธรรมชาติหมดเลย ส่วนตัวเราคิดว่ามันต้องยากแน่ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าวันนั้นมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่เรากลัว ทั้งที่ทีมงานกับเราก็โตมาพร้อมกัน ก็ถือว่ามีประสบการณ์มากขึ้น ซึ่งก็ผ่านตรงนั้นมาได้ด้วยการบริหารจัดการได้ค่อนข้างโอเคเลย อันนี้คือสิ่งที่ประทับใจ”
สุดท้ายฝากหนังเรื่องนี้หน่อย ?
“ก็ขอฝากหนังเรื่องมือปืนด้วยนะครับ 27 พฤศจิกายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ คิดว่าทุกคนจะได้ความบันเทิงและได้ข้อคิดอะไรบางอย่างกลับบ้าน และอาจได้มีการกลับมาพูดคุยกับเพื่อนๆ ในโซเชียล ฝากติดตามกันในโรงภาพยนตร์ด้วยนะครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี