11 ก.พ. 2563 เว็บไซต์ นสพ.The New York Times สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานพิเศษ “Thai Soldier in Mass Shooting Had Business Clash With His Commander” ว่าด้วยกรณี จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา (Jakrapanth Thomma) ก่อเหตุกราดยิงจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากใน จ.นครราชสีมา ประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2563 ที่ผ่านมา โดยอ้างถึงคำบอกเล่าจากคนใกล้ชิดของผู้ก่อเหตุ เช่น ทหารที่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันเล่าว่า จ.ส.อ.จักรพันธ์ เป็นคนเงียบๆ ดูสุภาพ เชี่ยวชาญในการใช้อาวุธปืนและชอบกีฬาฟุตบอล
อย่างไรก็ตาม บางคนเล่าว่าผู้ก่อเหคุมีความขัดแย้งต่อนายทหารยศพันเอกที่เป็นผู้บังคับบัญชา รวมถึงแม่ยายเนื่องจากผู้ก่อเหตุเชื่อว่าทั้ง 2 โกงเงินของผู้ก่อเหตุไป ซึ่งดูจะสอดคล้องกับที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวระหว่างลงมือสังหารผู้คนว่า “ไม่มีใครหนีความตายพ้น (Nobody can escape death)” และ “ร่ำรวยจากการคดโกงและฉกฉวยโอกาสจากผู้คน..พวกเขาจะนำเงินไปใช้จ่ายในนรกได้หรือ (Do they think they can take money to spend in hell?)” ซึ่งสะท้อนการที่ทหารเข้าไปมีบทบาทในสังคมไทยไม่ว่าการเมืองหรือธุรกิจ
บทความกล่าวต่อไปว่า ผู้ก่อเหตุเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ ของกองทัพ หนึ่งในสถาบันที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศไทย สำหรับบางคนการเข้าร่วมกองทัพอาจหมายถึงช่องทางไปสู่อำนาจและความมั่งคั่ง และนายทหารระดับสูงหลายคนมีธุรกิจของตนเองนอกจากงานในหน้าที่ราชการ และแม้ครอบครัวของพันเอกจะปฏิเสธว่าไม่ได้โกงเงิน จ.ส.อ.จักรพันธ์ แต่ในความเป็นจริงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าลำดับชั้นในกองทัพไทยเป็นระบบที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่ใช้หาประโยชน์จากทหารยศต่ำกว่า รวมถึงทหารเกณฑ์ที่รู้กันดีว่าเป็นคนรับใช้ของนายทหารเหล่านี้
แอนโธนี เดวิส (Anthony Davis) นักเคราะห์ด้านความมั่นคงที่มีถิ่นฐานในกรุงเทพฯ กล่าวว่า มีเรื่องเล่ามากมายที่พูดถึงทหารยศจ่าผู้ก่อเหตุกราดยิงจะพัวพันกับธุรกิจที่ดินของครอบครัวผู้บังคับบัญชา แต่นี่ไม่ใช่การทำงานของทหารอาชีพอย่างแท้จริง แต่สำหรับสังคมไทย ดูจะเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปที่ผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์สูงกว่าจะปฏิบัติกับผู้ที่มีฐานะต่ำกว่าอย่างไม่ให้เกียรติและไม่เป็นธรรม เมื่อบวกกับอาชีพทหารซึ่งสามารถเข้าถึงอาวุธได้ง่าย ผู้ใต้บังคับบัญชาที่รู้สึกว่าตนเองมีปัญหาก็อาจก่อเรื่องร้ายแรงขึ้นได้
นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี 2475 กองทัพได้ก่อรัฐประหารถึง 18 ครั้ง ซึ่งครั้งเล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2557 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (Prayuth Chan-ocha) จากนั้นในปี 2560 รัฐธรรมนูญที่ร่างในยุครัฐบาลทหารก็ผ่านความเห็นชอบ นำมาสู่รัฐบาลที่มีลักษณะกึ่งประชาธิปไตยในปัจจุบันที่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ปัญหาขัดแย้งเรื่องที่ดินที่คาดว่าเป็นแรงจูงใจของผู้ก่อเหตุ สามารถแก้ไขได้โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง
บทความจากสื่อสหรัฐฯ ยังเล่าถึงพื้นเพของ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ว่าเติบโตมาจากหนึ่งในภาคที่ยากจนของไทย หลังจบการศึกษาชั้นมัธยมได้ไปเรียนต่อในโรงเรียนนายสิบทหารบก และมีความก้าวหน้าในกองทัพตามลำดับจนถึงชั้นยศจ่าสิบเอก ซึ่งสูงที่สุดในฐานะนายทหารชั้นประทวน เพื่อนทหารที่รู้จักกันเล่าว่า จ.ส.อ.จักรพันธ์ มีปัญหาขัดแย้งเล็กน้อยกับนายทหารระดับสูง และในวันเกิดเหตุ เขาได้ฆ่าผู้บังคับบัญชาและแม่ยาย แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเหตุใดต้องไล่ฆ่าคนอื่นๆ ตั้งแต่ในวัดไปจนถึงห้างสรรพสินค้า
จุติ ไกรฤกษ์ (Juti Krairerk) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ไม่มีใครรู้ว่าในใจผู้ก่อเหตุคิดอะไรอยู่ ทำได้เพียงคาดเดาเพราะผู้ก่อเหตุก็เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนบรรยากาศหลังเหตุการณ์คลี่คลาย ผู้คนพากันไปวางดอกไม้ที่หน้าห้างเทอร์มินัล 21 อันเป็นสถานที่เกิดเหตุ ขณะที่คนงานและจิตอาสาต่างเร่งทำความสะอาด โดยห้างจะกลับมาเปิดทำการอีกครั้งในวันที่ 13 ก.พ. 2563
ด้านญาติของผู้เสียชีวิตต่างทยอยจัดพิธีศพ รวมถึง ด.ต.ชัชวาลย์ แท่งทอง (Chatchawal Thaengthong) ตำรวจท้องที่ใน จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นคนแรกที่พยายามเข้าระงับเหตุก่อนถูกยิงเสียชีวิต เช่นเดียวกับศพของเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ 2 นาย มีพิธีกองเกียรติยศและมีผู้ร่วมไว้อาลัยนับร้อยคน ระหว่างเคลื่อนศพจากสนามบินนครราชสีมาไปยังกรุงเทพฯ
สำหรับความขัดแย้งเรื่องที่ดินนั้น มีการกล่าวถึง 1 ผู้ที่ถูก จ.ส.อ.จักรพันธ์ ยิงเสียชีวิต คือ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแส (Anantharot Krasae) ที่มีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และสินเชื่อกับทหารด้วยกัน บ่อยครั้งทหารจะกู้เงินที่สามารถทำเงินได้มากกว่าบ้านที่พวกเขาซื้อ บางครั้งอาจเท่ากับ 1 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สิน ซึ่งธุรกิจนี้มีคนในครอบครัวทั้งอนงค์ มิตรจันทร์ (Anong Mitrchan) แม่ยายที่ถูกยิงเสียชีวิตด้วยเช่นกันเกี่ยวข้อง รวมถึงภรรยาและพ่อตาที่เป็นทหารยศนายพันที่เกษียณอายุไปแล้ว
เพื่อนของ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ที่ขอไม่เปิดเผยชื่อเพราะกลัวจะกระทบต่อความปลอดภัยของตน เล่าว่า จ.ส.อ.จักรพันธ์ จ.ส.อ.จักรพันธ์ จะต้องได้เงินคืน 13,000 เหรียญสหรัฐ หรือราว 4 แสนบาท ที่ผ่านมาได้ติดตามทวงถามหลายครั้งแต่ก็ผิดหวังทุกครั้ง กระทั่งวันที่ 8 ก.พ. 2563 ก่อนจะเกิดเหตุกราดยิง จ.ส.อ.จักรพันธ์ ได้นัดพบกับ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ อนงค์ และนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แต่จบลงที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ใช้อาวุธปืนยิงทั้ง 3 คน และมีเพียงนายหน้าอสังหาฯ คนเดียวที่ไม่เสียชีวิตแต่ก็บาดเจ็บสาหัส
ด้านความเคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์ มีการบอกเล่าเรื่องราวของทหารหลายคนที่ถูกโกงเงินในลักษณะเดียวกัน บางความเห็นมีลักษณะเห็นใจผู้ก่อเหตุแม้จะลงมือสังหารหมู่ไปแล้วก็ตาม ทหารรวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับล่างระบายว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงปฏิบัติราวกับลูกน้องเป็นทาส อย่างไรก็ตาม สมาชิกในครอบครัวของ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ ที่รอดชีวิตจากการถูกสังหาร ยืนยันว่าบ้านของตนไม่ได้โกงเงิน จ.ส.อ.จักรพันธ์ แต่ปัญหามาจากบุคคลที่ 3 ที่ไม่ยอมจ่ายหนี้ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ในทางกลับกันพวกตนต้องการช่วยเหลือด้วยซ้ำเพราะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา
ส่วนภรรยาของ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ ก็กล่าวว่า ครอบครัวของตนรับสร้างบ้านพักขายให้ทหาร แต่ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับการโกงเงินจนทำให้แม่และสามีถูกยิงเสียชีวิต สำหรับ จ.ส.อ.จักรพันธ์ มีหนี้ค้างอยู่เพียง 1,700 เหรียญสหรัฐ หรือราว 5 หมื่นบาท จากเงินกู้ยืมไปซื้อบ้านราคา 5 หมื่นเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.5 ล้านบาท และย้ำว่าไม่เคยบีบบังคับ จ.ส.อ.จักรพันธ์ แต่อย่างใด
ขอบคุณเรื่องจาก : nytimes.com
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี