"ปูติน"ต่อสายตรงผู้นำอิหร่านประกาศเตือนสหรัฐ-อังกฤษ-ฝรั่งเศส ถ้าไม่หยุดใช้กฎหมู่กับซีเรียโลกจะปั่นป่วนวุ่นวายแน่นอน ซัดเป็นการกระทำละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ขัดกฎบัตรยูเอ็น ด้าน”ทรัมป์”ยันภารกิจสำเร็จสมบูรณ์แบบเล็งประกาศมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มโทษฐานหนุนใช้อาวุธเคมี
ความคืบหน้าสถานการณ์ความตึงเครียดในสงครามซีเรียหลังสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส เปิดปฏิบัติการโจมตีซีเรียโดยเชื่อว่ามีการผลิตและใช้อาวุธเคมี แม้รัฐบาลซีเรียจะออกมาปฎิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่น ก็ไม่เป็นผล ทำให้สถานการณ์ทั้งโลกตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง เกรงเป็นชนวนขัดแย้งนำไปสู่สงครามโลก อย่างที่หลายฝ่ายวิตกนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 16 เมษายน ทำเนียบเครมลินของรัสเซียเผยแพร่แถลงการณ์การสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย กับประธานาธิบดีฮัสซัน โรฮานี ผู้นำอิหร่าน ซึ่งผู้นำทั้งสองประเทศเห็นพ้องกันว่าปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส ที่เกิดขึ้นในซีเรีย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น คืออาชญากรรมทางทหาร และเป็นการรุกรานอธิปไตยของรัฐหนึ่งอย่างชัดเจนที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นในกรณีของซีเรียจะส่งผลให้กระบวนการคลี่คลายความขัดแย้งด้วยวิธีการทูต และการเมืองต้องถอยหลังมากขึ้นไปอีก
ประธานาธิบดีปูตินกล่าวด้วยว่า หากกลุ่มประเทศตะวันตกยังคงไม่ยุติพฤติกรรมละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ(ยูเอ็น)เช่นนี้ต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะต้องวุ่นวายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับประธานาธิบดีโรฮานีซึ่งกล่าวว่า ปฏิบัติการโจมตีที่เกิดขึ้นบ่งชี้เจตนาอย่างชัดเจนของสหรัฐและประเทศตะวันตกบางแห่ง ซึ่งไม่ต้องการให้สันติภาพเกิดขึ้นในซีเรีย
ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐทวิตข้อความยืนยันการโจมตีซีเรียว่า ถือเป็นภารกิจที่ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ และแม่นยำ มีความหมายยิ่งใหญ่ ในกรณีปฎิบัติการทางทหาร สมควรถูกนำมาใช้ต่อไปในอนาคต พร้อมตำหนิสื่อที่ชอบปล่อยข่าวลวงเท่านั้น ที่จะลดทอนคุณค่าความหมายของคำว่า ภารกิจสำเร็จลง
อย่างไรก็ตามคำยืนยันของผู้นำสหรัฐครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังมีสื่อต่างประเทศนำไปเปรียบเทียบกับคำประกาศเช่นเดียวกันของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช หลังสิ้นสุดสงครามอิรักเมื่อปี 2546 จนกลายเป็นวลีที่ถูกนำมาล้อเลียนอดีตประธานาธิบดีบุชมาตลอด
ขณะที่นางนิกกี เฮลีย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสหรัฐประจำสหประชาชาติ ให้สัมภาษณ์ว่า สหรัฐเตรียมประกาศมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่อรัสเซีย ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการที่รัสเซียให้การสนับสนุนรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อาซาด ของซีเรียใช้อาวุธเคมี โดยสาระสำคัญของมาตรการคว่ำบาตรที่กำลังจะประกาศนี้ พุ่งเป้าไปที่บริษัทใดก็ตาม ที่ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการขายอุปกรณ์รวมถึงอาวุธเคมีให้รัฐบาลซีเรีย
ส่วนโฆษกทำเนียบขาวกล่าวย้ำว่า ปฏิบัติการโจมตีร่วมระหว่างสหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังซีเรียและรัสเซียว่าสหรัฐจะไม่ยอมให้ใครแพร่กระจายอาวุธเคมี
ด้านที่ประชุมสันนิบาตอาหรับซึ่งมีการประชุมกันที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ขอเรียกร้องให้มีการสอบสวนระหว่างประเทศอย่างอิสระกรณีการใช้อาวุธเคมีโจมตีในซีเรีย พร้อมประณามการกระทำดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่าเป็นการก่ออาชญากรรม
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังได้ประณามอิหร่านที่เข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอาหรับอื่นๆ ทั้งการยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งทางด้านนิกาย หรือการส่งกลุ่มติดอาวุธเข้าไปในชาติอาหรับอื่นๆ รวมทั้งยังให้ที่พักพิงแก่ผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะห์
ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบียและชาติพันธมิตรแสดงท่าทีสนับสนุนการโจมตีซีเรียเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ขณะที่อิรักและเลบานอนประณามการกระทำดังกล่าว
ขณะเดียวกันองค์การเพื่อการห้ามใช้อาวุธเคมี หรือ OPCW ประชุมที่กรุงเฮก เพื่อหารือการใช้อาวุธเคมีโจมตีในซีเรีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 60 คน บาดเจ็บนับพันคน
ทั้งนี้ ยังไม่มีสัญญาณว่าเจ้าหน้าที่สอบสวนของ OPCW ที่เดินทางไปยังซีเรีย จะเข้าตรวจสอบในเมืองดูมาเมื่อไร แต่คาดว่าการทำงานจะพบความเสี่ยงว่าหลักฐานต่างๆ อาจถูกทำลาย เพราะกองกำลังซีเรียและรัสเซียได้เข้ายึดพื้นที่ไว้ รวมถึงมีแรงกดดันจากชาติมหาอำนาจตะวันตกที่อ้างว่ามีการใช้อาวุธเคมีจริง จนนำไปสู่การโจมตีซีเรียด้วยขีปนาวุธกว่า 100 ลูก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี