เบรุต/ตูนิส (เอพี/รอยเตอร์/บีบีซี นิวส์) – กลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส อ้างความรับผิดชอบเหตุโจมตีพิพิธภัณฑ์แห่งชาติตูนิเซีย ทำนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิต 20 คน ระบุว่าเป็นเพียงฝนหยดแรก ด้านตูนิเซียจับกุมผู้ต้องสงสัยเพิ่ม 9 คน พร้อมวางกำลังรักษาความปลอดภัยทั่วประเทศ

กลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส ออกมาอ้างความรับผิดชอบเหตุกลุ่มมือปืนบุกกราดยิงนักท่องเที่ยวต่างชาติในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ของตูนิเซีย เมื่อวันพุธที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการโจมตีโดยกลุ่มติดอาวุธที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในตูนิเซียในรอบ 13 ปี และยังระบุด้วยว่า การโจมตีดังกล่าวเป็นเพียงฝนหยดแรกเท่านั้น ซึ่งมีนัยของการข่มขู่ว่าจะก่อเหตุโจมตีตูนิเซียเพิ่มอีก

ส่วนยอดผู้เสียชีวิตที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติสรุปล่าสุด มีทั้งหมด 20 คน จาก 7 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น อิตาลี สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยียม และโคลัมเบีย จากยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมด 23 คน โดยอีก 3 คน เป็นชาวตูนิเซีย และพบตัวนักท่องเที่ยว 2 สามีภรรยาชาวสเปนที่สูญหายแล้ว โดยทั้งสองรอดชีวิตเพราะหลบซ่อนตัวอยู่ตลอดทั้งคืนภายในพิพิธภัณฑ์ที่เกิดเหตุนั้นเอง

ด้านรัฐบาลตูนิเซียระบุว่า มือปืน 2 คน ที่ก่อเหตุและถูกตำรวจตูนิเซียยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุนั้น ถูกฝึกในลิเบีย โดยทั้งสองเดินทางออกนอกประเทศโดยผิดกฎหมายเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เพื่อไปยังลิเบีย และได้รับการฝึกใช้อาวุธก่อนเดินทางกลับมายังตูนิเซีย นายยาสซีน อบิดีน หนึ่งในสองมือปืนดังกล่าวเคยถูกจับกุมก่อนเดินทางไปยังลิเบียและกลับมาก่อเหตุโจมตีพิพิธภัณฑ์ นับเป็นเหตุรุนแรงที่สุดในตูนิเซียนับตั้งแต่เมื่อปี 2554 ที่เกิดเหตุจลาจลโค่นอำนาจนายซีน เอล อบิดีน เบน อาลี เหตุร้ายครั้งนี้ ทำให้ตูนิเซียต้องสั่งเพิ่มการรักษาความปลอดภัย โดยส่งทหารไปประจำตามเมืองสำคัญๆ หลังจากจับกุมผู้ต้องสงสัย 9 คน

ขณะเดียวกัน ชาวตูนิเซียจำนวนมากชุมนุมที่หน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติบาร์โดที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ภายในบริเวณเดียวกับรัฐสภาตูนิเซียในกรุงตูนิส โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติชาวอเมริกัน เข้าร่วมการชุมนุมด้วย และทางพิพิธภัณฑ์ได้เปิดประตูให้ผู้ประท้วงเข้าไปภายในเพื่อจุดเทียนและวางดอกไม้อาลัยผู้เสียชีวิต โดยสภาพภายในพิพิธภัณฑ์ยังเห็นคราบเลือดและร่องรอยความเสียหายที่เกิดจากการถูกโจมตี

ทางการตูนิเซียระบุว่า มีชาวตูนิเซียมากถึง 3,000 คน เดินทางไปยังอิรัก ซีเรีย และลิเบีย เพื่อร่วมต่อสู้กับกลุ่มไอเอส ทำให้เป็นที่วิตกว่าบุคคลเหล่านั้นอาจเดินทางกลับประเทศเพื่อก่อเหตุโจมตี