7 พ.ค. 2562 สำนักข่าว BBC ของอังกฤษ เสนอรายงานพิเศษ “How Brazil's culture wars are being waged in classrooms” โดยระบุว่า สถานการณ์ความรุนแรงจากปัญหายาเสพติด ทำให้ทางการบราซิลมีนโยบายให้ตำรวจเข้าไปดูและความสงบเรียบร้อยในโรงเรียนต่างๆ รวมถึงปรับทัศนคตินักเรียนด้วยวินัยแบบกองทัพ อาทิ ที่ศูนย์การศึกษา 308 ในกรุงบราซิเลีย ร.ต.ท.มาริโอ วิเตอร์ บาร์บอซา มากัลเฮส (Lt.Mario Vitor Barbosa Magalhaes) เป็นผู้กล่าวคำพูดปลุกใจในการเข้าแถวเคารพธงชาติช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน
เดโบรา โรดริเกส ซาเลส (Debora Rodrigues Sales) รองครูใหญ่ของโรงเรียนซึ่งสอนหนังสือมา 20 ปี เล่าว่า ในโรงเรียนจะแบ่งหน้าที่กันโดยตำรวจทำหน้าที่กวดขันระเบียบวินัยส่วนครูเป็นผู้สอนหนังสือ ซึ่งหากย้อนไปเพียงไม่กี่เดือนก่อน ผู้คนจะสามารถเห็นคนของแก๊งค้ายาเสพติดในบริเวณรั้วโรงเรียนได้บ่อยกว่าตำรวจ โดย เดโบรา ชี้ให้ดูร่องรอยกระสุนปืนจากเหตุยิงกันเมื่อเร็วๆ นี้ และนั่นทำให้ประชาชนเรียกร้องขอให้ตำรวจเข้ามาช่วย
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ในบราซิลมีโรงเรียนซึ่งมีลักษณะการฝึกอบรมวินัยแบบกองทัพอยู่ราว 120 แห่งทั่วประเทศ แต่ประธานาธิบดีคนล่าสุดที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2561 อย่าง ชาอีร์ โบลโซนาโร (Jair Bolsonaro) ซึ่งเป็นอดีตนายทหารยศร้อยเอก ผู้ให้สัญญากับประชาชนว่าจะแก้ไขปัญหาความรุนแรงในประเทศ มีแนวคิดเพิ่มจำนวนสถาบันการศึกษาลักษณะดังกล่าวให้มากขึ้น
ศูนย์การศึกษา 308 เป็น 1 ในโครงการนำร่องที่ให้ตำรวจกับครูทำงานร่วมกัน ตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มจำนวนจาก 4 เป็น 40 แห่งภายในสิ้นปี 2562 และเป็น 200 แห่งภายใน 4 ปีก่อนที่ ปธน.โบลโซนาโร จะครบวาระดำรงตำแหน่งและมีการเลือกตั้งใหม่ แต่ ซาเลส ยอมรับว่าเพื่อนครูของเธอบางคนตัดสินใจลาออกเพราะไม่พอใจที่เห็นตำรวจเข้ามาอยู่ในโรงเรียน
เมาโร โอลิเวียรา (Mauro Oliviera) เลขาธิการสำนักการศึกษากรุงบราซิเลีย กล่าวถึงข้อถกเถียงเรื่องความเหมาะสมในการให้ตำรวจเข้าไปดูแลความสงบเรียบร้อยในโรงเรียน ว่าวันนี้โรงเรียนมีสภาพที่อ่อนแอ มีปัญหายาเสพติด รวมถึงครูก็ถูกคุกคาม ดังนั้นจึงต้องกลับไปสู่หลักการพื้นฐานที่สุด โดยย้ำว่ากำลังทำตามหลักประชาธิปไตยที่วันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ต้องการให้สถาบันการศึกษามีความปลอดภัยและมีบทบาทในการสร้างวินัยให้กับเยาวชน
แต่อีกด้านหนึ่ง มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ปธน.โบลโซนาโร อาจไม่ได้คิดเฉพาะเรื่องความปลอดภัยสาธารณะเท่านั้น แต่ยังต้องการจัดการกับบรรดา “ครูบาอาจารย์ที่มีแนวคิดฝ่ายซ้าย” (left-wing teachers) ที่สอดแทรกความเชื่อทางการเมืองให้กับลูกศิษย์ในโรงเรียนด้วย อาทิ เมื่อเดือน ม.ค. 2562 ปธน.โบลโซนาโร โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว กล่าวว่าต้องการกำจัด “ขยะมาร์กซิสต์” (Marxist - ลัทธิสังคมนิยม , คอมมิวนิสต์) ในโรงเรียน และย้ำอีกว่าต้องการสร้างพลเมืองไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายทางการเมือง
รายงานของ BBC ระบุถึง 1 ในเป้าหมายที่ ปธน.โบลโซนาโร เคยกล่าวถึง นั่นคือ เปาโล ฟรายเออร์ (Paulo Freire) นักวิชาการด้านการศึกษาที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งของบราซิล ฟรายเออร์เป็นผู้สนับสนุนให้สอนเรื่องการคิดเชิงวิพากษ์ในโรงเรียน โดยในยุคสมัยที่บราซิลปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการทหาร (ปี 2507 - 2528) เขาถูกสั่งจำคุกเป็นเวลาสั้นๆ ซึ่งแม้ว่าฟรายเออร์จะเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปี 2540 แต่แนวคิดของเขายังได้รับการสืบทอดต่อมา ทำให้ ปธน.โบลโซนาโร ต้องการ “ลบคำสอน” ของฟรายเออร์ ออกไปจากระบบการศึกษาของบราซิลให้ได้
มิเกล นาจิบ (Miguel Nagib) ผู้ก่อตั้ง “Escola Sem Partido” ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรียกร้องให้โรงเรียนต้องปลอดจากอุดมการณ์ทางการเมือง กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นต้องโทษอดีตรัฐบาลฝ่ายซ้ายของอดีตประธานาธิบดี ลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา (Luiz Inacio Lula da Silva) และดิลมา รุสเซฟ (Dilma Roussef) ที่ปล่อยให้มีการปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะเมื่อครูแสดงออกเช่นนั้น เท่ากับเป็นการสร้างความไม่สมดุลในระบอบประชาธิปไตย และแม้จะมีครูที่พูดจาสอดแทรกอุดมการณ์ฝ่ายขวาอยู่ในโรงเรียนเช่นกัน แต่ก็มักจะทำงานแบบตามลำพังมากกว่า
นาจิบ อธิบายต่อไปว่า พรรคการเมืองในบราซิลมักมาพร้อมกับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ซึ่งหมายถึงพรรคฝ่ายรัฐบาลที่ปกครองบราซิลตั้งแต่ปี 2546 - 2554 อย่างไรก็ตาม เมาริซิโอ ฟรอนซาเกลีย (Mauricio Fronzaglia) นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Mackenzie Presbyterian (Mackenzie Presbyterian University) เมืองเซา เปาโล ตำหนิท่าทีของรัฐบาลบราซิลที่เห็นว่าสถาบันการศึกษาเป็นที่ปลูกฝังแนวคิดมาร์กซิสต์จึงต้องถูกกำจัด ว่าไม่เป็นความจริง แต่มันเป็นการสนับสนุนผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่างหาก
ยังมีการตั้งข้อสังเกตถึงท่าทีส่งเสริมแนวคิดแบบ “ขวาจัด” (ชาตินิยม , อนุรักษ์นิยม) ของ ปธน.โบลโซนาโร ในระบบการศึกษาอีกหลายประการ เช่น จะทบทวนการสอนเพศศึกษาในโรงเรียน รวมถึงการยกเลิกการพูดคุยถึงสิทธิของคนรักเพศเดียวกัน ความรุนแรงทางเพศและสิทธิสตรี นอกจากนี้ยังสั่งปลด ริคาร์โด เวเลซ (Ricardo Velez) รัฐมนตรีศึกษาธิการ เพราะคัดค้าน ปธน.โบลโซนาโร ที่สั่งให้แก้ไขเนื้อหาตำราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ โดยให้ระบุว่ากองทัพจำเป็นต้องทำรัฐประหารยึดอำนาจในปี 2507 เพื่อปกป้องประเทศบราซิลจากลัทธิคอมมิวนิสต์
แคนดิโด กรันเจโร (Candido Granjeiro) ประธานสมาคมผู้จัดพิมพ์ตำราเรียนของบราซิล กล่าวว่า เมื่อมีความพยายามแก้ไขบันทึกทางการเมือง ความรุนแรงและการกดขี่ ผู้ดำเนินการควรถามความเห็นของสังคมก่อนหรือไม่ นอกจากนี้ยังแสดงความกังวลท่าทีของรัฐบาล ปธน.โบลโซนาโร ที่ระบุว่าต้องการเนื้อหาที่เจาะจงสำหรับกำหนดวิธีการทำสิ่งต่างๆ ซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อนในรัฐบาลชุดที่ผ่านๆ มา
รายงานของ BBC กล่าวปิดท้ายถึงโรงเรียน อโมริม ลิมา (Amorim Lima) ในเมืองเซา เปาโล ที่บรรยากาศการเรียนการสอนแตกต่างออกไป โดยครูทักทายลูกศิษย์ด้วยการจูบ นั่งเรียนกันบนพื้นและผู้เรียนมีอิสระทางความคิด ซึ่ง อนา เอลิซา ซิกวิเอรา (Ana Elisa Siquiera) ครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้ กล่าวว่า ไม่แปลกใจที่มีผู้คนไม่เห็นด้วยกับวิธีการของ ปธน.โบลโซนาโร เพราะรัฐบาลพยายามกำหนดคำสอนและไม่ปล่อยให้มีการคิด อภิปรายหรือถกเถียง คำถามคือแล้วทำไมผู้คนจะต้องเชื่อแต่สิ่งที่รัฐบาลพูดเท่านั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี