เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2563 เว็บไซต์นิตยสาร The Diplomat ซึ่งนำเสนอข่าวสารด้านการเมือง สังคมและวัฒนธรรม เผยแพร่บทความ "Why COVID-19 Will Worsen Inequality in Thailand" ซึ่งเขียนโดยนักวิชาการ 2 ท่านคือ เอ็ม นิอาซ อซาดุลลาห์ (M Niaz Asadullah) นักวิชาการด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยมาลายา ประเทศมาเลเซีย และ รัตติยา ภูละออ (Ruttiya Bhula-or) รองคณบดีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเทศไทย
เนื้อหาระบุว่า ก่อนหน้าการมาของวิกฤติไวรัสโควิด-19 แม้กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทยจะได้ชื่อว่ามีผู้มาเยือนมากที่สุดในโลก แต่สภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยมีปัญหามาก่อนหน้า อาทิ การส่งออกลดลงในปี 2562 และการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ยังคงต่ำที่สุดในกลุ่มประชาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) นับตั้งแต่ปี 2557
วันนี้กรุงเทพฯ เงียบสงัด เศรษฐกิจที่ต้องดิ้นรนระหว่างวิกฤติอาจยังไม่น่ากลัวเท่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่เดือนข้างหน้า รัฐบาลไทยพยากรณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะหดตัวถึงร้อยละ 5.3 ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า GDP จะลดลงถึงร้อยละ 6.7 นั่นหมายถึงเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่สภาวะเลวร้ายที่สุดในอาเซียน ทุกคนได้รับผลกระทบถ้วนหน้าตั้งแต่ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ ผู้ค้ารายย่อยไปจนแรงงานหาเช้ากินค่ำ
แต่กลุ่มคนที่เดือดร้อนที่สุดคงหนีไม่พ้นคนขับรถสามล้อเครื่องและผู้ค้าหาบเร่แผงลอยในเมืองท่องเที่ยวอย่างกรุงเทพฯ เชียงใหม่ พัทยา เมื่อภาคการท่องเที่ยวซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจไทยถึง 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 2 ล้านล้านบาทปิดตัวลงพวกเขาก็กลายเป็นคนตกงานในทันที ดังนั้นการมาของไวรัสโควิด-19 จะยิ่งตอกย้ำปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยให้ร้าวลึกรุนแรงยิ่งขึ้น
บทความกล่าวต่อไปว่า เดิมทีไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำสูงอยู่แล้วในภูมิภาคอาเซียน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. หรือสภาพัฒน์) วัดค่าความเหลื่อมล้ำโดยใช้สัมประสิทธิ์จีนี (GINI) ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดความเหลื่อมล้ำที่ใช้กันเป็นสากล โดยยิ่งค่าใกล้ 1 เท่าใดความเหลื่อมล้ำยิ่งสูงเท่านั้น พบว่า ไทยอยู่ที่ 0.45 ในปี 2560
ขณะที่ในระดับโลก ไทยติดหนึ่งในประเทศที่มีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก รายงานGlobal Wealth Report ประจำปี 2561 ของสถาบันการเงิน Credit Suisse ระบุว่า คนร้อยละ 1 ซึ่งเป็นกลุ่มที่รวยที่สุดในประเทศไทย ครองส่วนแบ่งความมั่งคั่งถึงร้อยละ 67 ส่วนคนร้อยละ 50 นับจากฝั่งยากจนที่สุด มีส่วนแบ่งความมั่งคั่งเพียงร้อยละ 1.7 แต่คนร้อยละ 10 นับจากฝั่งร่ำรวยที่สุด ครอบครองความมั่งคั่งถึงร้อยละ 85.7 และคนร้อยละ 10 นับจากฝั่งยากจนที่สุด ไม่ได้ครอบครองความมั่งคั่งใดๆ เลย แถมมีหนี้ครัวเรือนสูงและขาดรายได้อีกต่างหาก
ย้อนกลับไปที่ปี 2540 - 2541 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ (วิกฤติต้มยำกุ้ง - ผู้แปล) อัตราการว่างงานเพิ่มจากร้อยละ 0.9 เป็นร้อยละ 3.4 ในเวลาเพียงปีเดียว ขณะที่ค่าสัมประสิทธิ์จีนี ในปี 2543 อยู่ที่ 0.52 สถานการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงวิกฤติการเงินปี 2550 (วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์-ผู้แปล) วิกฤติดังกล่าวทำให้การค้าระหว่างประเทศลดลงและจำนวนคนตกงานเพิ่มขึ้น และดูเหมือนกำลังจะซ้ำรอยอีกครั้ง จากการเปิดเผยของกรมการจัดหางานถึงขำนวนคนตกงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงวิกฤติไวรัสโควิด-19
ด้วยสัดส่วนกำลังแรงงานของไทยที่คนจำนวนมากเป็นแรงงานนอกระบบที่ไม่มีสัญญาจ้างอย่างเป็นทางการ หรือเป็นผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงผู้ที่ช่วยกิจการในครอบครัว วิกฤติไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อคนไทยที่มีงานทำถึงร้อยละ 50 คนเหล่านี้ถือเป็นกลุ่มเปราะบางเพราะขาดรายได้และสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ มาตรการจำกัดกิจกรรมต่างๆ จากรัฐบาลไทย ทำให้คนไทยนับล้านถูกบังคับให้กลายเป็นคนว่างงาน
ความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัล ยังเป็นอุปสรรคที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยไม่สามารถทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) รวมถึงหารายได้เสริมผ่านช่องทางออนไลน์ โดยในปี 2560 พบว่า มีเพียงร้อยละ 3 ของครัวเรือนไทยที่มีรายได้น้อยกว่า 510 เหรียญสหรัฐ หรือ 16,667 บาทต่อเดือน มีคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต อนึ่ง แม้ประเทศไทยจะมีอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ต่ำกว่าอีกหลายประเทศในอาเซียน เช่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย แต่ด้วยสถานการณ์ที่ล่อแหลมต่อการระบาดจึงไม่อาจนิ่งนอนใจ
รัฐบาลไทยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อคุ้มครองรายได้และความมั่นคงด้านการงาน อาทิ แรงงานในระบบจำนวน 11.7 ล้านคน ได้รับความคุ้มครองจากกองทุนประกันสังคม นอกจากนี้ยังมีมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบเป็นเงิน 153 เหรียญสหรัฐ หรือ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน แต่ในความเป็นจริง กรณีเงิน 5,000 บาทนี้ซึ่งมีเป้าหมายที่ประชากรกลุ่มเปราะบางในสังคม ในเบื้องต้นพบผู้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือถึง 27 ล้านคน แต่ในช่วงกลางเดือน เม.ย. 2563 มีผู้ได้รับเงินเพียง 1.68 ล้านคนเท่านั้น
ปัญหาประการต่อมา ข้อกำหนดระบุว่าผู้ขอรับความช่วยเหลือต้องมีบัญชีธนาคารและเข้าถึงอินเตอร์เน็ต เท่ากับตัดโอกาสประชากรกลุ่มที่ยากจนที่สุดในสังคม เช่น คนงานรับค่าจ้างรายงาน ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย รวมถึงคนขับรถแท็กซี่ ซ้ำร้ายโครงการนี้ที่ตั้งชื่อว่า “เราไม่ทิ้งกัน (No One Left Behind)” ยังกลายเป็นว่าหลายคนถูกทิ้งเพราะระบบบริหารจัดการที่ผิดพลาดว่าด้วยคุณสมบัติของผู้ขอรับความช่วยเหลือ
บทความทิ้งท้ายด้วยปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยประเทศไทยในปี 2562 หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ร้อยละ 148.8 ของรายได้ และภาระจะเพิ่มขึ้นแน่นอนในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร และผู้สูงอายุ วิกฤติที่ยืดเยื้อจะยิ่งทำให้สินทรัพย์ที่มีค่าหมดไป ปัญหาความเหลื่อมล้ำจะรุนแรงขึ้นหากไม่มีมาตรการที่เด็ดขาดและตรงเป้าหมายมาใช้กลับประชากรกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ก่อนวิกฤติไวรัสโควิด-19 คนไทยนับล้านคนก็ถูกกีดกันจากการกระจุกตัวของความมั่งคั่งอยู่แล้ว ประเทศไทยไม่อาจขยายช่องว่างรวย-จนนี้ได้อีก การคุ้มครองที่กว้างขวางต่อแรงงานที่อ่อนแอจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ขอบคุณเรื่องจาก : https://thediplomat.com/2020/04/why-covid-19-will-worsen-inequality-in-thailand/
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี