เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2563 เว็บไซต์ นสพ.Nikkei Asian Review ของญี่ปุ่น เสนอข่าว Chinese jump at 'elite' Thailand visas to escape coronavirus อ้างอิงข้อมูลจาก Thailand Privilege Card ซึ่งเป็นตัวแทนจัดหาวีซ่าสำหรับชาวต่างชาติที่มีฐานะดีและต้องการพักอาศัยในประเทศไทยระยะยาว หรือ Thailand Elite Card พบว่า ตั้งแต่ช่วงเดือน มิ.ย.2563 มีชาวจีนให้ความสนใจวีซ่าดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเชื่อมโยงกับการกลับมาพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในจีนเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
บ็อบบี้ เหอ (Bobby He) ตัวแทนของ Elite Card ในกรุงเทพฯ เปิดเผยว่า ในบรรดาชาวจีนที่ให้ความสนใจ พบว่าบางคนไม่เคยเดินทางมาประเทศไทยมาก่อน นั่นอาจหมายความว่า ชาวจีนกำลังมองหาบ้านหลังที่ 2 ในต่างแดน ทั้งนี้ การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 2 ในกรุงปักกิ่ง ส่งผลกระทบต่อชาวจีนในเมืองดังกล่าว เนื่องจากรัฐบาลจีนต้องกลับมาใช้มาตรการปิดเมืองอีกครั้ง ผู้อยู่อาศัยในเขตที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกห้ามออกจากเมือง ส่วนเขตอื่นๆ ต้องแสดงผลตรวจคัดกรองโควิด-19 ว่ามีผลเป็นลบหรือไม่ติดเชื้อ ในการขออนุญาตออกจากเมือง
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า หากนับจนถึงวันที่ 24 มิ.ย.2563 จะเป็นเวลา 31 วันแล้วที่ประเทศไทยไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในลักษณะการระบาดในประเทศ โดยมีผู้ติดเชื้อสะสมรวม 3,150 คน ขณะที่ผู้ถือบัตร Thailand Elite Card ณ สิ้นเดือน ก.พ.2563 รวมอยู่ที่ 9,578 คน เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 6,495 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 20 เป็นชาวจีน นอกจากนี้ยังมีชาวอังกฤษร้อยละ 6 ชาวญี่ปุ่น และชาวอเมริกัน ร้อยละ 5 ต่อสัญชาติ
สมชัย สูงสว่าง (Somchai Soongswang) ประธานของ Thailand Privilege Card กล่าวกับสื่อท้องถิ่นของไทย เมื่อเดือน เม.ย.2563 ว่า ตลอดทั้งปี 2563 ตั้งใจจะขายบัตร Thailand Elite Card ให้ได้ 2,500 ใบ หรือคิดเป็นเงิน 48.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.5 พันล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2546 สามารถอยู่อาศัยได้ 5 - 20 ปี สามารถสมัครได้หากหนังสือเดินทางของผู้สมัครไม่ถูกรัฐบาลไทยขึ้นบัญชีดำ
อย่างไรก็ตาม ค่าสมัครอยู่ที่ 5 แสน-2 ล้านบาท จึงไม่ใช่ว่าใครจะสมัครก็ได้ แต่การสมัครแล้วจะได้สิทธิประโยชน์มากมาย เช่น มีรถลีมูซีนไปรับที่สนามบิน จัดช่องตรวจหนังสือเดินทางเป็นพิเศษแยกต่างหาก บริการช่วยเหลือในกระบวนการรายงานตัวต่อทางการไทยทุกๆ 90 วัน รวมถึงเล่นกอล์ฟและใช้บริการร้านสปาได้ฟรี ซึ่ง อัลเลน เฉิน (Allen Chen) ผู้ก่อตั้งบริษัท Summer Star Thailand ประกอบกิจการอสังหาริมทรัพย์ใน จ.เชียงใหม่ เป็นอีกคนหนึ่งที่ยอมรับว่า ชาวจีนสนใจมีที่พักอีกแห่งในต่างประเทศจริง
“ชาวจีนจำนวนมากมองหาแผนสำรองนับตั้งแต่การระบาดของโรคซารส์ ซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ในปี 2546 และแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่มณฑลเสฉวนในปี 2551 ด้วยข้อมูลเพิ่มเติมที่สามารถค้นหาได้จากอินเตอร์เน็ต พวกเขาต้องการสำรวจตัวเลือกในการเข้าเมืองในบางกรณี เช่น การกลับมาระบาดอีกครั้งของไวรัสโควิด-19 ในอนาคต” เฉิน ระบุ
ปัจจุบัน เฉิน เป็นคนหนึ่งที่ถือบัตร Thailand Elite Card พักอาศัยอยู่กับภรรยาในพื้นที่ภาคเหนือของไทย ที่ผ่านมามีชาวจีนมาขอคำปรึกษาเรื่องการพักอาศัยในประเทศไทยในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 เนื่องจากประกาศล่าสุดของทางการไทย ระบุว่า ชาวต่างชาติที่วีซ่าหมดอายุแล้วจะสามารถอยู่ในประเทศไทยได้ถึงวันที่ 31 ก.ค.2563 เท่านั้น ซึ่งเมื่อกรุงปักกิ่งมีการปิดโรงเรียนและลดจำนวนเที่ยวบิน หลายคนจึงกลัวว่าจะมีชะตากรรมเหมือนกับชาวเมืองอู่ฮั่น 11 ล้านคน ที่ถูกล็อกดาวน์เป็นเวลายาวนานถึง 76 วัน นับตั้งแต่ปลายเดือน ม.ค.2563
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า หลังการทุ่มกำลังเพื่อควบคุมการระบาด ทำให้สถานการณ์ในจีนเริ่มลดความรุนแรงลง จนมีชาวจีนบางคนถึงกลับกล่าวว่าจีนคือประเทศที่ปลอดภัยจากโควิด-19 มากที่สุดในโลก กระทั่งเกิดการระบาดระลอก 2 ในกรุงปักกิ่งขึ้น ขณะที่ สมชัย ระบุว่า นับตั้งแต่ไทยมีการประกาศห้ามเที่ยวบินจากต่างประเทศเข้าประเทศ ผู้สมัครบัตร Thailand Elite Card รายใหม่คือชาวอเมริกัน สหราชอาณาจักรและออสเตรเลียที่ติดค้างอยู่ในประเทศไทย ทั้งนี้ Thailand Privilege Card กำลังเตรียมออกข้อเสนอใหม่ๆ เพื่อสอดคล้องกับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์
ขอบคุณเรื่องจาก : https://asia.nikkei.com/Spotlight/Coronavirus/Chinese-jump-at-elite-Thailand-visas-to-escape-coronavirus
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี