1 มิ.ย. 2563 จากกรณีที่ตำรวจมินนิอาโปลิส ได้เข้าทำการตรวจค้น จอร์จ ฟลอยด์ โดยในระหว่างการจับกุมได้ใช้เข่ากดทับที่คอนายฟลอยด์เป็นเวลาหลายนาที ทั้งที่นายฟลอยด์ถูกล็อคมือไขว้หลังไว้ด้วยกุญแจมือ และร้องบอกตำรวจว่า "หายใจไม่ออก" และร้องขอชีวิตแล้วก่อนจะหมดสติและเสียชีวิตในเวลาต่อมา เหตุการณ์ดังกล่าวซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 25 พ.ค. 2563 ได้สร้างความไม่พอใจให้กับพลเมืองอเมริกันและนำไปสู่การชุมนุมประท้วงไปมากกว่า 30 เมืองใหญ่ในสหรัฐอเมริกาจนถึงปัจจุบัน
เรเชล วอร์ด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยแอมเนสตี้ เนชั่นแนล สหรัฐฯ กล่าวถึงปฏิบัติการของตำรวจตามเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ ในระหว่างการชุมนุมประท้วงเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ตำรวจสหรัฐฯ ทั่วประเทศต่างไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีของกฎหมายระหว่างประเทศ ที่จะต้องเคารพและอำนวยให้มีการใช้สิทธิในการชุมนุมประท้วงอย่างสงบ ส่งผลให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น และทำให้ชีวิตของผู้ประท้วงตกอยู่ในอันตราย โดยในหลายเมืองมีปฏิบัติการที่อาจถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังโดยไม่จำเป็นหรือเกินกว่าเหตุ เราจึงเรียกร้องให้ยุติการใช้กำลังของผู้รักษากฎหมายเช่นนี้โดยทันที เพื่อประกันและคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายในการชุมนุมประท้วง
"การใช้อุปกรณ์ปราบจลาจลขั้นวิกฤติ อาวุธและอุปกรณ์ทางการทหาร เพื่อควบคุมผู้ชุมนุมประท้วงที่ส่วนใหญ่เป็นไปอย่างสงบ การกระทำเช่นนี้อาจเป็นการข่มขู่ผู้ประท้วงที่ออกมาใช้สิทธิในการชุมนุมอย่างสงบ ยุทธวิธีเช่นนี้ยังอาจเร่งให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น การที่เจ้าหน้าที่ติดอาวุธราวกับจะออกไปปฏิบัติการในสนามรบ อาจจะกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่มีวิธีคิดว่าการเผชิญหน้าและสงครามความขัดแย้งนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ตำรวจต้องมีส่วนร่วมในการลดความตึงเครียด ก่อนสถานการณ์จะเลวร้ายยิ่งขึ้น โดยควรลดแนวปฏิบัติที่ก้าวร้าวแบบทหาร และเข้าร่วมการเจรจากับแกนนำผู้ประท้วง เพื่อลดความตึงเครียดและเพื่อป้องกันความรุนแรง หรือเพื่อยุติความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองสิทธิในการชุมนุมอย่างสงบ" เรเชล กล่าว
ผอ.ฝ่ายวิจัย แอมเนสตี้ฯ สหรัฐฯ กล่าวต่อไปว่า การใช้กำลังที่ไม่จำเป็นหรือเกินกว่าเหตุต้องยุติลงทันที และต้องมีการสอบสวนการใช้กำลังที่อาจไม่จำเป็นหรือเกินกว่าเหตุในทุกกรณีต่อผู้ประท้วง และเจ้าหน้าที่ที่ละเมิดกฎหมายต้องรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว นอกจากนั้นยังขอเรียกร้องรัฐบาลกลาง และเมืองและรัฐต่าง ๆ ในสหรัฐฯ ให้ดำเนินการโดยเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ไขสาเหตุที่แท้จริงของการประท้วงเหล่านี้ และใช้มาตรการอย่างเร่งด่วนเพื่อยุติการสังหารอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายของตำรวจต่อคนผิวสีและคนอื่นๆ เจ้าหน้าที่ต้องถูกดำเนินคดี
อีกทั้งรัฐทุกแห่งในสหรัฐฯ ต้องออกกฎหมายเพื่อจำกัดการใช้กำลังรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยให้ใช้เป็นมาตรการสุดท้ายเพื่อป้องกันภัยคุกคามที่กำลังจะทำให้เสียชีวิต และรัฐสภาควรผ่านร่างกฎหมาย PEACE Act เพื่อกำหนดมาตรฐานในส่วนกลางและกระตุ้นให้เกิดการปฏิรูประดับรัฐ (PEACE Act ย่อมาจาก Police Exercising Absolute Care with Everyone เป็นร่างกฎหมายของรัฐบาลกลางซึ่งกำหนดเป็นเงื่อนไขให้รัฐต่าง ๆ ต้องปฏิรูปการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ เพื่อให้ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง)
"แนวคิดแบ่งแยกเชื้อชาติและแนวคิดที่เชิดชูคนผิวขาวต่างเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการสังหารเหล่านี้ และสนับสนุนปฏิบัติการของตำรวจต่อการประท้วง รัฐบาลกลางควรจัดตั้งคณะกรรมาธิการระดับชาติเพื่อแก้ไขวิกฤติครั้งนี้อย่างรอบด้าน รวมทั้งกรณีการสังหารโดยตำรวจ สิทธิในการประท้วง และการยุติการเลือกปฏิบัติ ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องยุติการพูดจาและนโยบายที่สนับสนุนความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติ รัฐบาลสหรัฐฯ ในทุกระดับต้องรับประกันสิทธิในการประท้วง ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ" เรเชล กล่าวย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี