เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2562 เว็บไซต์ นสพ.The Guardian ของอังกฤษ เสนอข่าว “Diesel cars emit more air pollution on hot days, study says” ระบุว่า โครงการวิจัย The Real Urban Emissions (True) ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พบการปล่อยก๊าซตระกูลไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล เพิ่มขึ้นร้อยละ 20-30 ในวันที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอากาศในช่วงฤดูร้อนของฝรั่งเศส
งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับอนุญาตจาก แอน ฮิดาลโก (Anne Hidalgo) ผู้ว่าการกรุงปารีส ให้ดำเนินการ โดยใช้เครื่องมือยิงลำแสงส่องสว่างเพื่อวิเคราะห์ไอเสียจากรถยนต์ 180,000 คัน ตลอด 3 สัปดาห์ของฤดูร้อนปี 2561 ทั้งนี้คณะผู้วิจัยเลือกถนน 3 สายในเขต 12 และ 13 ซึ่งไม่ใช่เขตเมืองชั้นใน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก แต่มีบางส่วนเป็นรถโดยสารสาธารณะ มอเตอร์ไซค์และรถบรรทุก
ฮิดาลโก ซึ่งกำลังเตรียมตัวสู่การเลือกตั้งในปี 2563 พยายามหามาตรการลดมลพิษในกรุงปารีส อาทิ การติดสติ๊กเกอร์ระบุปริมาณการปล่อยมลพิษของรถยนต์ทุกคัน และรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพในการลดมลพิษต่ำจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานในเขตเมืองชั้นใน นอกจากนี้ยังคาดหวังว่าในปี 2567 ซึ่งกรุงปารีสจะเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก กรุงปารีสต้องปลอดจากรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลอย่างเด็ดขาด
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า เมื่อ 3 ปีก่อน ผู้ว่าฯ ปารีส ได้ปิดถนนด้านขวาของแม่น้ำแซน ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำให้การจราจรติดขัดและมลพิษย้ายไปที่อื่น ขณะที่ฤดูร้อนปี 2562 พบว่ามีถึง 20 วันที่อุณหภูมิในกรุงปารีสสูงขึ้นไปแตะที่ 30 องศาเซลเซียส พร้อมๆ กับปริมาณมลพิษที่สูงขึ้น จึงต้องเพิ่มมาตรการลดมลพิษ เช่น แบ่งวันใช้รถตามวันคี่-วันคู่ ตามเลขทะเบียนรถ
เชลา วัตสัน (Sheila Watson) ตัวแทนจากสหพันธ์รถยนต์นานาชาติ (FIA Foundation) และ โยอาน เบอร์นาด (Yoann Bernard) ตัวแทนจากสภาระหว่างประเทศว่าด้วยการขนส่งที่สะอาด (International Council on Clean Transportation) กล่าวว่า ผู้ที่อยู่ในกรุงปารีสจะสัมผัสถึงกลิ่นและรสของไอเสียรถยนต์ได้ และอุปกรณ์ทดสอบฟ้องว่าปริมาณมลพิษที่ถูกปล่อยออกมามีมากกว่าเมื่อเทียบตัวเลขการทดสอบจากผู้ผลิต แม้กระทั่งรถรุ่นใหม่ๆ ที่ประสิทธิภาพในการลดมลพิษควรจะดีกว่า ดังนั้นผู้ผลิตรถยนต์จึงควรคำนึงถึงการปล่อยมลพิษในการใช้งานจริงด้วย
แอน เดอกาย (Anne Deguy) นักเขียนที่พักอาศัยและทำงานในกรุงปารีส เปิดเผยว่า ในช่วงที่อยู่ในกรุงปารีส ตนมีอาการน้ำมูกไหลและเปลือกตาบวม อาการเหล่านี้ไม่เกิดเมื่อไปอยู่ในชนบท หรือแม้แต่ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ดังนั้นจึงเชื่อว่าสาเหตุต้องมาจากมลพิษในกรุงปารีสอย่างแน่นอน อนึ่ง มีผลการศึกษาที่เผยแพร่ในปี 2560 ระบุว่า มีประชากร 38,000 คนทั่วโลก เสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพราะมลพิษจากเครื่องยนต์ดีเซล
ทำให้หลังปี 2560 รถยนต์ที่จะออกวางจำหน่ายต้องผ่านการทดสอบการปล่อยไอเสียในสภาพอากาศจริงๆ นอกเหนือจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรป (EU) ยังประนีประนอมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการอนุญาตให้รถยนต์ปล่อยมลพิษได้ไม่เกิน 2 เท่าของค่ามาตรฐาน ขณะที่ คริสโตเฟอร์ นัจดอฟสกี (Christophe Najdovski) รองผู้ว่าฯ กรุงปารีส ยืนยันว่าแผนการห้ามรถเครื่องยนต์ดีเซลนั้นถูกต้องแล้ว เพื่อให้เมืองหลวงของฝรั่งเศสมีอากาศที่บริสุทธิ์สำหรับทุกคน
คาริน เลเกอร์ (Karine Leger) ผู้จัดการองค์กร Airparif ซึ่งวิเคราะห์คุณภาพอากาศในกรุงปารีส กล่าวว่า ที่ผ่านมาการวัดคุณภาพอากาศและมลพิษเน้นไปที่ปริมาณการปล่อยมลพิษ แต่งานวิจัยครั้งนี้ได้เพิ่มตัวแปรด้านสภาพอากาศ กลุ่มตัวอย่างรถยนต์ 180,000 คัน ทำให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มคุณภาพอากาศในกรุงปารีส ซึ่งเชื่อมโยงกับการจราจรบนท้องถนน อันเป็นสาเหตุหลักของมลพิษในเมืองหลวงแห่งนี้
ทั้งนี้ รายงานของ The Guardian ยังกล่าวด้วยว่า ไม่เฉพาะแต่รถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเท่านั้น แม้กระทั่งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งเชื่อกันว่ากำจัดไอเสียได้สะอาดกว่า งานวิจัยชิ้นนี้ก็พบกลุ่มตัวอย่างที่มีปริมาณการปล่อยไอเสียเกินกว่าค่ามาตรฐานเช่นกัน
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.theguardian.com/cities/2019/sep/10/diesel-cars-emit-more-air-pollution-on-hot-days-study-says
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี