ยังต้องติดตามกันต่อไปกับ “วิกฤติตะวันออกกลาง” ที่ต้องบอกว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่สหรัฐอเมริกาเปิดปฏิบัติการสังหาร พล.ต.กาเซ็ม โซไลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ นายทหารที่มีชื่อเสียงและอำนาจลำดับต้นๆ ของอิหร่าน เมื่อเช้าวันที่ 3 ม.ค. 2563 บริเวณใกล้สนามบินกรุงแบกแดด เมืองหลวงของอิรัก นำมาซึ่งความโกรธแค้นของรัฐบาล ผู้นำศาสนาและชาวอิหร่านจำนวนมาก
แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ในวันที่ 8 ม.ค. 2563 มีรายงานเครื่องบินโดยสารแบบโบอิ้ง 737 ของยูเครน พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 180 คน ตกใกล้กับสนามบินในกรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน ไม่นานหลังจากทะยานขึ้นจากสนามบินอิหม่าม เคเมเนอี และทั้งหมดเสียชีวิต ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ในวันที่ 11 ม.ค. 2563 ทางการอิหร่านออกมายอมรับว่า เป็นผู้ยิงเครื่องบินลำดังกล่าวตก ด้วยเข้าใจผิดเพราะเห็นว่าบินเข้าเขตที่มีความอ่อนไหวทางทหาร กระแสจึงตีกลับไปที่รัฐบาลอิหร่านเมื่อประชาชนออกมาประท้วง เพราะผู้โดยสารที่เสียชีวิตเป็นชาวอิหร่านถึง 82 ศพ
สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางได้รับความสนใจจากทั่วโลกรวมถึงสังคมไทย ดังที่มีการจัดเวทีเสวนา “World War III วิกฤตการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่าน” ขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) โดย ศราวุฒิ อารีย์ นักวิชาการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายสภาพที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “สามก๊กแห่งตะวันออกกลาง” จากอดีตถึงปัจจุบัน
“อิรัก อิหร่าน และซาอุดีอาระเบีย เป็นสามเหลี่ยมดุลอำนาจที่ผมคิดว่ามันดำรงอยู่อย่างนี้มานาน แต่ในปี 2003 (2546) ซัดดัม ฮุสเซน (ผู้นำอิรัก) ถูกโค่นล้มลงไป ฉะนั้นสามเหลี่ยมแห่งดุลอำนาจในตะวันออกกลางมันจึงถูกทำลาย เมื่อมันถูกทำลาย อิหร่านกับซาอุดีอาระเบียจึงเผชิญหน้ากันคือแต่ก่อนจะคานอำนาจระหว่างกันเช่น กรณีสงครามอิรัก-อิหร่าน ซาอุดีอาระเบียก็อยู่ข้างอิรัก แต่ก่อนที่จะมีการปฏิวัติอิหร่าน ซาอุดีอาระเบียกับอิหร่านเป็นพันธมิตรกัน แต่ยุคนั้นอิรักเป็นสังคมนิยม เป็นพรรคบาธที่ต้องการโค่นล้มราชวงศ์กษัตริย์
2 ประเทศนี้ (อิหร่าน-ซาอุดีอาระเบีย) ปกครองด้วยราชาธิปไตยฉะนั้น 2 ประเทศนี้จึงร่วมมือกันต่อต้านอิรัก มันก็จะเป็นอย่างนี้ เหตุการณ์ผันแปรไปตามสถานการณ์ในยุคต่างๆ ของตะวันออกกลาง แต่วันนี้พอหมดอิรัก มันทำให้ขั้วอำนาจมันเหลือ 2 ขั้ว มันก็ทำให้เกิดการปะทะเผชิญหน้ากันมากยิ่งขึ้น แต่ที่ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงคือขั้วอำนาจใหม่เริ่มมาแทนที่อิรัก และกำลังเป็นเสาแห่งดุลอำนาจในตะวันออกกลาง ก็คือตุรกี” อาจารย์ศราวุฒิ ระบุ
สำหรับสามก๊กแห่งตะวันออกกลางยุคใหม่ (อิหร่าน-ซาอุดีอาระเบีย-ตุรกี) อาจารย์ศราวุฒิอธิบายต่อไปถึงภูมิหลังของทั้ง 3 ประเทศ เช่น “มิติเชิงประวัติศาสตร์” ชาวตุรกีภูมิใจในอาณาจักรออตโตมัน อาณาจักรโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและแห่งสุดท้ายในโลกมุสลิม ขณะที่ชาวอิหร่านก็ภูมิใจในความเป็นชาวเปอร์เซีย หนึ่งในอารยธรรมสำคัญทางประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และชาวซาอุดีอาระเบีย ก็ภูมิใจในความเป็นดินแดนต้นกำเนิดของศาสนาอิสลาม ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่ออารยธรรมของชาวอาหรับ
หรือ “มิติเชิงการเมือง” ซาอุดีอาระเบียเป็นการจับมือกันของฝ่ายอาณาจักร (ราชวงศ์) กับฝ่ายศาสนจักร (ผู้รู้ทางศาสนาอิสลาม) การตัดสินใจของฝ่ายอาณาจักรอาจถูกฝ่ายศาสนจักรทักท้วงได้ ขณะที่อิหร่านเป็นการปฏิวัติโดยมีผู้นำศาสนาอิสลามเป็นผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณ อำนาจชี้ขาดในทุกเรื่องจึงอยู่ที่ผู้นำศาสนาไม่ใช่ประธานาธิบดี ส่วนตุรกีเป็นพรรคการเมืองนิยมอิสลามที่พัฒนามาจากฐานมวลชน ทำงานด้านสังคมและมีการปรับตัวตามวิถีการเมืองแบบประชาธิปไตยจนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
รวมถึง “มิติเชิงความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ” อิหร่านนั้นมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับรัสเซีย ขณะที่ตุรกีแม้จะเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา แต่ระยะหลังๆ ก็หันไปพูดคุยกับรัสเซียด้วย ส่วนซาอุดีอาระเบียแม้จะอยู่กับสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจนและประกาศตัวเป็นศัตรูกับอิหร่านอย่างชัดแจ้ง แต่ก็มีรายงานว่าซาอุดีอาระเบียพยายามเจรจากับอิหร่านผ่านนายกรัฐมนตรีของอิรัก โดยสรุปคือบทบาทของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางอาจน้อยลงสวนทางกับรัสเซียหรือจีนที่อาจมีบทบาทมากขึ้น แต่ในยุคปัจจุบัน มหาอำนาจจะไปบงการประเทศใดๆ คงไม่ง่ายนัก
“วันนี้มหาอำนาจเหล่านี้จะใช้ตัวแสดงในภูมิภาคได้เหมือนแต่ก่อนหรือไม่ ผมคิดว่าคงจะไม่แล้ว เพราะหลายประเทศหลังปรากฏการณ์อาหรับสปริง (Arab Spring) ประชาชนเขาเรียกร้องให้ประเทศเหล่านี้มีนโยบายเป็นอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับมหาอำนาจ เพราะฉะนั้นแล้วผมคิดว่ามหาอำนาจอาจจะใช้ตัวแสดงในการท้าทายเผชิญหน้ากัน แต่มหาอำนาจคงไม่สามารถกดดันและใช้ประเทศในตะวันออกกลางเป็นเครื่องมือง่ายๆ เหมือนในอดีตอีกต่อไป” อาจารย์ศราวุฒิ กล่าว
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญว่าด้วยวิถีของโลกมุสลิม และเคยเดินทางไปอิหร่านมาแล้วหลายครั้ง ศ.ดร.จรัญ มะลูลีม อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่าว่า อิหร่านในช่วงแรกๆ หลังการปฏิวัติ (ปี 2522) มีท่าทีเกลียดชังสหรัฐอเมริกาอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงที่เกิดสงครามอิรัก-อิหร่าน ซึ่งกินเวลายาวนานถึง 8 ปี (2523-2531) อิหร่านมองว่าสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำของอิรักในขณะนั้น อนึ่ง พล.ต.กาเซ็ม โซไลมานี ในช่วงวัยหนุ่มที่เพิ่งเข้าร่วมกองทัพอิหร่าน ก็ได้ร่วมรบในสงคราม 8 ปีนี้ด้วย
ในช่วงสงครามซีเรียที่หลายฝ่ายต้องร่วมกันต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอซิส-ISIS) ความสามารถของโซไลมานี ในการทำสงครามจรยุทธ์ไปเข้าตารัสเซีย ทำให้รัสเซียตัดสินใจเข้าร่วมสงครามปราบไอซิส ไม่ต่างจากรัฐบาลอิรักที่ร้องขอให้อิหร่านเข้าไปช่วยปราบกลุ่มไอซิส ก็เพราะเห็นฝีมือของโซไลมานีเช่นกัน ส่วนโซไลมานีเป็นบุคคลอันตรายต่อสหรัฐฯ หรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องของมุมมอง ที่สำคัญคือก่อนหน้านี้สหรัฐฯก็เคยประกาศให้คนที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับสหรัฐฯ เป็นบุคคลอันตรายมาแล้ว
“อุสมะห์ บิน ลาดิน สมัยที่ต่อสู้ในนามมูจาฮีดีน เวลาอุดมการณ์มาตรงข้ามกับสหรัฐฯ ในที่สุดเขาก็ถูกสังหาร ซัดดัม ฮุสเซน ตอนนั้นสหรัฐฯ เรียกว่า The Greater Moderniser (คนสมัยใหม่ผู้ยิ่งใหญ่) ตอนที่สนับสนุนให้เขาสู้กับอิหร่าน ในที่สุดทหารสหรัฐฯ ไปพบเขาในถ้ำจากการชี้นำของชาวเคิร์ด แล้วก็นำไปสู่การถูกประหารชีวิต” อาจารย์จรัญ ยกตัวอย่าง
อาจารย์จรัญยังกล่าวอีกว่า “ผู้นำสหรัฐฯ อยากโจมตีอิหร่านตลอดมาแต่ไม่มีใครกล้าทำ ยกเว้นก็แต่ โดนัลด์ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน” และไม่เฉพาะการอนุมัติปฏิบัติการสังหาร พล.ต.กาเซ็ม โซไลมานี เท่านั้น ปธน.ทรัมป์ ยังทำสิ่งเรียกเสียงฮือฮาทั้งจากชาวอเมริกันและชาวโลก อาทิ การออกตัวสนับสนุนอิสราเอล ในการย้ายเมืองหลวงจากเทลอาวีฟ ไปที่เยรูซาเลม รวมถึงหลายๆ นโยบายที่ได้หาเสียงไว้
ถึงกระนั้น “ท่าทีของทั้งสหรัฐฯ และอิหร่าน ต่างก็ไม่อยากให้เกิดสงคราม รวมถึงผู้นำอิรักก็แสดงออกว่าไม่อยากให้แผ่นดินอิรักกลายเป็นที่รองรับความรุนแรงจากทั้ง 2 ประเทศ” และไม่เฉพาะแต่ผู้นำเท่านั้น ประชาชนชาวอิรักก็แสดงออกอย่างเดียวกันเพราะเบื่อหน่ายสภาวะสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานเกือบ 2 ทศวรรษนับตั้งแต่ปี 2546 ที่สหรัฐฯ ส่งทหารเข้าไปในอิรักเพื่อโค่นล้มซัดดัม ฮุสเซน จนมีตัวเลขผู้เสียชีวิตสะสมแล้วกว่า 1 ล้านศพ
อีกด้านหนึ่ง “การก่อการร้าย-ก่อวินาศกรรม” เป็นปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมในความขัดแย้งสมัยใหม่ เนื่องจากใช้กำลังคนน้อยและลงมือก่อเหตุที่ไหนก็ได้ ซึ่ง รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ประเทศไทยเองก็เคยถูกใช้ในการปฏิบัติการทำนองนี้มาแล้ว เช่น ในปี 2537 รถบรรทุกที่ภายในมีวัตถุระเบิดน้ำหนัก 1 ตัน ไปเฉี่ยวชนกับมอเตอร์ไซค์ ก่อนที่ชาวตะวันออกกลางที่ขับรถคันดังกล่าวจะทิ้งรถหลบหนีไป คาดว่าเป้าหมายน่าจะเป็นสถานทูตอิสราเอล หรือสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ
หรือในปี 2555 เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่งภายในซอยสุขุมวิท 71กรุงเทพฯ ซึ่งตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาเป็นชาวอิหร่านได้ 2 คน โดยคาดว่าทั้ง 2 มีเป้าหมายลอบสังหารบุคคลสำคัญของอิสราเอลในประเทศไทย แต่เกิดผิดพลาดทำให้วัตถุระเบิดที่เตรียมไว้ระเบิดใส่ตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส ปัจจุบันทั้ง 2 ถูกจำคุกโดยศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต 1 คนและจำคุก 15 ปี อีก 1 คน
อาจารย์ปณิธานกล่าวต่อไปว่า สำหรับความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ณ ปัจจุบัน ขอให้จับตา 3 สมรภูมิสำคัญ ดังนี้ 1.สมรภูมิที่เป็นทางการ ซึ่งทั้งสหรัฐฯ และอิหร่านต่างก็ประกาศกันไปแล้ว เช่น สหรัฐฯ บอกจะโจมตี 52 สถานที่สำคัญของอิหร่าน ส่วนอิหร่านจะมุ่งโจมตีสถานที่ทางทหารของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง รวมถึงการตอบโต้กันทางการทูต การแสดงออกเชิงจิตวิทยา อย่างกรณีอิหร่านชักธงแดง แต่เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดสถานการณ์รุนแรงในส่วนนี้
2.สมรภูมิที่ไม่เป็นทางการ หรือการก่อวินาศกรรมที่นำยุทธวิธีแบบเก่ามารวมกับปฏิบัติการแบบใหม่ซึ่งผู้ก่อเหตุอาจมีเพียงคนเดียว (Lone Wolf) เน้นการโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ โดยเป้าหมายสูงสุดคือลงมือบนแผ่นดินสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อว่ามีความพยายามมานานนับตั้งแต่เหตุการณ์จี้เครื่องบินเพื่อนำไปพุ่งชนตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในปี 2544 แต่จนปัจจุบันก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายอื่นๆ นอกประเทศสหรัฐฯ ด้วย
“อันนี้เป็นสมรภูมิที่ไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแต่รู้กันอยู่แล้วและพอเดาทางได้ ที่อิสราเอล ที่เอเชีย ออสเตรเลีย สิงคโปร์ พวกนี้ผลประโยชน์สหรัฐฯ มโหฬารมหาศาลรวมทั้งไทย สบายๆ ใครก็มาได้ 50 ล้านทุกคนมาหมด ก็น่ากลัวเหมือนกันเจ้าหน้าที่เราทำงานกันหนักมาก ทุกคนก็มาที่นี่ ตอนนี้เราก็บอกอย่ามา ไม่ต้องมาถ้ามาแล้วมีบัญชีก็จับ แต่จะห้ามได้นานเท่าไร คนเคยมีคดีก็มาเที่ยวเมืองไทย ที่ปล่อยไปก็กลับมาใหม่ มันมีความรักความผูกพันอะไรหลายอย่าง สมรภูมินี้หนักขึ้นเยอะ แล้วคนสมัยใหม่ด้วย เดาทางยาก” อาจารย์ปณิธาน ระบุ
อาจารย์ปณิธานยังกล่าวอีกว่าสุดท้ายคือสมรภูมิที่ยังไม่เคยเจอคือ 3.สมรภูมิไซเบอร์ สมรภูมินี้ไม่ต้องเดินทางเข้ามาฝังตัว ไม่ต้องแต่งงานกับคนไทย แต่โจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งทุกวันนี้ศักยภาพด้านนี้ของคนในตะวันออกกลางสูงขึ้นมาก..เรื่องนี้อาจเป็นภัยที่ไทยอาจต้องเผชิญในอนาคต!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี